บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
BBBIK พลิกโฉมธุรกิจดิจิทัล สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน Q2/2568
P/E 9.60 YIELD 1.45 ราคา 15.20 (0.00%)
BBBIK พลิกโฉมธุรกิจดิจิทัล สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน Q2/2568
สวัสดีนักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งใน Opportunity Day ไตรมาส 2 ปี 2568 วันนี้ผมจะใช้เวลาในช่วงแรกในการอธิบาย 3 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกจะเป็นภาพรวมธุรกิจของรูบิค ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ส่วนที่ 2 จะเป็นไฮไลท์ Financial Performance ของเราในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และส่วนสุดท้ายจะเป็นแผนการในปีนี้และปีหน้าที่เรากำลังทำกันอยู่
สำหรับคนที่เพิ่งเคยติดตามรูบิค รูบิคคือบริษัทที่ทำเรื่อง Digital Transformation แบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาไปจนถึง Implement ระบบต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาเราทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำ Enterprise ขนาดใหญ่ โดยบริษัทก่อตั้งโดยอดีตที่ปรึกษาจากบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ปัจจุบันเรามี Subsidiary และ Joint Venture ในกลุ่มมากมาย โดยมีจำนวนพนักงานกว่า 1,000 คนใน 4 ประเทศ และล่าสุดเราได้ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ MAI เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ SET เรียบร้อยแล้ว
การเติบโตของรูบิคเป็นไปอย่างต่อเนื่องทุกปี ปีที่แล้วเป็นปีที่เราสร้างการเติบโตได้สูงที่สุด และปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เรามี Partner กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกหลายบริษัท เพื่อนำเทคโนโลยีต่างๆ มาให้องค์กรในประเทศไทย รวมถึงการสร้าง Product ของตัวเอง ทั้ง Product ที่เป็น Software as a Service และธุรกิจใหม่ๆ ที่เราทำ Joint Venture กับ Partner และลูกค้า เราได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำต่างๆ มากมาย ในด้านการบริหารงาน การทำงาน และการสร้าง Innovation
กลุ่มธุรกิจของเราแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation (Consulting Services) ซึ่งยังเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้และผลกำไรหลักให้กับกลุ่มบริษัท
- กลุ่ม Digital Platform Implementation คือการนำ Package Software สำเร็จรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ ERP ระบบ CRM รวมไปถึงระบบอื่นๆ มา Implement ให้กับลูกค้า
- กลุ่ม Joint Venture ที่เรานำขีดความสามารถของบริษัทไปรวมกับ Partner เพื่อสร้างธุรกิจใหม่และรายได้เพิ่มเติม
- กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ มี Office ในต่างประเทศเพื่อใช้ในการ Recruit Talent หาลูกค้า และเปิดตลาดสำหรับ Service และ Product ของเรา
เราทำ Digital Transformation แบบครบวงจร ตั้งแต่งานที่ปรึกษาซึ่งเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ส่วนของการวางกลยุทธ์ในด้านธุรกิจ ในด้านการดู Strategy ขององค์กร ว่าองค์กรจะสร้างการเติบโตอย่างไรได้บ้าง สามารถเพิ่มผลกำไรให้กับองค์กรได้อย่างไร หลังจากการให้คำปรึกษาในด้านธุรกิจ เราก็มีการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัล และด้าน IT ต่างๆ เป็น Service ถัดมาที่เราเรียกว่า Digital Excellence ซึ่งเราให้คำปรึกษาตั้งแต่การวางสถาปัตยกรรมของโครงสร้าง Software ในองค์กรขนาดใหญ่ การวางกระบวนการ Delivery (DevOps) กระบวนการด้านความปลอดภัย (Compliance) ไปจนถึงเรื่องของการวางโครงสร้างองค์กรของฝั่ง IT
