15/54

เดือนนี้ / เดือนก่อน

430/104

ปีนี้ / ปีก่อน

  • mitihoon

    ASPS สัปดาห์แห่งความผันผวน! ทั่วโลก “หลบหุ้น TECH เข้าหุ้น VALUE” ท่ามกลางความกังวล “ฟองสบู่ AI” และความเสี่ยง YEN CARRY TRADE ไทยเผชิญเศรษฐกิจ “เก่าโตช้า ใหม่ไม่มา” แนะจับตาหุ้น VALUE และหุ้นสื่อรับเ 15/12/68

    มิติหุ้น – บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยบทวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นำโดยหุ้นสำคัญอย่าง AVGO (-11.4%), AMD (-4.8%), ORCL (-4.5%) และ NVDA (-3.3%) เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยง “ฟองสบู่ AI” ความกังวลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีเงินลงทุนมหาศาลทุ่มสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่รายได้ที่เกิดขึ้นยังไม่ทันต้นทุน ซึ่งมีสัญญาณที่ชัดเจนในหลายบริษัท อาทิเช่น OPENAI วางแผนใช้เงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่รายได้ยังต่ำกว่าต้นทุนมาก, นอกจากนี้ ORACLE ได้ใช้หนี้มหาศาลเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตพุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2552 (Credit Default Swaps พุ่งแตะ 148 BPS),, ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนทั่วโลกจึงเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าและความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงสูง: “เก่าโตช้า ใหม่ก็ไม่มา” เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญปัญหาการเติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจนมาเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9% ต่อปี ขณะที่ในระยะถัดไป เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักกำลังอ่อนแรงลง ตัวช่วยเดิมๆ เริ่มหมดแรง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 1-2” ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิมมาก และคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยลง (คาดการณ์ 0.15% ต่อปี เทียบกับเฟสก่อนหน้า 1.15% ของ GDP)

  • kaohoon

    “หุ้นเอเชีย” เปิดลบ วิตกฟองสบู่ AI – จับตาตัวเลขเศรษฐกิจจีน 15/12/68

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดปรับตัวลงในวันนี้ (15 ธันวาคม) ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ร่วงลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในธุรกิจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 50,352.09 จุด ลดลง 484.46 จุด หรือร้อยละ 0.95 ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของจีนเปิดที่ระดับ 3,865.40 จุด ลดลง 23.95 จุด หรือร้อยละ 0.61 และดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงเปิดที่ระดับ 25,718.14 จุด ลดลง 258.65 จุด หรือร้อยละ 1.00 ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี/เอเอสเอ็กซ์ 200 ของออสเตรเลียเปิดลบร้อยละ 0.66 และดัชนีโคสปีของเกาหลีใต้ร่วงลงร้อยละ 2.16 โดยแรงกดดันมาจากตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หลังบริษัทบรอดคอม ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ออกมาเตือนว่าแนวโน้มกำไรในอนาคตอาจลดลง ซึ่งกระตุ้นความกังวลครั้งใหม่เกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทออราเคิล ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์คลาวด์รายใหญ่ รายงานแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญแรงขาย ทั้งนี้ นักลงทุนในภูมิภาคยังจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจจีนในช่วงเช้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนมีกำหนดรายงานราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราการว่างงาน ประจำเดือนพฤศจิกายน

  • mitihoon

    MA80 DR หุ้นมาสเตอร์การ์ด กูรูยกเป็นหุ้นValue Play 15/12/68

    มิติหุ้น -MA80 โดย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า มองว่าเม็ดเงินจากหุ้นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ AI จะถูกสลับมายังกลุ่ม Value Play มากขึ้นในช่วงปลายปี ด้วยสองเหตุผลหลักๆ ได้แก่ 1. ความกังวลฟองสบู่ในตลาด AI หลัง Broadcom ให้ความเห็นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อัตรากำไรมีโอกาสปรับลดลง และ 2. การใช้จ่ายทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งเป็นบวกโดยตรงต่อปริมาณ การทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต ภาพรายวันราคา Breakout Downtrend Line ขึ้นมาได้ พร้อมกับ MACD ให้สัญญาณบวกสนับสนุน ทําให้ประเมินมี โอกาสเปลี่ยนแนวโน้มจากพักตัว กลับมาเป็น Sideway Up แนวรับ : 1.78/1.76 บ.

