สรุป OPPDAY หุ้น BLC
Oppday
สรุป OPPDAY
BLC เผยกลยุทธ์เติบโตปี 2568: มุ่งสู่ผู้นำอุตสาหกรรมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างยั่งยืน
สวัสดีนักลงทุนทุกท่าน ในวันนี้ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLC จะมานำเสนอผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 รวมถึงทิศทางและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
- Gross Margin อยู่ที่ 58.7%
- Net Profit Margin อยู่ที่ 10.9%
- P/E อยู่ที่ 0.9
- DE Ratio อยู่ที่ 0.4
- Dividend Yield อยู่ที่ 3.95%
- Payout Ratio อยู่ที่ 0.6
- ROE อยู่ที่ 11.4%
- ROA อยู่ที่ 10.9%
รายได้ 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,257 ล้านบาท เติบโต 10.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิอยู่ที่ 137 ล้านบาท เติบโต 13%
รายได้ไตรมาส 3 อยู่ที่ 403.9 ล้านบาท เติบโต 1.4% (Year-on-Year) กำไรสุทธิอยู่ที่ 40.2 ล้านบาท ลดลง 7.2% (Year-on-Year)
บริษัทได้รับการประเมิน CGR Rating ในระดับ 5 ดาว (Excellent) จาก IOD สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติบัตรจาก SET ในด้านการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรม ESG
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
ผลิตภัณฑ์สมุนไพร: บริษัทมีจุดเด่นและความน่าเชื่อถือในตลาดสมุนไพร ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากนโยบายรัฐและการตอบรับของผู้บริโภค
ผลิตภัณฑ์เด่น:
- ไพรวัลย์นา: ครีมจากสารสกัดน้ำมันไพล ใช้บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและฟกช้ำ
- แคปซิก้า: เจลพริก ใช้ลดอาการปวดจากข้อเข่าเสื่อมและปลายประสาท
- เรเดียน่า: สารสกัดจากอโลเวร่า ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ฉายแสง
รายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรใน 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 111 ล้านบาท เติบโต 6.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา รายได้ไตรมาส 3 อยู่ที่ 47.2 ล้านบาท เติบโต 55.3% (QonQ) และ 4.9% (Year-on-Year)
ผลิตภัณฑ์ Daibyderm: ครีมยูเรีย 10% และ 20% สำหรับผู้มีปัญหาผิวหนัง โดยมีคุณอ้อม พิยดาเป็นพรีเซนเตอร์
รายได้จากผลิตภัณฑ์ Daibyderm มีอัตราการเติบโต 10.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อยอดขายในบางช่องทาง
ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณของรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายในบางช่วงเวลา
โรคระบาดในสุกร (ASF) ส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
การปรับพอร์ตการขายสินค้า ไปยังสินค้าที่มี Margin สูงขึ้น เช่น เครื่องสำอาง
การประหยัดขนาดจากการผลิต โดยเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย
การขยายช่องทางการจำหน่ายทางออนไลน์ให้มากขึ้น
การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
การหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
ตลาดรวมอุตสาหกรรมยาอยู่ที่ 296,000 ล้านบาท เติบโต 8%
โรงพยาบาล (ภาครัฐ): สัดส่วน 61% เติบโต 6.8%
โรงพยาบาล (เอกชน): สัดส่วน 9% เติบโต 0.04%
ร้านขายยา: สัดส่วน 30% เติบโต 13.5%
BLC มีอัตราการเติบโต 10.9% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต:
- ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
- ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลสุขภาพได้ง่ายขึ้น
- Lifestyle ที่เปลี่ยนแปลงไป
- เทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
แผน 5 ปีข้างหน้าของ BLC:
- ปี 2567: สร้างพื้นฐานธุรกิจให้มั่นคง
- ปี 2568: เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยา
- ปี 2569: เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค และมีรายได้ 2,000 ล้านบาท
- ปี 2570: โรงงานใหม่เริ่มผลิตเต็มประสิทธิภาพ
- ปี 2572: เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน มีรายได้ 3,000 ล้านบาท
เป้าหมายการลงทุน: สร้างโรงงานและคลังสินค้าใหม่ มูลค่า 810 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบในปี 2570
เพิ่ม Capacity ในกลุ่มยา Generic และยาสามัญใหม่ ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง และครีม ประมาณ 2 เท่า (93%)
สร้าง Solar Farm Phase 2 ขนาด 1.5 MW เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าประมาณ 600,000 บาทต่อเดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า
วิจัยและพัฒนายาสามัญใหม่ 14 ตัว คาดว่าจะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์แรกออกสู่ตลาดใน 1-2 ปีข้างหน้า
บริษัทดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก "SMILE": Social Environmental Responsibility, Management, Innovation, Loyalty, Excellent Performance
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 56:55]
Q: โรงงาน 1 กะ นับเวลาทำงาน 8 หรือ 12 ชั่วโมง?