ที่สำคัญคือเรามีทีมที่ทำเรื่อง Delivery ด้วย คือทำ Implement ทำพวก Software ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง ไม่ว่าจะเป็นระบบ Core System ระบบที่ Manage เรื่องของ Payment ระบบสถาบันการเงิน ระบบสถาบันหลักทรัพย์ต่างๆ ไปจนถึงระบบที่ใช้ในการ Serve Super App ลูกค้าหลักหลายสิบล้านรายที่ต้องเข้ามาใช้ใน Application ขนาดใหญ่ และทำเรื่อง Performance Tuning ทำเรื่องของการสร้างระบบให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
เรายังมีทีมที่ทำเรื่อง Big Data AI ที่ช่วยทำตั้งแต่เรื่อง Analytics Use Case ต่างๆ ว่าเราสามารถเอาทั้ง Data และ AI ไปแก้ปัญหาทางธุรกิจอะไรได้บ้าง ไปจนถึงการทำที่ปรึกษาด้าน Data Management Data Governance ดูเรื่องของการ Comply ทั้ง Regulatory Requirement (PDPA) หรือในส่วนของการทำ Governance ภายในองค์กร การดูเรื่อง Data Quality ต่างๆ ไปจนถึงการสร้าง Platform ที่เกี่ยวกับ Data เช่น Data Lake, Data Warehouse, Lake House ต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการใช้ AI ในการสร้าง AI Model ไม่ว่าจะเป็น Predictive Model ต่างๆ Risk Model การทำ Anomaly Detection การทำ Prediction ในด้านต่างๆ ไปจนถึงการใช้ LLM (โมเดลภาษาขนาดใหญ่) ในการทำ Automation และการเข้ามาใช้ใน Customer Experience ต่างๆ
เรายังให้คำปรึกษาในการ Enhance พวกระบบที่เป็น Package Software ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ให้สามารถตอบโจทย์ได้มากขึ้น เช่น CRM, ERP, API Management, Automation, Low-Code ต่างๆ อีก Service หนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ Cyber Security ที่เราให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบ IT ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจสอบ (Penetration Test) การทำ Vulnerability Assessment ไปจนถึงการวางแผน Cyber Response และการทำ Forensics สืบสวนสอบสวนเวลาเกิดเหตุการณ์ขึ้น และช่วยคิดหาวิธีในการป้องกัน อีก Service ที่สำคัญคือ Strategic PMO หรือการบริหารโครงการที่มีความซับซ้อนสูง โดยเราเข้าไปช่วย Manage โครงการขนาดใหญ่ ที่อาจจะต้อง Manage Stakeholder จำนวนมาก เช่น เรื่องของการควบรวมกิจการ การขึ้นระบบ Core System การ Migrate Platform ต่างๆ ที่ต้อง Coordinate กับหลายๆ Party
ทั้งหมดนี้เป็นภาพรวมของ Service ที่เราทำ End-to-End รวมไปถึงเรื่อง Leadership Training ด้วย ซึ่งจะพูดถึงในส่วนของ Joint Venture ถัดมาคือกลุ่มธุรกิจ Digital Platform Implementation ที่เรามีทีมที่ทำงานร่วมกับ Global Partner ในการนำ Platform ต่างๆ เข้ามา Implement ให้กับลูกค้า และเราเองก็มีการพัฒนา Software as a Service (SaaS) และ Software ที่เป็น Product ของเราเอง เช่น ระบบ HR ที่ชื่อ HumanOS, ระบบ Lisma X ที่นำ ERP ขึ้นมาใช้บนมือถือได้ หรือระบบ Credence Data e-Sign ที่ทำเรื่อง Business Data และ e-Signature ต่างๆ
ในกลุ่มที่ 3 คือ Joint Venture ที่เราทำร่วมกับ Partner และลูกค้า เช่น Orbik Digital ที่เป็น Technology Arm ให้กับกลุ่ม OR ในการสร้าง Retail Innovation และทำ Data Monetization Soft Skill ที่เราทำร่วมกับ The Standard ในการนำองค์ความรู้ต่างๆ ที่เราทำ Research Development มาจากงาน Consulting มาทำ Leadership Training ให้กับผู้นำระดับสูงขององค์กรชั้นนำต่างๆ เพื่อช่วยให้เขาทำ Transformation ได้สำเร็จ และ Joint Venture กับ Thailand ที่ชื่อว่า EcoX ในการทำ Platform ที่เกี่ยวกับ Carbon Accounting และ Green Technology ในกลุ่มสุดท้ายคือ Global Business ซึ่งเรามี Office อยู่ที่อังกฤษ เวียดนาม และอินเดีย และยัง Service ลูกค้าในประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