  • hoonsmart

    ดาวโจนส์ปิดลบ 245 จุด เทขายหุ้นเทคกังวลผลตอบแทนจากลงทุน AI 13/12/68

    HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดาวโจนส์ลดลง 245 จุด นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โยกซื้อหุ้นกลุ่มที่มีมูลค่าต่ำกว่า ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 12ธันวาคม 2568 ปิดที่ 48,458.05 จุด ลดลง 245.96 จุด หรือ -0.51% เนื่องจากนักลงทุนยังคงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีมูลค่าต่ำกว่าแทน ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,827.41 จุด ลดลง 73.59 จุด, -1.07% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,195.17 จุด ลดลง 398.69 จุด, -1.69% ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.1% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.6% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.6% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ขยับขึ้นแตะระดับ 4.18% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปรับขึ้นเหนือ 4.85% เนื่อง จากนักลงทุนย่อยความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านการลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ โดยกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า พวกเขากังวลว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงเกินไปที่ควรจะลดดอกเบี้ย นักลงทุนมองในทางบวกเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพิ่มเติมในปี 2026 หลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%เมื่อวันพุธ ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายจะส่งสัญญาณว่าจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มไว้ก่อนในขณะนี้ก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายแสดงความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงเกินไป ข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมูลค่า AI ที่สูงเกินไปกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ Broadcom รายงานผลประกอบการที่ไม่ชัดเจนและราคาหุ้นร่วงลง 11.4% เช่นเดียวกับ Oracle ซึ่งทำให้ตลาดต้องการข้อมูลมากกว่านี้ บริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้ไม่สามารถให้ความชัดเจนเกี่ยวกับผลตอบแทนจาก AI ได้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอัตรากำไรที่ลดลงแทน ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลง 4.5% ในวันศุกร์ แม้ว่าผลประกอบการรายไตรมาสจะดีเกินคาดและคาดการณ์ไตรมาสนี้ที่แข็งแกร่งก็ตาม การซื้อขายหุ้นกลุ่ม AI เผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น โดยหุ้นอย่าง AMD, Palantir Technologies และ Micron ต่างพากันลดลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 2.9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมหลักของดัชนี S&P 500 แต่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ ของตลาด เช่น กลุ่มการเงิน การดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรม กลับปรับขึ้น โดย Visa และ Mastercard รวมถึง UnitedHealth Group และ GE Aerospace ต่างปรับขึ้น ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจมากกว่า ได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของปีโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การผ่อนคลายทางการเงินเกิดขึ้นท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นโดยรวมมีแนวโน้มขาขึ้น แม้ความผันผวนในระยะสั้นสูงขึ้น แต่ก็ยังคงมองในทางบวกพอสมควรเกี่ยวกับแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ กลุ่ม UBS คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก UBS คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2026 ดัชนี S&P 500 อาจปรับตัวขึ้นไปถึง 7,700 จุด ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในบรรดาปัจจัยขับเคลื่อนนั้น คาดว่ากลุ่ม “Mag 7” จะกลับมาเป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากความกังวลที่กลับอีกครั้งว่าอาจจะเกิดฟองสบู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งหักล้างการปรับตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์จากความหวังในทางบวกเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดัชนี STOXX 600 ลดลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองสัปดาห์เมื่อวันก่อน ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีทรงตัว ตลาดหุ้นหลักในภูมิภาคก็ปิดตัวลงในแดนลบเช่นกัน ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 578.24 จุด ลดลง 3.10 จุด, -0.53% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,649.03 จุด ลดลง 54.13 จุด, -0.56% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,068.62 จุด ลดลง 17.14 จุด, -0.21% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,186.49 จุด ลดลง 108.12 จุด, -0.45% ตลาดอยู่ในภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหลังจากคำเตือนเรื่องอัตรากำไรของ Broadcom ซึ่งยิ่งทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการทุ่มลงทุนในภาคส่วนนี้ หลังจากการคาดการณ์ที่น่าผิดหวังของ Oracle เมื่อวันพุธ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ในภูมิภาค เช่น ASML และ Schneider Electric ร่วงลง 5% และ 4.2% ตามลำดับ นักวิเคาะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ความรู้สึกในตลาดตอนนี้กำลังเปลี่ยนจากความกลัวที่จะพลาดโอกาสจากกระแสหุ้น AI ไปสู่ความกลัวว่าจะเป็นฟองสบู่ ในยุโรป กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานนำการลดลง โดยลดลง 1.3% เนื่องจากภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในวงกว้างส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เน้นสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาทองแดงลดลงมากกว่า 3% กลุ่มธนาคารก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยลดลงประมาณ 1.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันสี่วัน อย่างไรก็ตาม ดัชนีกลุ่มธนาคารยังคงอยู่ในกลุ่มที่ปรับขึ้นดีที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยเพิ่มขึ้น 2.2% หุ้น UBS เพิ่มขึ้น 2.5% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 17 ปี หลังจากที่สมาชิกรัฐสภาสวิสเสนอข้อประนีประนอมเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านเงินทุนใหม่สำหรับธนาคาร เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารยังคงสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล หุ้นกลุ่มประกันภัยก็เพิ่มขึ้น 2.2% ในสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการปรับขึ้นดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ โดยปรับตัวขึ้น 2.5% และเพิ่มขึ้น 1.3% ในวันศุกร์ ด้วยแรงหนุนจาก Lufthansa ซึ่งบวก 4.7% หลังจาก Kepler Chevroux ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้นของสายการบินนี้เป็น ‘ซื้อ’ จาก ‘ถือ’ หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราในภูมิภาคลดลงมากสุดในสัปดาห์นี้ โดยลดลง 3.2% เพราะได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากการประกาศของ Google เกี่ยวกับแว่นตาที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ EssilorLuxottica ผู้ผลิต Ray-Ban ในบรรดาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น หุ้นกลุ่มค้าปลีก Adidas และ Puma เพิ่มขึ้น 2% และ 2.5% ตามลำดับ หลังจาก Lululemon Athletica ซึ่งเป็นคู่แข่งในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปี ในสัปดาห์หน้า ความสนใจจะอยู่ที่การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีโดยธนาคารกลางยุโรป ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางอังกฤษคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย และคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากได้รับสัญญาณที่ชัดเจนจากผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น คาซูโอ อูเอดะ ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบมกราคม ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 57.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 16เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 61.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

