CEYE
บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

เจาะลึก CEYE: วิเคราะห์ผลประกอบการ Q3 ปี 2568 พร้อมเปิดกลยุทธ์เติบโตในอนาคต

สวัสดีครับทุกท่าน สวัสดีทางตลาดหลักทรัพย์ และนักลงทุนทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่งาน Opportunity Day ไตรมาส 3 ปี 2568 ของบริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) วันนี้เราจะมาอัปเดตข้อมูลสำคัญ 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้

  1. Business Overview: อัปเดตภาพรวมธุรกิจและบริการของตาชำนิ
  2. Financial Performance: สรุปผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
  3. Next Chapter: แผนการตอบโจทย์เทรนด์ในอนาคตและการเติบโตของบริษัท

Business Overview

บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) ให้บริการด้านการสื่อสาร, โฆษณา, และ Branding โดยมี 3 ส่วนหลักดังนี้

  1. Creative Agency: ให้คำปรึกษาด้านงานคิดและกลยุทธ์
  2. Production & Post-Production: บริการถ่ายภาพนิ่ง, ภาพเคลื่อนไหว, และ Gen AI
  3. Entertainment: บริการใหม่ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท

บริการทั้งหมดนี้ Synergy กันได้ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นแบรนด์หรือ Agency ในด้านงานคิด, งานผลิต, และงานเผยแพร่ หากยังมองไม่เห็นภาพ นี่คือวิธีการจัดทัพงานบริการของเรา

เราแบ่งงานออกเป็น 3 โหนดหลัก:

  1. Consultancy: ให้คำปรึกษาด้าน Strategy และ Creative สำหรับแบรนด์และ Agency
  2. Production Solution: บริการ Production ที่หลากหลาย
  3. Media & Measurement: งานเผยแพร่และวัดผลแคมเปญ

จากซ้ายไปขวา เราเริ่มต้นจากการหา Brand Insight ให้กับแบรนด์ โดยทีม Strategy ใช้ Tools ในการวิเคราะห์ข้อมูลของแบรนด์และคู่แข่ง เพื่อผลิตงาน Branding Strategy หรือ Marketing Strategy

ในส่วนของ Strategy Creative จะเป็นงานคิด, งาน Strategy, และงาน Creative ทั้งหมด เราจะพูดคุยกับแบรนด์หรือ Agency เพื่อช่วยเหลือในส่วนนี้

ส่วนที่สองคือ Production Solution ซึ่งเป็น Core Business ของเรา ได้แก่ งาน Production ภาพนิ่ง, ภาพเคลื่อนไหว, งาน Retouch, หรืองาน Post-Production ที่เด่นทั้งงานตัดต่อ, ทำสี, ทำเสียง, ทำ 3D, หรือทำ Computer Graphic รวมถึงธุรกิจ Studio ให้เช่าด้วย

ในโหนดที่ 1 และ 2 เรามี Gen AI Lab ที่เป็น Unit ที่คอยหา New Execution ของ Gen AI มาทำให้งานมี Efficiency มากขึ้น ทั้งในแง่ของเวลา, ต้นทุน, และหา Solution ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ เป็นตัวที่จะสามารถ Penetrate ลูกค้าใหม่ๆ หรือ Region ใหม่ๆ ด้วย Gen AI ได้ดี

โหนดที่ 3 คือ Media & Measurement แบรนด์ต่างๆ ไม่ได้ทำแค่ภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวอย่างเดียว แต่บน Online ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะส่งผลโดยตรงกับ Awareness ของแบรนด์และยอดขายของแบรนด์ งาน Social Media Management ก็เป็นสิ่งที่เราดูแลให้ลูกค้าเป็น Retainer เป็นระยะยาวได้เช่นเดียวกัน รวมถึงงานยิง Ads, งาน Ad Optimization ทำให้ Reach หา Consumer ได้ดีขึ้นและในราคาที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน

งานซื้อ Media ไม่ว่าจะเป็น Out of Home Billboard ต่างๆ หรือ Digital Out of Home ก็เป็นส่วนที่เราดูแลได้เช่นเดียวกัน รวมไปถึง Event Activation และ KOL Management ใน Part นี้ก็จะมี Service ที่เป็น Social Listening คอยดูแลให้ลูกค้าด้วยเช่นเดียวกันว่า Sentiment เป็นอย่างไรบ้าง แคมเปญที่ทำออกไปแล้วมี Feedback ออกมาดีหรือไม่ดีอย่างไร ทั้งหมดทั้งมวลก็สามารถ Measurement ได้ และทำ Report ให้กับลูกค้าได้

ด้านล่างสุดจะเป็น Strategic PMO ที่สุดท้ายแล้วทำให้เกิด Seamless Experience สำหรับลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะเข้ามาที่โหนดไหน หรือจะเข้ามาทั้ง Funnel เลยของ Service ของเรา ทีม Project Management Office ก็จะเป็นตัวที่ทำให้ประสบการณ์นี้ดี และ Pick and Choose ให้ลูกค้าได้ดีขึ้น

