STC
บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

สรุป Oppday STC Concrete Product Q4/2567: แผนธุรกิจปี 2568 และผลการดำเนินงานที่เติบโต

สวัสดีครับท่านนักลงทุนทุกท่าน ผม เอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการบริษัท STC Concrete Product จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคุณอมลวรรณ ชัยตระกูลทอง รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท STC Concrete Product จำกัด (มหาชน) วันนี้เราจะมาอัปเดตผลการดำเนินงานและแผนงานของบริษัทในปี 2568 (2025) และรายงานผลการดำเนินงานในงวดที่ผ่านมาให้ทุกท่านได้รับทราบ

วันนี้เรามี 4 หัวข้อหลักๆ ได้แก่ Company Overview, Business Plan ในปี 2568, ภาพรวมและผลประกอบการในปีที่ผ่านมา รวมถึงการรายงานตัวเลขทางการเงินต่างๆ ให้กับนักลงทุน

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

บริษัท STC Concrete Product จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หรือที่รู้จักกันในชื่อเมืองพัทยา โดยมีสำนักงานใหญ่และโรงงานอยู่ในพื้นที่อำเภอบางละมุง วิสัยทัศน์ของบริษัทคือ "เราเชื่อถือได้ เอาใจใส่ สร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าทำ" และพันธกิจคือ "มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการ"

บริษัทก่อตั้งเมื่อปี 2531 และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2543-2554 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนหลายครั้งเพื่อรองรับการเติบโต ในปี 2555 ได้ขยายโรงงานและซื้อพื้นที่เพิ่มเพื่อรองรับกระแสของงาน EEC

ในปี 2561-2562 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI และ IPO ในปี 2562 หลังจาก IPO บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตไปยังพื้นที่ภาคกลางที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อกระจายสินค้าสู่ลูกค้าในโซนภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง

ปัจจุบันสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองพัทยา มีสาขาในพัทยาทั้งหมด 2 สาขา สาขาบางละมุง (หนองปรือ) และสาขานาวัง (โรงงานใหญ่) นอกจากนี้ยังมีสาขาที่ปทุมธานี

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปและคอนกรีตผสมเสร็จ ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปได้แก่ เสาเข็ม แผ่นพื้น ท่อระบายน้ำ และชิ้นงาน Precast ต่างๆ เช่น บ่อพักน้ำ ชิ้นส่วนสำเร็จรูป ส่วนคอนกรีตผสมเสร็จเป็นคอนกรีตสดที่ผลิตจากโรงงานและลำเลียงด้วยรถโม่ไปยังหน่วยงานต่างๆ โดยผลิตตามสูตรที่ได้มาตรฐานและควบคุมโดยเครื่องจักรและวิศวกรที่ชำนาญ ทำให้คอนกรีตได้มาตรฐานและส่งตรงเวลา

รายได้ของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์และงานบริการ เช่น ปั๊มคอนกรีต บริการรถขนส่ง และบริการปั้นจั่นสำหรับตอกเสาเข็ม

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ในช่วงปลายปี 2519 แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 บริษัทก็สามารถรักษาสถิติของรายได้ไม่ให้ลดต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็นได้ หลังหมดภาวะ COVID-19 บริษัทได้ขยายกิจการและมีรายได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันรายได้เติบโตจากหลังเข้าจดทะเบียนประมาณ 140 ล้านบาท

ปีที่แล้วรายได้รวมอยู่ที่ 560 ล้านบาท ซึ่งเติบโตมาพอสมควรจากการขยายโรงงานและการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็น 4 กลุ่ม: หน่วยงานเอกชน 40%, โครงการคู่สัญญาของรัฐบาล 42%, ร้านค้าเอเย่นต์ 15%, และการขายปลีกที่หน้าร้าน 2%

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

สถานการณ์ปัจจุบัน Backlog อยู่ที่ประมาณ 150 ล้านบาท รับรู้ในมือแล้วประมาณ 100 ล้านบาท และกำลังจะรับรู้อีกประมาณ 50 ล้านบาท Target ของปีนี้คือการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 10-20% จากรายได้ปีที่แล้ว เนื่องจากการขยายโรงงานและสินค้าใหม่ เช่น คอนกรีตสำเร็จรูปและสินค้าประกอบตกแต่งต่างๆ ที่จะเริ่มทยอยออกสู่ตลาด