ในส่วนของ Highlight ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกไตรมาสหนึ่งที่รูบิคทำผลงานได้ดีมาก เป็นไปตามเป้าหมายและอาจจะทะลุเป้าหมายด้วย เราสามารถสร้างการเติบโต Revenue ได้ 8% ถ้าดูที่หน้างบ แต่จริงๆ แล้วเราต้อง Take into account ว่าปีนี้เรามีการย้ายพนักงานจากบริษัทแม่ไปอยู่ใน Joint Venture ต่างๆ โดยตรง ทำให้เราไม่ได้มีค่าใช้จ่าย การ Charge Secondment Fee ก็จะลดน้อยลง ทำให้รายได้ในส่วนนี้หายไป แต่ไม่ได้กระทบอะไรกับกำไร เพราะการ Charge Secondment Fee เข้าไปที่บริษัท Joint Venture ปกติเราจะ Charge ราคาเกือบๆ at Cost อยู่แล้ว จึงแทบจะไม่มีกำไร ส่วนนี้จึงไม่ได้มีผลกระทบกับกำไร เป็นการย้ายโครงสร้างภายในเพื่อให้พนักงานไปอยู่ในที่ที่ถูกต้องมากขึ้น รายได้ส่วนนี้หายไป แต่ถ้าเรา Normalize แล้ว Adjust ส่วนพวกนี้ออกไป รายได้เราจะเติบโตถึงประมาณ 27% และ Net Profit After Minority Interest เติบโตสูงถึง 79% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าเป็นอีกไตรมาสที่เราทำผลงานได้ดีมาก แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะมีความผันผวนอยู่
ถ้าดูย้อนหลังจะสังเกตได้ว่ารูบิคเติบโตทุกปี เรายังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและ Consistent ด้วยแผนการและ Business Model ที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ ในไทย ทำให้เรายังคงการเติบโตได้ดี ด้วย Combination ของ Service ที่เรามี เราเชื่อว่าจะยังสามารถสร้างการเติบโตได้ต่อไปทั้งในส่วนของรายได้และกำไร
Backlog ของเรายังอยู่ในระดับที่สูงมาก โดยรวม Parent Subsidiary และ JV สูงเกินกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ที่ 1,082 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่างานของเราในปีนี้ยังแข็งแรงมาก และน่าจะยังสามารถเดินตามเป้าหมายเดิมได้
Recurring Income สัดส่วนอาจจะ Drop ลงไปบ้าง เกิดจากเหตุผลเดียวกับรายได้ คือการถอดรายได้ Secondment ออกไป เพราะมีการย้ายพนักงานไปที่ Joint Venture โดยตรงมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับกำไร ถ้าดูรายได้ที่เป็น Recurring ในด้านอื่นๆ เช่น Maintenance, License Reselling, Support Outsourcing ต่างๆ ก็ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดิม แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างธุรกิจที่ยังเป็นในลักษณะเดิม
[เริ่ม Q&A Session นาทีที่ 25:53]
คุณศรีแพร CFO ของรูบิค จะอธิบายรายละเอียด Financial เพิ่มเติม
ในส่วนของรายละเอียดตัวเลข Financial Performance ของไตรมาส 2 ถ้าเราดูตัวเลข 3 เดือนก่อน รายได้สำหรับงวด 3 เดือนของไตรมาส 2 อยู่ที่ 365 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 179 ล้านบาท บรรทัดสุดท้ายคือ Net Profit After Minority Interest กำไรสุทธิของส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ประมาณ 74 ล้านบาท ถ้าดูตัวเลข 3 เดือนจะเห็นว่าเติบโตทั้งรายได้และ Bottom Line ทั้งในฝั่งของ Year-on-Year Q1Q ทั้งหมด ถ้าขยับมาดูในคอลัมน์ด้านขวา ให้ดูเป็นตัวเลขของ 6 เดือน เรายังเห็นความ Stable อยู่ ถ้าเทียบ 6 เดือนปีนี้กับ 6 เดือนปีที่แล้ว รายได้เราจบครึ่งปีไปอยู่ที่ 712 ล้านบาท ตัวเลขอาจจะดูเหมือนไม่ได้ Groth มาก แต่ก็คือมี Factor ตามที่ คุณ พชร ได้อธิบายไปเมื่อสักครู่ คือมันมีส่วนนี้อยู่ ถ้าเราลองไล่ลงมาดูจะเห็นว่าตัวกำไรสุทธิ Bottom Line เราจบได้อยู่ที่ 146 ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ 33% แสดงว่าศักยภาพในการเติบโตของเราจากปีที่แล้วมาเป็นปีนี้ยังคงโดดเด่นมากๆ
