สรุป OPPDAY หุ้น BCH
Oppday
สรุป OPPDAY
โอเคครับ นี่คือสรุปผลการประชุม Oppday ไตรมาส 3 ปี 2568 ของบริษัท Bangkok Chain Hospital (BCH): "BCH เติบโตต่อเนื่อง ขยายฐานผู้ป่วย สู่ปี 2570 เปิดโรงพยาบาลใหม่!" 1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
บริษัทมีรายได้รวม 2,553.4 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่มีจำนวนผู้ป่วยรวม 1.7 ล้านราย ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า หากไม่รวมรายได้ส่วนเพิ่มจากการให้บริการ 26 โรคเรื้อรัง รายได้รวมจะลดลงเพียง 4.8% รายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมยังเติบโตได้จากการเพิ่มขึ้นของผู้ประกันตนที่ลงทะเบียน และการให้บริการในหมวดต่างๆ ที่มีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น รายได้จากผู้ป่วยทั่วไปลดลงเนื่องจากโรคระบาดตามฤดูกาลและการลดลงของผู้ป่วยต่างชาติ
EBITDA เท่ากับ 726.7 ล้านบาท ลดลง 17.5% หากไม่รวมรายได้ส่วนเพิ่ม EBITDA จะลดลง 9.5% และมี EBITDA margin อยู่ที่ 28.8% กำไรสุทธิอยู่ที่ 347.3 ล้านบาท ลดลง 23.7% หากไม่รวมรายได้ส่วนเพิ่ม กำไรสุทธิจะลดลง 11.7% และมี Net profit margin อยู่ที่ 11.4%
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 9,027.3 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า มีจำนวนผู้ป่วยรวมประมาณ 5.7 ล้านราย เพิ่มขึ้น 1.6% EBITDA เท่ากับ 2,242.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% และมี EBITDA margin อยู่ที่ร้อยละ 24.8% กำไรสุทธิเท่ากับ 1,056.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% โดยมี Net profit margin อยู่ที่ 11.7%
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ (สปป.ลาว): ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI ซึ่งเป็นแห่งแรกใน สปป.ลาว สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว การขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง: เช่น ศูนย์การเปลี่ยนถ่ายไต ศูนย์มะเร็งรังสีรักษา และศูนย์ความงาม ร่วมมือกับเกษมราษฎร์ ศัลยกรรมพลาสติก การเติบโตของผู้ป่วยประกันสังคม: จากการเพิ่มขึ้นของผู้ประกันตนและการให้บริการที่เพิ่มขึ้น 3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):การลดลงของผู้ป่วยทั่วไป: เนื่องจากการลดลงของโรคระบาดตามฤดูกาลและผู้ป่วยต่างชาติ ผลกระทบจากการปิดชายแดนไทย-กัมพูชา: ต่อโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ การแข่งขัน: ที่สูงขึ้นในตลาดการแพทย์ 4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):การเพิ่มบริการใหม่: เช่น เกษมราษฎร์ พลาสติก ศัลยกรรม และเกษมราษฎร์ อารีย์ การขยายตลาด: โดยเน้นผู้ป่วยชาวไทยและ CLMV มากขึ้น การควบคุมต้นทุน: และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การปรับปรุงและขยายโรงพยาบาล: เพื่อรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น 5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):บริษัทมีแผนที่จะเปิดโรงพยาบาลใหม่ เกษมราษฎร์ ระยอง และ เกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ ในช่วงปลายปี 2570 โดยมีเตียงจดทะเบียนใกล้เคียงกัน 270 เตียง สามารถรองรับผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยประกันสังคม
บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการบริการ การขยายฐานผู้ป่วยประกันสังคม การเพิ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง และการควบคุมค่าใช้จ่าย
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 41:51]แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2568:
แนวโน้มดีขึ้น Year on Year เนื่องจากโรคตามฤดูกาลต่อเนื่องจากเดือนกันยายน
ภาพรวมทั้งปี 2568:
ประเมินว่ารายได้จะเติบโตจากผู้ป่วยในโครงการประกันสังคม, จากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นจากโรงพยาบาลสาขาที่ปรับเปลี่ยนแบรนด์ เช่น เกษมราษฎร์ ปทุมธานี และเกษมราษฎร์ ประชาชื่นที่ปรับปรุงพื้นที่แล้วเสร็จ ทำให้รองรับผู้ประกันตนได้ดีขึ้น และการเพิ่มบริการฉายรังสีผ่านศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์ อารีย์ ช่วยเพิ่มการให้บริการและลดค่าใช้จ่ายในการส่งต่อผู้ป่วย
