THANI
บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

โอเคครับ เริ่มกันเลย!

THANI ราชธานีลิสซิ่ง: สรุป OPPDAY ไตรมาส 3 ปี 2568 - ท่ามกลางความท้าทาย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

สวัสดีครับ ท่านผู้ที่ให้ความสนใจและเข้ามารับฟังผลประกอบการดำเนินงานของบริษัทราชธานีลิสซิ่ง ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2568

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ไม่แตกต่างจากไตรมาสที่ 2 มากนัก โดยภาพรวมธุรกิจยังคงทรงตัว การขายรถยนต์ ทั้งรถ Luxury Car และรถบรรทุก ยังอยู่ในสภาพเดิม ๆ และมีแนวโน้มลดลง

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบ:

  1. ยอดขายรถบรรทุกลดลง: เป็น Low Season เนื่องจากฤดูฝน ทำให้ยอดขายลดลงต่ำกว่า 50% จากช่วงต้นปี
  2. เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับรถบรรทุก: การส่งออกนำเข้ามีปัญหาเรื่องภาษี ทำให้การเติบโตค่อนข้างต่ำหรือนิ่ง ๆ
  3. พลังงาน: การใช้พลังงานยังนิ่ง ไม่มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น
  4. การเกษตร: ผลผลิตทางการเกษตรมีมากขึ้น แต่เหมือนจะจบฤดู ทำให้การขนส่งดีขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ
  5. การก่อสร้าง: ยังไม่ดีขึ้น ยังติดลบต่อเนื่อง ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ
  6. Border Trade: การปิดด่านกับกัมพูชาและปัญหาในพม่า ทำให้ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ตัวเลขและสถิติสำคัญ:

  • ยอดขายรถบรรทุกลดลง: ต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับต้นปี

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

บริษัทมองเห็นโอกาสในธุรกิจรถแท็กซี่ ซึ่งเริ่มมีการ Booking รถที่นำส่ง ส่วนใหญ่เป็นรถไฟฟ้า (EV) ประมาณ 80-90% ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงสนามบินต่าง ๆ

กลยุทธ์:

  • การเพิ่มสัดส่วนรถแท็กซี่: ในปีหน้า บริษัทวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนในส่วนของรถแท็กซี่และรถ Luxury Car
  • การ Booking แท็กซี่: ปัจจุบันทำ Booking แท็กซี่ได้ประมาณ 4-500 คัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6-700 คันในไตรมาสที่ 4 และต่อเนื่องไปในปีหน้า
  • การใช้รถไฟฟ้า (EV): ส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าจากจีนมาแทนแท็กซี่น้ำมัน ซึ่งช่วยลดต้นทุน

ตลาดใหม่/กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย:

  • กลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่: ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่ต้องการเปลี่ยนรถเป็นรถไฟฟ้า

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

บริษัทเผชิญความเสี่ยงและความท้าทายหลายด้าน:

  • เศรษฐกิจผันผวน: ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ
  • การแข่งขัน: การแข่งขันในตลาดรถยนต์และสินเชื่อที่ยังคงสูง
  • ปัญหาภายนอก: สงคราม, กำแพงภาษี, และ Border Trade ที่มีปัญหา
  • ความผันผวนของตลาด: ตลาดรถบรรทุกที่ผันผวนและคาดเดาได้ยาก

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:

  • การเติบโตที่จำกัด: ความเสี่ยงเหล่านี้อาจทำให้บริษัทไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
  • ความผันผวนของรายได้: ความไม่แน่นอนของตลาดอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

บริษัทมีแผนการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบดังนี้:

  • การทำแผนที่กว้าง: จัดทำแผนธุรกิจที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
  • การช่วยเหลือลูกค้า: ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน
  • การบริหารจัดการ NPL: บริหารจัดการหนี้เสียอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุม NPL ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • การเคลียร์สต็อกรถยึด: เร่งระบายสต็อกรถยึดที่ค้างอยู่ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
  • การทำตลาดรถ Use: เน้นการทำตลาดรถมือสอง เพื่อเพิ่มรายได้และลดผลกระทบจากตลาดรถใหม่ที่ซบเซา

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

แนวโน้มของธุรกิจในอนาคต:

  • การเติบโตอย่างระมัดระวัง: บริษัทจะยังคงเติบโตอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและความเสี่ยงต่าง ๆ
  • การเพิ่มสัดส่วนรถแท็กซี่และ Luxury Car: บริษัทจะเน้นการเพิ่มสัดส่วนในส่วนของรถแท็กซี่และรถ Luxury Car เพื่อสร้างความสมดุลให้กับพอร์ต
  • การใช้เทคโนโลยี: บริษัทจะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

วิสัยทัศน์และเป้าหมาย:

