สรุปงบล่าสุด TIGER
บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) : ผลประกอบการไตรมาส 3/2567
บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TIGER มีรายได้รวมในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 527.60 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3/2566 ที่มีรายได้รวม 678.95 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 22.29% สาเหตุหลักเกิดจากปัญหาการไหลเวียนของกระแสเงินสดที่ฝืดเคือง ส่งผลให้บริษัทขาดเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการใหม่ ทำให้ความก้าวหน้าของงานล่าช้า แม้ว่าบริษัทมีโครงการในมือเพิ่มขึ้นถึง 17 โครงการ ในไตรมาส 3/2567 เทียบกับ 7 โครงการในงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 39.78 ล้านบาท ลดลงจาก 43.77 ล้านบาทในไตรมาส 3/2566 แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นจาก 6.45% เป็น 7.54% บริษัทกำลังเร่งปิดโครงการเก่าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำให้แล้วเสร็จ และเร่งรับงานใหม่ที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้นเข้ามาเพิ่มเติม โดยผลขาดทุนสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 2.66 ล้านบาท แต่ในงวด 3 เดือนล่าสุด บริษัทกลับมามีกำไร 7.58 ล้านบาท สะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2567
บริษัทฯ มีแผนธุรกิจในอนาคตคือการชะลอการรับงานและประมูลงานลง โดยคงเหลือเพียงธุรกิจที่มีทิศทางที่ดีและมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียงพอ เนื่องจากบริษัทมีปริมาณงานในมือเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ในอนาคตอีกไม่น้อยกว่า 12 เดือน บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกงานภาคเอกชนประเภทที่มีโอกาสในการเจริญเติบโต เช่น งานก่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท และงานก่อสร้างโรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่ นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานผ่านการพัฒนาบุคคลากรในองค์กร โดยเน้นการเพิ่มความสุขในการทำงาน ลดอัตราการหมุนเวียนของพนักงาน รวมถึงการพัฒนาและสนับสนุนการเจริญเติบโตของพนักงานทั้งในด้านสุขภาพ ความรู้ความสามารถ และความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยมุ่งหวังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร พัฒนาคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้า เพิ่มมูลค่าเพิ่ม และหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในด้านราคา
TIGER เป็นบริษัทถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) มีบริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC) เป็นบริษัทแกน ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาทุกประเภท รวมทั้งงานออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม การวิเคราะห์ผลประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในช่วงปี 2566-2567 ที่เจอปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้น และปัญหาการขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้ TIGER ยังประสบปัญหากระแสเงินสดไม่เพียงพอในไตรมาส 2/2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการใหม่และรายได้ในภาพรวม อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยตามงบประมาณของงานในมือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ลดลงจาก 10.43% เป็น 9.66% อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในงวด 3 เดือนล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวดีขึ้นในด้านกำไรขั้นต้นและกระแสเงินสด แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ บริษัทฯ จะมุ่งแก้ไขปัญหากระแสเงินสด และเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในภาพรวมให้ดีขึ้นในอนาคต
## โอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน
**โอกาส:**
* **ราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน:** ราคาหุ้นเฉลี่ยในช่วง 3 ไตรมาสล่าสุด (3Q2566 - 3Q2567) อยู่ที่ 1.22 บาท/หุ้น เทียบกับ P/BV ล่าสุดที่ 0.5 และข้อมูล P/BV ย้อนหลังที่สะท้อนว่ามูลค่าหุ้นมีแนวโน้มสูงกว่าราคาหุ้นในปัจจุบัน
* **การแก้ไขปัญหาการไหลเวียนของกระแสเงินสด:** บริษัทฯ มีความพยายามแก้ไขปัญหากระแสเงินสด และเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในภาพรวม นำไปสู่การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567
* **การได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน:** TIGER เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มีโอกาสเติบโตตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและภาคเอกชน เช่น โครงการก่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท และโรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่
**ความเสี่ยง:**
* **ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว:** อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการการก่อสร้าง ลดโอกาสการรับงาน และกำไรของบริษัทฯ
* **ค่าครองชีพสูงขึ้นและเงินเฟ้อ:** อาจทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ
* **ความไม่แน่นอนในอนาคต:** สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ
## เหมาะสำหรับนักลงทุนประเภทใด
TIGER เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่มองเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และการปรับปรุงผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต รวมถึงนักลงทุนที่ต้องการรับเงินปันผลในระดับปานกลาง โดยการวิเคราะห์ D/E ที่ 0.65 สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามผลการดำเนินงานและสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเสี่ยงในการลงทุน และตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด
(21.52%)
(15.76%)
(350.41%)
(238.15%)
(270.69%)
(301.12%)
(9.26%)
(9.16%)
(184.70%)
(221.94%)
(997.25%)
(224.00%)