ต่อไปจะเป็นการ Breakdown ในส่วนของรายได้ เพื่อดูว่าใน Segment ไหนที่เป็นตัวที่ทำให้เรามีการเติบโต จะมีการเบรกรายละเอียดมากขึ้น แต่ละคอลัมน์จะโชว์เป็นรายได้ของงวด 3 เดือน ตัวขวาสุดจะเป็นรายได้ 3 เดือนของไตรมาส 2 เราจะเห็นว่า Portion จะคล้ายๆ เดิม คือส่วนงานที่เป็นสีน้ำเงินกับสีฟ้าอ่อนคืองาน DX กับส่วนงาน ERP CRM ยังคงเป็น Main Portion ที่เป็นตัว Growth Driver ของเรา ในไตรมาส 2 นี้ตัวงาน ERP CRM จะเป็นตัวที่ค่อนข้างโดดเด่น มีการเติบโตต่อเนื่องมา แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะเจอกับสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยทางลบต่างๆ ลูกค้าก็ยัง Spending ในตัวที่มีความจำเป็นในระบบต่างๆ พวกนี้ ในขณะเดียวกันงานที่เป็น Core ในส่วนของ DX ก็ยังมีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
ถ้าเราจะดูรายละเอียดเพิ่มเติมจะเห็นว่าใน Part ของงาน Corporate Training และ Leadership Training ในไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ตัวเลขอาจจะยังไม่ได้สูงมาก ถ้าเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว อันนี้เป็นในเรื่องของ Timeline จำนวนครั้งของการจัด Training ในปีนี้ในครึ่งปีแรกอาจจะยังไม่เยอะมาก แต่ในแผนของการจัดในช่วงครึ่งปีหลังรวมไปถึง Pipeline ที่มี ค่อนข้างโดดเด่นสำหรับธุรกิจนี้ คาดหวังว่าในครึ่งปีหลังน่าจะเห็นการเติบโตของ Segment นี้ได้ดีมากๆ และในขณะเดียวกัน Segment อื่นๆ ก็คาดหวังว่าจะเห็นการเติบโตได้เช่นเดียวกัน
ต่อไปจะไปสู่ในส่วนของการทำกำไร จะเบรกดาวน์เริ่มต้นในส่วนของ Gross Profit ก่อน กำไรขั้นต้นในตัวกราฟด้านซ้ายสุด ถ้าดูตัว GPM (อัตรากำไรขั้นต้น) ที่เราคำนวณตรงๆ ตามหน้างบมาเลยของครึ่งปีปี 2567 GPM จะอยู่ที่ 45% แต่ครึ่งปีของ 2568 ตัวเลขขยับขึ้นเป็น 50% แต่ใน Part นี้จะมีส่วนของรายได้กับต้นทุนที่เกี่ยวกับเรื่องของ Secondment อยู่ ซึ่งเราควรจะ Normalize ออกไปและดูเฉพาะส่วนที่เป็น GPM ที่เราทำกับ Third-Party จริงๆ ถ้าเป็น GPM ส่วนนี้สำหรับปีที่แล้วจะอยู่ที่ 49% สำหรับครึ่งปีปีนี้จะอยู่ที่ 54% สะท้อนให้เห็นว่าในเชิงของการให้บริการของเรามีการบริหารจัดการในเรื่อง Efficiency ต่างๆ ได้ค่อนข้างดี ยังคงรักษาอัตราการทำกำไรตั้งแต่กำไรขั้นต้นเลยได้ค่อนข้างดีมากๆ Drive มาต่อสู่ในเรื่องของ Net Profit เมื่อเรา Maintain ใน Part นี้ได้ตัว Net Profit ของเราเติบโตครึ่งปีจาก 110 ล้านปีที่แล้วขึ้นมาเป็น 146 ล้านบาท ในเชิงของ Volume คือขึ้นประมาณ 33% และตัว Net Profit Margin เองก็ขึ้นจาก 16% ในปีที่แล้วขึ้นมาเป็น 20% ในปีนี้ อยู่ในระดับที่เป็นระดับที่บริษัท Expect คือตัว NPM ที่อยู่ในระดับประมาณ 20% บวก สะท้อนว่าในปีนี้เรายังคง Maintain ในเรื่องของ Performance ต่างๆ ได้ค่อนข้างดี