A: 8 ชั่วโมง
Q: Q3 รายได้เติบโตไม่มาก Inventory บวมขึ้น เกิดจากอะไร?
A: การแข่งขันสูงขึ้นในกลุ่มเครื่องสำอาง, Export ไป CLMV มีปัญหาบ้างแต่ยังส่งได้, งบประมาณรัฐที่อาจจะมีการรออนุมัติ
A: สินค้าคงเหลือ (Inventory): Stock สินค้าไว้สำหรับยอดขาย Q4 ด้วย
Q: เห็นว่าไตรมาสหลังๆ S,G&A ค่อนข้างโตเยอะมาก บริษัทมีแผนควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้อย่างไร และเป้าหมาย S,G&A ต่อ Revenue อยู่ที่ประมาณเท่าไร?
A: S,G&A ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 45% ของยอดขาย ตั้งเป้าจะพยายามให้ลดน้อยกว่า 40% เพราะปี 2568 ลงทุนเรื่อง Branding ค่อนข้างเยอะ ปีแรกที่ใช้ Presenter ปีถัดไปตามแผนจะพยายามลด Common Size ของ Expense ให้น้อยลง
Q: ผลตอบรับเป็นไงบ้างในส่วนของ Brand Awareness ในเชิงตัวเลขว่าเติบโตประมาณกี่เปอร์เซ็นต์?
A: สินค้าที่ทำ Branding Presenter ไป โตขึ้นมากกว่าปีที่ก่อนประมาณ 10 กว่า% ตัวเครื่องสำอางค์ มีการลงทุนในด้าน Online Platform ตาม Platform โตขึ้นค่อนข้างสูงเลย ตัว Cosmetic จะเห็นว่า Grow ขึ้น year on year นะคะ 40 กว่า % นะคะ เมื่อเปรียบเทียบ
Q: Gross margin ในการขายแต่ละช่องทางเป็นเท่าไหร่บ้าง?
A: Gross margin ตามช่องทางการจัดจำหน่ายนะคะ ก็ขอพูดตามช่องทางที่หลักๆ นะคะ อันแรกเนี่ยก็จะเป็นร้านขายยา ตัว ตัวเนี้ยช่องทางของร้านขายยาเนี่ย GP เราค่อนข้างจะสูงนะคะ ก็อยู่ที่ประมาณ 50-60% นะคะ ส่วนของโรงพยาบาลเนี่ย ตอนนี้ทั้งรัฐและ เอกชนนะคะ เราก็ขายผ่าน ซิ ลิ ก นะ คะ ซึ่ง เป็น ดิสทริบิวเตอร์ ทำให้ในภาพรวมนะคะ ของ GP โรงพยาบาลเนี่ยเราก็อยู่ที่ประมาณ 30-40% นะคะ แล้วก็จะ มีในส่วนของ Consumer นะคะหรือว่า โมเดิร์นเทรดนะคะ อันนี้ก็อาจจะหย่อนลงมาหน่อยนะคะ อยู่ที่ประมาณ 30-40% นะคะอยู่เช่นเดียวกันนะคะ แล้วก็ Exort ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 20-30% ค่ะ
Q: ตัวสินค้าเวชสำอางค์มีแผนออก Product ประมาณกี่ SKU ต่อปี?