  • kaohoon

    “ดาวโจนส์” ปิดลบ 245 จุด กังวลฟองสบู่ AI-บอนด์ยีลด์พุ่ง 13/12/68

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดลดลงในวันศุกร์ (12 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดร่วงลงมากกว่า 1% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัท Broadcom และ Oracle ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นอกจากนี้ ตลาดยังถูกถ่วงลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) บางรายแสดงความกังวลเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 48,458.05 จุด ลดลง 245.96 จุด หรือ -0.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,827.41 จุด ลดลง 73.59 จุด หรือ -1.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,195.17 จุด ลดลง 398.69 จุด หรือ -1.69% ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.05% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.63% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.62% ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านการลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้นั้น แสดงความกังวลว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงเกินไปที่จะสนับสนุนการลดดอกเบี้ย

  • mitihoon

    ADBE06 DRหุ้นซอฟต์แวร์ AIหนุนรายได้แกร่ง 12/12/68

    มิติหุ้น – ADBE06 โดย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาหุ้นคาดว่าจะได้แรงหนุนจากแนวโน้มการนำ AI เข้ามาสร้างรายได้ในเชิงพานิชย์ซึ่งแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมผ่านผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาด บวกกับ Valiation ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่มาก โดย ปัจจุบัน Adobe เทรดอยู่ที่ PER 15 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่ที่ 48 เท่า จึงมองว่าราคาหุ้นในโซนนี้อยู่ในจุดที่น่าสะสม ภาพรายวันราคาไต่ระดับทดสอบ, Downtrend Line บริเวณ 2.76 บ.พร้อมกับ MACD ให้สัญญาณบวกสนับสนุน หาก Breakout ขึ้นไปได้ มีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้มจากพักตัว กลับมาเป็น Sideway Up