All in All มันเป็น Synergy Solution ที่ Unlock Opportunity ให้กับ CI Group อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Resource หรือเรื่องของ New Growth ที่จะเล่นกับลูกค้าเก่า หรือว่าลูกค้าใหม่ ด้วยทีม Client Service ที่สามารถ Cross-Sell ได้ และเป็น Client Facing ที่เป็น One Team จริงๆ ที่จะสามารถเลือก A La Carte หรือ Omakase ให้กับลูกค้าในแง่ของ Service ของเราได้

ส่วนที่ 2 ก็เป็น Opportunity สำหรับแบรนด์กับ Agency เหมือนกัน ที่จะสามารถเลือก Service ใด Service หนึ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาทั้ง Full Funnel ได้ อันนี้ก็เปิดโอกาสและ Flexibility ให้กับความหลากหลายของแคมเปญหรือ Budget ที่ลูกค้ามี

ส่วนที่ 3 เราพยายามที่จะ Secure Retainer หรือว่า Project ระยะยาวให้มากขึ้น และดูแลเขาตั้งแต่ต้นจนจบด้วย Project Management Team สุดท้ายก็เป็นเรื่องของ Cost Efficiency ใน Operation ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI หรือ One Team ที่ Manage Across the Process ตัวนี้ก็จะเป็นภาพคร่าวๆ ของตัว Service ของบริษัท ตาชำนิ และการจัดทัพของเราเพื่อ Flexibility ของลูกค้าที่เข้ามาในอนาคต เราเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ใน Long Run เราสามารถยืนระยะ และสามารถมี Existing Client ในระยะยาวได้ด้วยครับ

ทั้งหมดทั้งมวลก็จะ เป็นภาพที่อาจจะทำให้เห็นภาพมากขึ้นว่า แล้ว Product Production ของเรางานของเราเนี่ย ออกไปในสู่สายตาของ Consumer แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็มีหลากหลายทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ทั้ง Content หรือว่า AI อันนี้ก็จะเป็นภาพรวมคร่าวๆ ของ Business ของตาชำนินะครับ

Financial Performance Q3 2568

ไฮไลท์หลักๆ ในไตรมาสนี้:

  • รายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 33% จากการเติบโตของ Production Agency ซึ่งมีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจ AI
  • โครงสร้างทางการเงินยังอยู่ในระดับที่ดี โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.17 เท่า และสภาพคล่องทางธุรกิจเพียงพอต่อการดำเนินงานในอนาคต
  • กลยุทธ์ One-Stop Service ที่ควบรวมกันตั้งแต่ต้นปี 2566 ส่งผลให้เกิดการ Cross-Sell ระหว่างกลุ่มธุรกิจ และการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น ในกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และแพลตฟอร์มในการท่องเที่ยวต่างๆ
  • Backlog หรือ Recurring Revenue ของบริษัทเพิ่มขึ้น ทำให้สร้างเสถียรภาพของบริษัทได้มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันคาดการณ์ Backlog ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาท เป็น 65 ล้านบาทในปี 2569

ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท:

  • การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย
  • ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (US Trade Policy)
  • กำลังซื้อ (Purchasing Power) ของคนในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
  • SME ของประเทศไทยยังมีความเปราะบาง

กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของรายได้ของบริษัทตาชำนิกับ GDP ของประเทศไทย โดยเมื่อ GDP ปรับตัวเพิ่มขึ้น แนวโน้มของรายได้ของบริษัทก็จะไปในทิศทางเดียวกัน

Performance หลักๆ ในไตรมาสที่ 3:

  • รายได้เพิ่มขึ้น 33% เทียบเท่า 112 ล้านบาท
  • Margin และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากติดลบ 5 ล้านบาท เป็น 3.67 ล้านบาท
  • EBITDA Year-to-date อยู่ที่ 53 ล้านบาท
  • โครงสร้างทางการเงินและ Liquidity ยังมีความแข็งแรง

กราฟแสดง Performance ของบริษัทใน 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2565-2567) เทียบเป็น Percentage ระหว่าง Gross Margin % และ Net Profit % และเปรียบเทียบ Year-to-date 9 เดือนของปี 2567 กับปี 2568

Margin ของบริษัทปรับตัวลดลงจาก 30% ในปี 2565-2566 เป็น 24% ในปี 2567 และในปี 2568 Year-to-date Margin เองก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ได้กลับไปที่ระดับเดิมที่ 30% สาเหตุสำคัญคือ:

  1. รายได้ของบริษัทยังปรับตัวลดลง (ปี 2567 รายได้ลดลงประมาณ 12%) ซึ่งส่งผลกระทบต่อ Margin อย่างมีนัยสำคัญ
  2. บริษัทมี Low Margin Project ผสมอยู่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับปี 2566
  3. การถูกกดดันทางด้านราคาจากทางลูกค้า
  4. Mix ของ Margin ในแต่ละ BU ที่ทำให้ตัว Margin ปรับตัวลดลง
  5. ส่วนของ SG&A และ Fix Cost ของบริษัทยังสูงอยู่
  6. Business Volatility และ Cycle ของธุรกิจของบริษัทตาชำนิ
  7. การหดตัวของ Budget ของลูกค้า
  8. Impairment Loss ของบริษัท ไม้ยืนต้น และ Woken X ซึ่งมี Value in Use ไม่ได้เทียบเท่ากับ Value ที่เราซื้อเข้ามา