ในส่วนถัดมาจะเข้าสู่ Financial Position สำหรับครึ่งปีเอง ตัวเลข Total Assets ลดลงเล็กน้อย ลดลงประมาณ 100 กว่าล้านบาท โดยหลักๆ เกิดจากการลดลงของตัว Cash ที่เรามีการจ่ายออกไปเพื่อ Acquire Tran สุดท้ายของบริษัท Innoviz ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ตาม Deal เราจะทยอย Acquire เขา 3 Tran ซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เรา Acquire Tran สุดท้าย เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัว Total Assets ภาพรวมของเราลดลง นอกเหนือจากตัวนี้ Operation อื่นๆ ของเราก็มีการเติบโตขึ้น ทั้งในเรื่องของ ตัว Account Income, Intangible Assets หรือ Assets อื่นๆ ในส่วนของหนี้สินเองภาพรวมตัวเลขลดลงจากปลายปี 2567 มาเป็นครึ่งปี 2568 หลักๆ ก็เกิดจากเรามีการจ่าย ตัวหนี้การค้าและ Accrue Expense ต่างๆ ไปในช่วงครึ่งปีแรก ในส่วนของ Shareholder Equity เองตัวเลขภาพรวมลดลง ครึ่งปีเรามีกำไร กำไรเข้ามาประมาณ 140 กว่าล้าน แต่ตัวเลขทางบัญชีเราต้องมีการบันทึก ขา Debit เข้าไปในตัว Shareholder Equity ในส่วนที่เป็นส่วนต่าง ของในเรื่องที่เรา Acquire Tran สุดท้ายของ Innoviz จะมีส่วนต่างของเงินที่เพศไปกับตัว Netbook ที่ Acquire เข้ามา ส่วนต่างนี้ทางบัญชีต้องบันทึกเป็นขา Debit ในตัว Shareholder Equity ก็เลยทำให้ภาพรวมของตรงนี้ลดลง
ถ้าเรามาดูตัว Financial Ratio ที่สำคัญ ณ ครึ่งปี เราจะเห็นว่า DE Ratio เรายังอยู่ในระดับที่ Stable และค่อนข้างต่ำมากๆ อยู่ที่ 0.22 เราแทบจะไม่ได้มีตัว Interest Bearing Death เลยในงบของเรา และตัวอัตราการทำกำไรที่สำคัญทั้ง ROA และ ROE ก็ถือว่าโดดเด่น ถ้าเราเปรียบเทียบก็คือเราถือว่าเรา ค่อยๆ เติบโตขึ้นและก็โดดเด่น กว่า หลายๆ บริษัทด้วยเช่นเดียวกัน ROA ตอนนี้อยู่ที่ 16% และ ROE อยู่ที่ประมาณ 18%
ในส่วนสุดท้ายคือแผนการของเราในการพัฒนาองค์กรของเรา เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน รูบิคหลังจากการ Move เข้าสู่ตลาด SET ก็ได้มีการประกาศแผนใหม่ออกมา เรามีความตั้งใจจริงที่จะขับเคลื่อนบริษัทให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราแบ่ง Initiative ของเราออกเป็น 12 เรื่อง ซึ่งถูก Group ออกมาอยู่ใน 3 ทีม ได้แก่
- การสร้าง Operational Excellence คือการทำให้ธุรกิจมีความ Efficient มีประสิทธิภาพสูง และทำให้เราเติบโตได้ คือมีการปรับ Foundation ภายในให้พร้อมที่จะก้าวกระโดด
- การหา Value ใหม่ๆ ในตลาด การสร้าง Product Service สร้าง Innovation เพื่อเพิ่มรายได้ของเรา คือเพื่อให้เรา Scale ต่อไป
- Strategic Expansion พวก Special Project M&A ต่างๆ ที่จะทำให้เราสามารถ Springboard ขึ้นไปได้เพิ่มเติม รวมถึงการวางแผน Long-Term Growth ของเราด้วย
3 ส่วนนี้จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เราลองไป Zoom In ใน Pillar แรกก่อน ในเรื่องของการ Build Foundation สำหรับ Scale และ Efficiency เรื่องแรกคือการ Optimize Staff Utilization ซึ่งเราได้พัฒนาเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง และเห็นได้ว่าตอนนี้ตัวเลขก็พัฒนาดีขึ้นจริง ๆ อัตราการทำกำไรของรูบิคยังอยู่ในระดับที่สูงมาก และทำได้ดีขึ้นด้วย แม้ว่าในสภาพตลาดปัจจุบันอาจจะมีความผันผวนและมีสิ่งที่ไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยความที่เรามีการรักษาเรื่องของ Cost และ Efficiency ของพนักงานได้สูง ก็ทำให้เราได้รับผลกระทบตรงนี้น้อย รวมไปถึงการปรับ Cost Structure หลายอย่าง ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น หลังจากที่เรา Acquire บริษัทเข้ามา ก็มีการทำ Post-Merger Integration Activity อย่างต่อเนื่อง และเริ่มมีการตัดค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น ตรงนี้เป็นส่วนที่น่าจะเกิดประโยชน์ ทำให้เราเพิ่มอัตราการทำกำไรได้ดี ในเรื่องของการ Leverage Partner มาช่วยงานในด้านต่าง ๆ เช่น งาน Overseas ทำให้เราไม่ต้องลงทุนเองในหลาย ๆ จุด เวลาเรา Scale ออกไป เราไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเยอะ ในเรื่องของการ Scale ในฝั่ง Overseas