  • hoonsmart

    “ดีลอยท์” เผยการขึ้นเงินเดือนปี’68 ลดลง แรงกดดันต้นทุน AI 11/12/68

    HoonSMart.com >> ผลสำรวจการปรับเงินเดือนในประเทศไทย ปี 2568 ลดลง เหตุองค์กรต่าง ๆ รับมือแรงกดดันด้านต้นทุนและการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วย AI บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับเงินเดือน ค่าตอบแทน และความท้าทายด้านทรัพยากรบุคคลที่ได้จัดทำเมื่อต้นเดือนตุลาคม พบว่า เงินเดือนในประเทศไทย ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ในปี 2568 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตร้อยละ 5 การลดลงเหลือร้อยละ 4.5 สะท้อนถึงแรงกดดันด้านต้นทุนและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ องค์กรจึงต้องจัดการงบประมาณเงินเดือนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ปี 2568 อุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภคยังคงรักษาอัตราการปรับขึ้นเงินเดือนที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5 ในขณะที่อุตสาหกรรมค้าปลีกและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 4 แสดงถึงอัตราที่ตํ่าที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรม

  • kaohoon

    หุ้นกู้ AI กับความกังวลสูงขึ้น.! 09/12/68

    งานวิจัยล่าสุดของโกลด์แมน แซคส์ ระบุถึงความวิตกกังวลของนักลงทุน เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการออกตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับ AI ส่งผลต่อทั้งตราสารหนี้ระดับลงทุน (Investment Grade) และหุ้นกู้ที่จ่ายผลตอบแทนสูง (high yield) โดยปีนี้การออกตราสารหนี้ที่เชื่อมโยงกับ AI เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และผู้ประกอบการ AI รายใหม่ทั้งหลายเริ่มหันมาลงทุนตลาดตราสารหนี้เพื่อระดมทุนสำหรับการสร้างศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ควบคู่กับการใช้ทุนสำรองเงินสดและการออกหุ้นเพิ่มทุน อย่างไรก็ดีนักลงทุนบางส่วนยังกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มดังกล่าวและตราสารหนี้ที่เชื่อมโยงกับ AI มีผลประกอบการต่ำกว่าตลาดสินเชื่อโดยรวม “ความกังวลดูเหมือนเจาะจงไปที่บริษัทผู้ออกตราสาร มากกว่าหุ้นกู้ระดับลงทุน (Investment Grade) ส่วนหุ้นกู้ที่จ่ายผลตอบแทนสูง ความกังวลจะครอบคลุมไปทุกภาคส่วน”

  • thunhoon

    ทรีนีตี้มองปี 69 เก็บเกี่ยวลงทุน บุก TFEX–เสริมบริการด้วย AI 08/12/68

    #ทันหุ้น – ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน)(“TNITY”) และคุณณิยะดา จ่างตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดร่วมนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน ในงาน Opportunity Day ที่จัดขึ้นโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2568 ว่าบริษัทยังคงมุ่งขยายฐานธุรกิจในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX ) อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาตัวเลขซื้อขายในตลาด TFEX ของบริษัททั้งมูลค่าการซื้อขาย และส่วนแบ่งทางการตลาดขยับตัวเพิ่มขึ้น หนุนให้ไตรมาส 3 ปี 2568 มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.25% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.40% สำหรับในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และด้านวาณิชธนกิจยังคงให้ความสำคัญกับการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) ที่ยังมีต่อเนื่อง การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการออกหุ้นกู้ที่มีกว่า 30 ดีล และการเป็นที่ปรึกษาด้าน M&A ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเสริมรายได้ในปีหน้า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2568 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อน บริษัทมีตัวเลขขาดทุนลดลงเหลือ 6.23 ล้านบาทจาก 9.02  ล้านบาท และบริษัทคาดหวังว่าจะไม่มีผลขาดทุนหลังจากจบงวดนี้ เนื่องจากบริษัทยังมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง รายได้จากธุรกรรม TFEX  ที่เติบโตมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทมีการลดพอร์ตการปล่อยมาร์จิ้นโลนลง ประกอบกับคาดว่าการตั้งสำรองความเสียหายจากกรณีหุ้น MORE น่าจะได้เงินจากที่ตั้งสำรองไว้คืนมาทั้งหมด เนื่องจากเบื้องต้นศาลชั้นต้นตัดสินให้ชนะคดีแล้วรอเพียงคำตัดสินของศาลอุทธรณ์เท่านั้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะสนับสนุนให้ผลดำเนิน งานของบริษัทกลับมามีกำไรได้ในอนาคต

  • set