Balance Sheet ของบริษัท (ณ ไตรมาส 3/2568):

  • D/E Ratio อยู่ที่ 0.17 เท่า
  • Cash และ Cash Equivalent อยู่ที่ระดับ 105 ล้านบาท
  • PPE อยู่ที่ 356 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้ออาคารและสำนักงานของกลุ่มธุรกิจ Post Motion Production)
  • มีการลงทุนเพิ่มเติม เช่น การเข้าซื้อหุ้นบางส่วนในบริษัท Light หรือการเข้าซื้อหุ้นบางส่วนในบริษัท ที่เป็น Generative AI
  • ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทมีการเข้าซื้อ Convertible Debenture ของบริษัท ซึ่งทางคุณวัชรนะได้เคยเล่าไปแล้วเมื่อ Oppday ที่แล้วว่า ทาง Wisi ดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นไมโครดราม่าหนัง สั้นต่างๆ ที่เป็นรูปแบบแพลตฟอร์ม

หนี้สินที่ต้องชำระภายใน 1 ปีอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ หนี้สินที่มีดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 21 ล้านบาท และ Leasing ต่างๆ อีก 2 ล้านบาท หนี้สินระยะยาวที่เป็น Lease Liability อยู่ที่ประมาณ 18 ล้านบาท Provision ของ Employee Benefit (หนี้สินผลประโยชน์พนักงานต่างๆ หนี้สินผลประโยชน์เกษียณอายุ) อยู่ที่ประมาณ 29 ล้านบาท

โดยสรุปแล้ว ถึงแม้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 จะมีการเติบโตของรายได้ แต่ Margin และกำไรสุทธิยังคงถูกกดดันจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังคงมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งและมี Cash Position ที่ดี พร้อมที่จะลงทุนในอนาคตเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

เริ่ม Q&A นาทีที่ 41:00

คำถามและคำตอบ

Q&A Session

1. ผลกระทบจาก Impliment Loss และทิศทางของ AI

ผู้ถาม: อยากทราบเรื่อง Impliment Loss ที่เกิดขึ้นในงบการเงิน และทิศทางที่บริษัทจะดำเนินการต่อไปเกี่ยวกับ AI

ผู้บริหาร: Impliment Loss เกิดจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นรายการ One-Time และบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดผลกระทบแล้ว สำหรับ AI บริษัทยังคงให้ความสำคัญและลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

2. การเติบโตของ CEYE และเป้าหมายในอนาคต

ผู้ถาม: CEYE มีแผนการเติบโตอย่างไร และมีเป้าหมายอะไรในอนาคต

ผู้บริหาร: CEYE มุ่งเน้นการเติบโตแบบ Organic และ InOrganic โดยการขยายฐานลูกค้า, พัฒนาบริการใหม่ๆ, และ Synergy ภายในกลุ่มบริษัท นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในการ M&A เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจ

3. ภาพรวมอุตสาหกรรมและคู่แข่ง

ผู้ถาม: ภาพรวมอุตสาหกรรมในปัจจุบันเป็นอย่างไร และ CEYE มีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร

ผู้บริหาร: อุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูง แต่ CEYE มีความแตกต่างด้วย One-Stop Service, ความเชี่ยวชาญด้าน Creative และ Production, และการนำ AI มาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ยังมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและความสัมพันธ์ที่ดีกับ Partner

4. การบริหารจัดการต้นทุน

ผู้ถาม: CEYE มีวิธีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างไร เพื่อเพิ่ม Margin และกำไร

ผู้บริหาร: CEYE ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมค่าใช้จ่าย, เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต, และใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้างองค์กรและลดขนาดทีมงานที่ไม่จำเป็น

5. นโยบายการจ่ายปันผล

ผู้ถาม: CEYE มีนโยบายการจ่ายปันผลอย่างไร และมีโอกาสที่จะเพิ่มการจ่ายปันผลในอนาคตหรือไม่

ผู้บริหาร: CEYE มีนโยบายการจ่ายปันผลตามผลประกอบการและกระแสเงินสดของบริษัท โดยคำนึงถึงการลงทุนในอนาคต โอกาสที่จะเพิ่มการจ่ายปันผลขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่ดีขึ้นและการเติบโตของธุรกิจ

6. ความเสี่ยงและแผนการรับมือ

ผู้ถาม: CEYE มองว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง และมีแผนการรับมืออย่างไร

ผู้บริหาร: ความเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ ความผันผวนของเศรษฐกิจ, การแข่งขันที่รุนแรง, และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี CEYE มีแผนการรับมือโดยการกระจายความเสี่ยง, พัฒนาบริการที่แตกต่าง, และติดตามเทคโนโลยีใหม่อย่างใกล้ชิด