ในเรื่องของการนำ AI มาใช้ นอกจากการนำ AI ไปขายให้ลูกค้า เราก็มีการนำ AI มาใช้ใน Operation ของเรา เพื่อทำให้ Efficiency Productivity ของพนักงานสูงขึ้น ซึ่งเราก็เริ่มเห็นผล และยังสามารถมีอีกหลายจุดที่จะนำ AI เข้ามาใช้เพิ่มเติมได้ สุดท้ายคือการ Invest ใน Skill ของคน เราพยายามที่จะ Focus มากขึ้นว่า Skill ที่คนของเราต้องมีคืออะไร ถ้ามีคนที่ Skill ที่ถูกต้อง จะทำให้ Efficiency ของบริษัทสูงขึ้นด้วย ที่ผ่านมาเรามีการปรับโครงสร้างองค์กรหลายรอบ ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า Skill ที่เราต้องการคืออะไร และมีการ Reskill คนเหล่านั้นให้ตรงจุดมากขึ้น ผลลัพธ์ที่เห็นคือความแข็งแรงในเชิง Financial ต้นทุน Efficiency Productivity ของงานเรา และคุณภาพที่ลูกค้าเห็น ทำให้ Foundation ตรงนี้จะทำให้เรา Scale เข้าไปใน Segment ใหม่ ๆ ได้ บาง Segment ที่เคยมองว่าโอกาสทำกำไรไม่ชัดเจน ด้วย Cost Structure ใหม่และ Efficiency ของเราตอนนี้ ก็จะมีโอกาส Scale ได้ไปใน Area พวกนั้นได้มากขึ้นด้วย
ถัดมาคือการสร้าง Value สร้าง Top Line เราเน้นเรื่อง Upsell Cross-Sell ซึ่งหลังจากทำ Post-Merger Integration ก็ยังเห็นว่ามี Room ในการ Upsell Cross-Sell อยู่ค่อนข้างเยอะ ในกลุ่มธุรกิจของรูบิค ด้วย Business Model ของเราที่ Drive มาจากงานที่ปรึกษา ทำให้โอกาส Upsell Cross-Sell มีอยู่ค่อนข้างเยอะแล้ว รายได้และกำไรของเราก็จะมีความเสถียรค่อนข้างมาก แต่เรายังเชื่อว่ายังสามารถเพิ่มเติมเรื่อง Upsell Cross-Sell ได้มากกว่านี้อีก ด้วย Client Relationship ที่มีอยู่ตอนนี้ เราพยายามที่จะคิด Service ใหม่ ๆ ที่จะมาตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น และพยายามที่จะทำ Service ที่ล้อไปกับเรื่องของ Megatrend และเป็นความต้องการของตลาดจริง ๆ เช่น เรื่องของ AI รายได้ของเราแทบจะทุก Service ตอนนี้มีความเกี่ยวข้องกับ AI ทั้งหมด และทำให้เราสร้าง Growth ตรงนี้ได้ค่อนข้างดี ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลาย Technology เช่น เรื่อง Sustainability ที่น่าจะสร้าง Value ได้อีกเยอะมากในช่วงปีสองปีที่จะถึงนี้
แม้กระทั่งในฝั่งตลาดในประเทศเอง เราก็ยังมี Virtual Banking, PlaFirst Initiative ต่างๆ ที่จะเข้ามา Generate Demand เพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างเรื่อง Virtual Banking ตอนนี้ก็ได้รับโอกาสมากขึ้นในการเข้าไป Participate ใน Bidding ต่างๆ ก็คิดว่าทำให้ตอนนี้เห็น Demand ชัดเจนขึ้น และในส่วนของ Segment อื่นๆ ที่เราสามารถเข้าไป ปัจจุบันเราก็พยายามที่จะ ให้ใช้ Synergy กับทางพวก Joint Venture ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Soft Skill ที่เราทำ Leadership Training ก็ทำให้เปิดประตูบานใหม่ๆ เข้าสู่องค์กรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน ด้วย Business Model ของเราที่มีความลงตัว ทำให้เรายังสามารถรักษาการเติบโตและคิดว่ายังสามารถที่จะเติบโตต่อไปได้
ถัดมาคือการมอง Long-Term การหา Springboard ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ M&A ที่เราเองก็ปัจจุบันยัง Active อยู่ และยังมี Deal ที่เข้ามาให้พิจารณาอยู่เรื่อยๆ พยายามที่จะ Execute ตรงนี้ให้เกิดผลให้เร็วที่สุด Part ของ JV ก็เช่นกัน เรามีความคาดหวังว่า JV น่าจะมีการเกิดขึ้นเพิ่มเติมในระยะเวลาที่ไม่นานนัก รวมถึงในส่วนของพวกการนำบริษัทที่อยู่ใน Group ของเราไป Raise Fund IPO มากขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วบริษัทใน Group มีหลายตัวที่มีอัตราการเติบโตที่ดี และน่าจะสามารถ Unlock เรื่องของ Value ได้ เพราะด้วยปัจจุบันด้วย Valuation ของเรา เราเชื่อว่าจริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายส่วนที่เราน่าจะสามารถยัง Unlock ตัว Value เหล่านี้ได้อยู่