  • การปล่อยสินเชื่อ: คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ประมาณ 15,000 ล้านบาทในปี 2568 และตั้งเป้าหมายไว้ที่ 17,000-20,000 ล้านบาทในปี 2569
  • การรักษาระดับพอร์ต: พยายามรักษาระดับพอร์ตให้อยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 23.52]

แนวโน้มการตั้ง Credit Cost ในปี 2569

บริษัทวางแผนที่จะบริหารให้ Credit Cost ไม่เกิน 2% โดยเน้นการบริหารจัดการทีมติดตามหนี้สินและกฎหมายอย่างใกล้ชิด รวมถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างทันท่วงที

Impairment Loss Reversal ในไตรมาสถัดไป

คาดว่าจะมีตัวเลข Reversal เนื่องจากสต็อกรถยึดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอาจเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการสต็อกในอีก 2 เดือนที่เหลือ

ระดับที่เหมาะสมของสินทรัพย์รอการขาย (190 ล้านบาทใน Q3) และแนวโน้ม Q4

วิกฤตรถยึดของ THANI ได้จบลงแล้ว และกลับมาเป็นปกติ โดยจำนวนรถยึดต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 100 คัน แม้ว่าสินทรัพย์รอการขาย 190 ล้านบาทจะยังดูสูงเกินไปเล็กน้อย แต่บริษัทกำลังเร่งเคลียร์สต็อก โดยใน Q4 ซึ่งเป็น High Season ของรถบรรทุก คาดว่าจะสามารถลดสินทรัพย์รอการขายลงไปได้อีกเล็กน้อย เหลือประมาณ 140-150 ล้านบาท

แนวโน้ม Collection ของไตรมาส 4

Cash Flow ยังคงค่อนข้างดี อยู่ในระดับประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทไม่ต้องเพิ่มเงินกู้หรือออกบอนด์ใหม่ และสามารถนำเงินมาคืนเงินกู้ได้ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยลดลง

สถานการณ์ NPL ของไตรมาสนี้

NPL อยู่ในระดับประมาณ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่บริษัทพอใจ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ปิดชายแดนที่ส่งผลกระทบต่อรถขนส่งสินค้า แต่บริษัทได้เข้าไปช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะไม่มีปัญหา

การแก้ไขปัญหารถยึด

บริษัทมีรถยึดน้อยมากแล้ว และกลับมาเป็นปกติเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม

New Drawdown ปัจจุบัน (เดือนพฤศจิกายน) เทียบกับเดือนตุลาคม

บริษัทกำลังพยายาม แต่ตลาดค่อนข้างแกว่ง คาดเดาได้ยาก เนื่องจากรถบรรทุกต้องซื้อล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน ทำให้ตัวเลขไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะลูกค้าไม่กล้าลงทุนมากนัก

การออกหุ้นกู้ 9,000 ล้านในปี 2569

บริษัทกำลังพิจารณาว่าสินเชื่อจะกลับมาโตได้หรือไม่ และการออกหุ้นกู้เพื่อ Roll Over อันเก่าหรือไม่ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง และบริษัทมี Room เหลืออยู่

จำนวนรถยึดต่อเดือนในปัจจุบัน

ประมาณ 100 คัน ไม่เกิน

เป้า New Drawdown ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม

ประมาณ 1,400 ล้านบาท กำลังลุ้นว่าจะถึงหรือไม่

การแข่งขันของตลาดสินเชื่อในปัจจุบัน

การแข่งขันค่อนข้างน้อย แต่การขายรถก็น้อยตามไปด้วย ตกไปประมาณ 50% ทำให้ทุกฝ่ายลำบาก

รายได้เงินปันผล 111 ล้านบาท ถูกบันทึกในงบการเงินรวมอย่างไร

รายได้จาก RTN Insurance Broker ซึ่งเป็นบริษัทลูก จะแสดงในงบเดี่ยว แต่ในงบ Consolidated จะถูก Elim ออก

การโอนกลับด้อยค่าสินทรัพย์รอการขาย 146 ล้านบาท เกิดจากสาเหตุใด

เกิดจากการระบายสต็อกรถยึดได้ค่อนข้างดี

ภาพรวมค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายรถยึด คิดเป็นประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้

ไม่เยอะ แต่เป็นค่าใช้จ่ายหลักของบริษัท นอกเหนือจาก ECL โดยบริษัทมีการ Monitor และบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด

ภาพรวมของแท็กซี่และ Luxury Car จะเพิ่มขึ้นหรือไม่

สัดส่วนรวมกันอยู่ที่ประมาณ 32-33% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากพอร์ตรถบรรทุกลดลง

Sector ไหนของพอร์ตรถบรรทุกที่จะกระเตื้องขึ้นหรือซึมลงในปี 2569

บริษัทกำลังแก้ปัญหาเรื่องรถบรรทุกใหม่ที่ยอดขายลดลง ถ้าเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น บริษัทก็จะเพิ่มสัดส่วนในส่วนของรถบรรทุกใหม่ ส่วนรถแท็กซี่และ Luxury Car ก็จะเริ่มทำตลาดเพิ่มขึ้น