A: ตามแผนเรามีแผนที่จะออก Product ใหม่ในทุกๆ ปีอยู่แล้ว ในจำนวนอาจจะต้อง ปิดไว้ก่อนว่าจะมีจำนวนเท่าไร ตามแผนในการออก Product ใหม่เรามีการออก Product ใหม่ทุกๆ ปีอยู่แล้ว
Q: นอกจากนี้ในส่วนของการออกตัว New Generic นะครับ ตามแผนของเราที่เราได้เคยได้ นำเสนอไว้นะครับ ว่าแผนของเราเนี่ย ตัว New Generic หลักเนี่ยเราก็จะออกอยู่ที่ประมาณ ปีละ 1-2 ตัวนะครับ ซึ่งในปีหน้าเนี่ยก็ คาดการว่า จะอยู่ในช่วง นี้เหมือนกันนะครับ โดย ก่อน อ่า ซึ่ง ซึ่ง อ่า ตรง ๆ นี้ครับก็ยังไม่ได้อยู่ในกลุ่มของ ตัวที่เรา ระดม ทุน เข้ามาในช่วง IPO นะครับ?
A: ครับ
Q: ไม่ทราบว่าในตัวโรงงานใหม่เนี้ย อ่ามีค่าเสื่อมราคา นะครับต่อปีประมาณกี่ล้านครับ
A: สำหรับ New Plant นะคะที่เราจะ สร้างเสร็จในปี 69 นะคะ แล้วก็อาจจะเปิดดำเนินการเต็มเนี่ยช่วงปี 70 โดยถ้าทั้งปีนะคะค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นเนี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 กว่าล้านบาทนะคะก็ บวก ลบอยู่เล็กน้อย แต่ว่าปี 69 เนี่ยก็ยังเข้ามายังไม่เต็มปี นะ คะ เพราะว่าเราจะอาจจะต้องมีการ เทส รัน แล้วก็กว่าจะเริ่มทำ อ่า เปิด ขายเนี่ยก็จะเป็นในช่วงครึ่งปีหลังค่ะ ปีหน้าก็จะเป็นค่าเสื่อมราคาก่อนส่วนนึงค่ะ
Q: ยอดส่งออกของ New Generic ลดลงไป 16% year on year, ทางบริษัทมี อ่าการแก้ไขอย่างไรครับ?
A: ส่งออกที่ผ่านมาขายได้ดี ช่วงนี้ดรอปลงเพราะโฟกัสไปที่สินค้าที่ทำกำไร สินค้าตัวไหนที่กำไรน้อยก็พยายามตัดออกเพื่อสร้างกำไร Gross Margin ให้เพิ่มมากขึ้น เลยทำให้รายได้ส่วนส่งออกลดลงในส่วนของ Generic และ New Generic
A: วิธีแก้ไขคือมีสินค้าทางด้าน Generic หรือ New Generic ออกมาใหม่ๆ แล้วก็พยายามโปรโมทสินค้าพวกนี้เพิ่มมากขึ้นเพื่อมาชดเชยรายได้ที่หายไปจากสินค้าที่ไม่ทำกำไร ตลาดต่างประเทศบางตลาดที่เริ่มใช้วิธีการทางรัฐสั่งซื้อเป็นลักษณะสั่งซื้อรวมและเป็น Bidding อันนี้ก็อาจจะกระทบรายได้จากการส่งออกในตลาดนี้ เราต้องพยายามนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เราออกใหม่ๆ พวก New Generic ซึ่งมันจะสามารถสร้างรายได้และกำไรที่เพิ่มมากขึ้นครับ
Q: เหตุการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่มีส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่ อย่างไร?
A: ลูกค้าไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางด้านค้าขายได้ โอกาสที่จะได้ออเดอร์หรือแผนสั่งซื้อจากลูกค้าพวกนี้อาจจะหายไป อาจจะต้องมีการช่วยเหลือ ช่วยสนับสนุน เพื่อให้ลูกค้าบรรเทาความเสียหายของลูกค้าไปเพื่อความสัมพันธ์หรือเพื่อการค้าขายในระยะยาว ส่วนนี้ก็อาจจะต้องมีการจ่ายที่อาจจะต้องช่วยเหลือลูกค้าในยามยากของลูกค้าเรา รายได้ที่ไปยังลูกค้าพวกนี้จะหายไปเพราะยังดำเนินกิจกรรมไม่ได้ และอาจจะต้องมีการช่วยเหลือในยามที่เขาลำบาก
โดยสรุป BLC มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ, ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย, บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ, และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