สิ่งที่พูดมาทั้งหมดคือการสร้างเป้าหมาย ตอนนี้เป้าหมาย SET100 ของเราก็ยังคงอยู่ เรา Set Timeline ชัดเจนแล้วว่าอีก 3 ปี เราพยายามจะเข้าไปสู่ SET100 ตรงนี้ให้ได้ ด้วย Foundation ที่พูดมาทั้งหมด เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ และเราเดินมาถูกทางกับสิ่งที่เราได้ Invest ไปในช่วงที่ผ่านมา
ถึงตรงนี้ก็มาถึงจุดของ Presentation ที่จะเปิดคำถาม เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างๆ ได้ถามคำถาม ซึ่งถ้ามีท่านไหนที่มีคำถามสามารถส่งเข้ามาในระบบได้เลย
ขออนุญาตเริ่มคำถามแรก โอกาสของรูบิคเองในงานด้าน Virtual Bank ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ
จริง ๆ ตอนนี้ก็ดูมี Pipeline ค่อนข้างดี เราค่อนข้างที่จะ มี Pipeline Bidding อยู่พอสมควรที่เกี่ยวกับ Virtual Bank และเรา เรามีการ Win บาง Project ไปแล้วด้วยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา อาจจะเป็น Project เล็ก ๆ และเน้นงาน Consulting เป็นหลักแต่งาน Implementation เริ่มมี Flow ของ Bidding เข้ามามากขึ้น และเชื่อว่า น่าจะน่าจะเป็นจุดที่เพิ่มเติม Demand ให้กับ Industry ได้ดีแต่งานลักษณะนี้ก็จะไม่แตกต่างงาน Banking ทั่ว ๆ ไปเท่าไหร่ คิดว่าตรงนี้ก็เป็น ทีมที่รับผิดชอบก็จะเป็นทีมเดียวกันเป็น Skill ในลักษณะเดียวกัน
เราวางแผนกำกับตอบเวลาในการเอาบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไว้อย่างไรบ้างคะ
จริง ๆ เราเริ่มดำเนินการบางส่วนไปแล้ว เรื่องมาตรฐาน การควบคุมภายในอะไรต่าง ๆ บริษัทย่อยของเราใช้มาตรฐานเดียวกันกับบริษัทแม่อยู่แล้ว ที่เหลือจะเป็นเรื่องของ Market Timing และการเตรียมตัวในด้านที่เป็น พวกด้านงบต่าง ๆ ที่จะเป็นชุดใหญ่ ๆ ซึ่งเราก็หวังว่าถ้าตลาดมีการฟื้นตัวในช่วงระยะประมาณ 3 ปี จะเป็น Timeline เดียวกับ Timeline ที่เรา Set ไว้สำหรับตัว SET100 จะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเริ่มนำบริษัทย่อยที่มีความแข็งแรงเข้าสู่ตลาด ปีนี้ ใน ในช่วงปีที่จะถึงนี้จะมีการปรับโครงสร้างบริษัทย่อยเพื่อรองรับตรงนี้อีกด้วย อาจจะมี Activity ใหญ่ ๆ เกิดขึ้น และจะทำให้บริษัทมีความพร้อมที่สุดแล้ว ปีนี้ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของ Market Timing
อยากทราบ Outlook ของอุตสาหกรรมนี้ทั้งในช่วงครึ่งปีหลังและก็ต่อเนื่องยาวไปจนถึงปีหน้าเลยค่ะว่าเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวบ้างไหมคะ
จริง ๆ ก็ต้องบอกว่า มันมีความไม่แน่นอนอยู่ ในภาพของ Macro ภาพเศรษฐกิจก่อน อาจจะยังไม่ต้องเจาะรายอุตสาหกรรม เรา เราคิดว่ายังมีความไม่แน่นอนในสภาพเศรษฐกิจอยู่ แต่ว่าถ้าถามว่าในส่วนอุตสาหกรรมเอง Demand ก็อย่างน้อยในช่วงที่เราเห็นในเดือนสองเดือนนี้ยังค่อนข้างดีอยู่ อย่างเรื่อง Bidding หรือเรื่องอะไรเนี่ย ฝั่งเราเองเรายังมีอยู่ค่อนข้างเยอะ มี Pipeline การ Bidding อยู่ค่อนข้างเยอะ อยู่ที่เรื่องการ Closing มากกว่าที่ ที่จะต้องทำให้ได้ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ ตลาดจะเป็นยังไง ในช่วงที่เหลืออยู่ทั้งหมด เพราะว่าสภาพเศรษฐกิจเองก็มีความไม่แน่นอน แต่เท่าที่เรามี Visibility ตอนนี้เรา เรายังไม่ได้กังวลมากกับ Pipeline Bidding ที่เรามีอยู่ และเราเชื่อว่า Demand ในระยะกลางระยะยาว