Yield ของแท็กซี่และ Luxury Car สูงกว่ารถ Truck หรือไม่

Yield ของแท็กซี่และ Luxury Car จะเท่า ๆ กับรถบรรทุกใหม่ แต่รถบรรทุกเก่าจะมี Yield สูงกว่ามาก เกือบเท่าตัว

Credit Cost ใน Q3 ลดลงมาก ใน Q4 และปี 2569 จะเป็นอย่างไร

บริษัทจะพยายามบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองให้สอดคล้องกับพอร์ตสินเชื่อ โดยในปี 2569 วางไว้ว่าจะไม่เกิน 2%

อัตราอนุมัติสินเชื่อในปัจจุบัน

ประมาณ 70-80%

Guidance NIM และ Cost of Fund ของปี 2569

Cost of Fund ประมาณ 3% กว่า ๆ NIM อาจจะต่ำกว่า 4% แต่จะไม่ให้หลุดไปมาก ขึ้นอยู่กับการบุกตลาดและสถานการณ์เศรษฐกิจ

พอร์ตรถบรรทุกอุตสาหกรรมไหนมากที่สุด

อุปโภคบริโภค, เกษตร, พลังงาน, ส่งออกนำเข้า, ก่อสร้าง

โอกาสที่พอร์ตจะลดลงเหลือ 35,000 ล้าน ถ้าเศรษฐกิจเป็นเหมือนปีนี้

ถ้ามีอะไรมากระทบแรง ๆ ก็มีโอกาส

Cost of Fund จะต่ำลงได้เท่าไรจากหุ้นกู้ที่จะหมดในปี 2569 (15,000 ล้าน) และถ้าต้องเพิ่ม New Drawdown จะต้องออกใหม่เท่าไร

15,000 ล้านที่จะครบปีหน้า จะเป็นหุ้นกู้ 8,000 ล้าน ที่เหลือเป็น BE และ PN ที่จะ Roll Over ตามความต้องการใช้เงิน บริษัทคาดว่าจะ Replace หุ้นกู้ที่ครบกำหนดด้วยการออกหุ้นกู้ใหม่ประมาณ 7,000-8,000 ล้าน ทำให้ Cost of Fund อาจจะใกล้เคียงเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากยังมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ออกไปเมื่อปีก่อน ๆ

ผู้ประกอบการรถ Fleet โดนขอให้เปลี่ยนเป็น Euro 5 จากบริษัทใหญ่ ๆ หรือไม่ และปีต่อ ๆ ไปมองว่าการเปลี่ยนรถเป็น Euro 5 เพื่อ Carbon Credit และ CSR หรือไม่

บริษัทใหญ่ ๆ ที่ได้สัมปทานหรือได้งานมาที่วิ่งให้กับบริษัทมหาชนหรือบริษัทใหญ่ ๆ ต้องกำหนดให้เปลี่ยนเป็น Euro 5 ตั้งแต่ปีนี้แล้ว แต่ด้วยภาพเศรษฐกิจโดยรวม ก็มีการอะลุ่มอล่วย แต่ตอนนี้ก็ดำเนินการไปค่อนข้างเยอะแล้วตั้งแต่สงกรานต์มา รถ Euro 5 ที่เข้ามา ปริมาณที่เข้ามายังมีน้อย และยังมีรถตกค้าง Euro 3 ค้างอยู่ ทำให้การเปลี่ยนจาก Euro 3 เป็น Euro 5 ยังไม่คืบหน้ามากนัก น่าจะเห็นภาพรวมมากขึ้นในปีหน้า

ปีหน้าพอร์ตมีโอกาสกลับมาอยู่ที่ 45,000 ล้านได้หรือไม่

จากฐานสิ้นปีนี้ที่อาจจะจบอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้าน และปีหน้าที่ Run เอาไว้คร่าว ๆ จะทำอยู่ที่ประมาณ 17,000-18,000 บริษัทจะพยายามบริหารจัดการ แต่คิดว่าอาจจะยังไม่ได้ไปถึง 45,000 ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่สถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า

สถานการณ์ปัจจุบันตลาดมีการกลับมาแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อหรือไม่

ยัง ทุกคนยังค่อนข้าง Conservative กันมาก

ภาพรวมของไตรมาส 3 ของราชธานีก็จบแต่เพียงเท่านี้ หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถส่งมาเพิ่มได้ที่อีเมล IR ราชธานี และพบกันใหม่ในผลประกอบการรอบหน้า ขอบคุณมากค่ะ

โดยสรุปแล้ว ราชธานีลิสซิ่งยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่ก็มีความพยายามในการปรับตัวและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ โดยเฉพาะในตลาดรถแท็กซี่ไฟฟ้า การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบและการรักษาสภาพคล่องยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจต่อไป