ปัจจัยบวกและปัจจัยลบในปี 2568-2569 และแผนรับมือ:
ปัจจัยบวก: รายได้จากโครงการประกันสังคมในส่วนของ RW มากกว่า 2 (ปีนี้ไม่มีการปรับลดอัตราจ่าย สปสช.จ่ายในอัตรา RW ละ 12,000 บาท) และโรงพยาบาลในเครือเร่งดำเนินการเพิ่ม Fast track สำหรับผู้ป่วยที่ยังคงค้าง เช่น การผ่าตัดแผลเล็ก และเพิ่มห้องตรวจ Sleep test (ปัจจุบันมี 37 ห้องตรวจใน 11 โรงพยาบาล) ปัจจัยลบ: ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา (มีโรงพยาบาลตั้งอยู่ตรงนั้น 1 แห่ง คือ เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ ปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่มาจากรายได้ของชาวไทย) บริษัทได้พา Agency ชาวกัมพูชาเข้าเยี่ยมโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ซึ่งสามารถ Refer คนไข้จากกัมพูชาไปที่เวียงจันทน์ได้ และมีผู้ป่วยเริ่มเข้ามารักษาแล้วในช่วงเดือนที่ผ่านมา ภาพรวมปี 2569 และกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กร:
เพิ่มการให้บริการศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง (เช่น ศูนย์ปลูกถ่ายไต, ศูนย์มะเร็งรังสีรักษา และศูนย์ผ่าตัดศัลยกรรมความงาม) ที่สาขาเวียงจันทน์
กลยุทธ์ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวไม่มากนัก:
มุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ (เช่น ลดการรอคอยของผู้ป่วยประกันสังคม, เพิ่มโซนสำหรับรับยาและพบแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง) ควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น การส่งต่อผู้ป่วยภายในเครือโรงพยาบาล, การจัดตารางแพทย์พยาบาลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) ผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้:
โรงพยาบาลในเครือของ BCH ไม่มีพื้นที่ตั้งอยู่ในภาคใต้ จึงไม่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้
การควบคุมราคายาของรัฐบาล:
บริษัทได้แสดง QR Code สำหรับการให้ผู้เข้ารับบริการสามารถตรวจสอบราคายาได้ก่อนการรับบริการ โรงพยาบาลได้ปฏิบัติตามเกณฑ์ของกรมการค้าภายในมาโดยตลอด ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบต่อต่อขาที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมา
การปรับราคาค่าบริการ:
ที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับราคาค่าบริการเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบางหมวด เช่น เวลาโรงพยาบาลในเครือได้ปรับปรุงโรงพยาบาลแห่งใหม่ ก็จะมีห้องพักผู้ป่วยที่เพิ่มเติม (เช่น ห้องเดี่ยวที่มีห้องพักญาติ) ก็จะทำให้เราเพิ่มราคาห้องพัก สำหรับในอนาคตบริษัทจะต้องตรวจสอบต้นทุนและการเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันเพิ่มเติม
การเริ่มใช้ Copayment:
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา รายได้จากประกันสุขภาพเอกชนยังคงเพิ่มขึ้น 1.6% Year on Year ซึ่งอาจจะลดลงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสที่ 3 เนื่องจากการระบาดของโรคตามฤดูกาลที่ลดลง อาจจะไม่ ได้มาจากใช้ copayment โดยตรงอย่างเดียว
สถานะเงินค้างรับจากภาครัฐ:
UCEP โควิด: เหลือประมาณ 9 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคม: รายได้รายหัวได้รับทุกเดือน รายได้ส่วนอื่น ๆ (RW, 26 โรคเรื้อรัง) อยู่ระหว่าง 1-3 เดือน ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับโรงพยาบาลนอกเครือ:
โรงพยาบาลในไทย: มีความร่วมมือในการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างกันกับโรงพยาบาลนอกเครืออยู่แล้ว โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์: เพิ่มความร่วมมือกับโรงพยาบาลรัฐในเวียงจันทน์ จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ระหว่างแพทย์ไทยกับลาว เพื่อพัฒนาความสามารถของแพทย์และยกระดับการให้บริการของแพทย์และพยาบาล โดยสรุป BCH ยังคงเติบโตได้ดีจากการขยายฐานผู้ป่วยประกันสังคม การเพิ่มบริการใหม่ และการควบคุมต้นทุน แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก บริษัทก็มีแผนรับมือและปรับกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้