อันนี้มันเยอะมากๆ ไม่ได้หายไปไหน เพราะว่าอย่างที่เคยได้เรียนทุก ๆ ท่านไปในทุก ๆ ครั้งที่มา Present ว่างาน ทุกอย่างไม่ได้หายไปไหน อย่างช่วงที่ไม่แน่นอนทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือการชะลอ แต่แปลว่าการชะลอตรงนี้สุดท้ายจะต้องกลับมา และด้วย Technology ปัจจุบันที่เราเห็น Technology ใหม่ ๆ ที่เข้ามาเนี่ย สร้างความสนใจให้กับ Corporate มาก ๆ และผมเชื่อว่าถ้าสุดท้ายมันก็เป็นสิ่งจำเป็น ในทุก ๆ เรื่อง ที่ ที่จะต้องทำเนี่ยยกตัวอย่างพวกองค์กรขนาดใหญ่เองเขาก็ต้องมีการปรับกระบวนการมีการนำ AI มาใช้มีการขยายพวกระบบ Call System พวกเนี้ยมันเป็น มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าจำนวน Transaction จำนวน User ที่เข้าไปสู่โลกดิจิทัลมันเยอะขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นเราก็เชื่อว่า Demand ในระยะกลางระยะยาวอันนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่า พอถ้าสภาพเศรษฐกิจดูดีขึ้นยังไงงานพวกนั้นก็จะเยอะมากๆ แต่ว่าในส่วนระยะสั้นเอง ด้วยความที่สภาพเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เราก็คงไม่สามารถที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่าในหนึ่งปีเนี้ยสภาพจะเป็นยังไงแต่เท่าที่เราเห็นในระยะสั้นมากๆ อย่างน้อยตัวพวก Pipeline ที่เราทำงานอยู่เนี่ยยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่
อยากให้ช่วยขยายความถึงเป้าหมายและก็ความคาดหวังในการเอาบรูบิคเข้า SET100 นิดนึงค่ะ
เป้าหมายของเราในการเข้า SET100 แน่นอนว่าเพื่อ Set ให้มีความชัดเจนเรื่องการเติบโต เพราะว่า เราเชื่อว่าบริษัทเราที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ในจังหวะนี้เราคงจะต้อง Unlock Value หลายอย่าง เช่น แค่เรื่องของการเติบโต เราก็จะ Unlock Value จาก Synergy ในกลุ่มก่อน และในเรื่องของการหา Service ใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา Plug in ก็จะสามารถสร้างการเติบโตได้ด้วย Foundation ที่เราปรับไปแล้วพอสมควร อีกอย่างหนึ่งคือการ Unlock เรื่องของการสื่อสารกับนักลงทุนอะไรต่างๆ ที่คงจะต้องทำให้ดีขึ้น เพราะว่า เราก็เชื่อว่า Valuation ของเราอาจจะยังไม่สะท้อนผลประกอบการเท่าไหร่ แม้ว่าเราจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ก็คงเป็นการบ้านที่เราจะทำเพิ่มขึ้น เมื่อมีเป้าหมายก็ทำให้แผนการเราชัดขึ้น ในช่วง 3 ปีนี้ ก็คงจะมี Activity ที่จะต้องทำค่อนข้างเยอะ และเราเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายแบบนี้ทำให้ทั้งองค์กรขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันได้ดีขึ้น
คำถามน่าจะมีประมาณเท่านี้เลยค่ะ ขอขอบพระคุณนักลงทุนทุกท่านนะคะที่สละเวลาเข้ามาร่วมรับฟังข้อมูลของบริษัท รูบิค กรุ๊ป จำกัด มหาชน ในกิจกรรม Opportunity Day แถลงผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปี 2568 ถ้าเกิดว่าท่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ผ่านทางอีเมล ir@rubik.com สำหรับวันนี้ขอขอบพระคุณและสวัสดีค่ะ
**สรุปใจความสำคัญ:** ในงาน Oppday ไตรมาส 2 ปี 2568 ของ BBIK ผู้บริหารได้เน้นย้ำถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยมีกลยุทธ์หลักคือการสร้าง Operational Excellence, การหา Value ใหม่ๆ และการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Expansion) นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ SET100 ภายใน 3 ปี และ Unlock Value จากบริษัทย่อยต่างๆ รวมถึงการสื่อสารกับนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น