โครงการต่างๆ ในปีนี้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และทีมงานขายสามารถเพิ่มฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น แม้ว่าการแข่งขันในตลาดก่อสร้างจะสูง แต่บริษัทมีจุดขายและจุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าไม่ลังเลที่จะเลือก รวมถึงงานบริการที่เป็นที่ยอมรับ ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังหัวเมืองต่างๆ ได้ไม่ยากนัก พื้นที่ EEC ยังมีศักยภาพอยู่ สังเกตได้จากการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรีและระยอง การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมส่งผลให้งานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเภทที่อยู่อาศัยให้เช่า เช่น อพาร์ตเมนต์

เมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยามีการเติบโตของงานก่อสร้างประเภทโรงแรมและคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่บริษัทอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ทำให้มองเห็นโอกาสและยึดฐานที่มั่นของบริษัทไว้ได้

ในปีนี้มีการตั้งเป้าเรื่อง ESG โดยลดการใช้พลังงานและดูแลสิ่งแวดล้อม บริหารการจัดการการใช้พลังงานในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานและทดแทนเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มผลผลิตในการผลิตสินค้า

ในปีนี้จะพยายามออกสินค้าในกลุ่มงานตกแต่งและ Landscape ให้มากขึ้น โดยจะออกสินค้าให้ครอบคลุมกับตลาดและมีความหลากหลายที่สูงขึ้น เพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้า

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

ผลการดำเนินงานสำหรับรอบปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 560.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.65 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.21 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป สืบเนื่องมาจากการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของโรงงานนาวังเฟส 5 รวมถึงการขยายกำลังการผลิตไปยังบริเวณจังหวัดปทุมธานี ทำให้สามารถรับรู้รายได้จากยอดขายจากฝั่งปทุมธานีเข้ามาเต็มปี

นอกจากนี้ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเอง จากการที่ได้มีการลงทุนเพิ่มในส่วนของโรงงานนาวังในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในโซนภาคตะวันออกจากนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในจังหวัดระยอง ปราจีนบุรี และชลบุรี

บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 159.11 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.49 ของรายได้จากการขายและการบริการ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.87 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุที่บริษัทมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นแปรผันไปตามรายได้ที่สูงขึ้น และบริษัทสามารถบริหารอัตรากำไรขั้นต้นได้ในสัดส่วนที่สูงขึ้น เนื่องจากกลุ่มสินค้าที่เราได้มีการส่งมอบให้กับลูกค้าในปีที่ผ่านมาจะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีตัวอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง

ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหาร ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น 6.82 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.13 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากต้นทุนการขนส่งและค่าน้ำมันที่ผันแปรไปตามยอดขาย

บริษัทมีค่าใช้จ่ายบริหารเพิ่มขึ้น 4.27 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.73 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากค่าบริหารจัดการของสำนักงานในส่วนสาขาปทุมธานี และรวมถึงมีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าจากเงินลงทุน

ในส่วนของต้นทุนทางการเงิน ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น 1.83 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.89 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการที่ได้เรียนแจ้งไป ทางบริษัทได้มีการขยายกำลังการผลิต โดยแหล่งเงินทุนที่บริษัทเลือกใช้จะเป็นแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินเป็นหลัก ทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

บริษัทมีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 14.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.42 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 250 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการบริหารอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น

สินทรัพย์รวมจะอยู่ที่ 825.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.91 ล้านบาท คิดเป็น 4.02% มาจากการลงทุนในที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ จากการลงทุนในพื้นที่โรงงานนาวังเฟส 5

หนี้สินรวมจะอยู่ที่ 443.41 ล้านบาท ก็จะเพิ่มสูงขึ้น 17.31 ล้านบาท ก็จะคิดเป็น 4.06% สืบเนื่องจากการที่เราลงทุนในที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ และเราใช้แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินเป็นหลัก

ส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 382.45 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 14.60 ล้านบาท คิดเป็น 3.97%

อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญต่างๆ เช่น ROA อยู่ที่ 1.8 เพิ่มขึ้น 1.23%, ROE อยู่ที่ 3.89 เพิ่มขึ้น 2.77%

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE Ratio) อยู่ที่ 1.16 เท่า ก็จะยังคงใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ในส่วนของตัว IBD อยู่ที่ 0.79 ก็ยังคงใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า

อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญอื่นๆ อัตราส่วนสภาพคล่องค่ะ อยู่ที่ 0.7 เท่า ลดลง 0.05 คิดเป็นร้อยละ 6.67 อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียนนะคะ อยู่ที่ 0.49 เท่า เพิ่มขึ้น 0.07 ก็คิดเป็นร้อยละ 16.67 ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยค่ะ อยู่ที่ 114 วัน เพิ่มขึ้น 11 วันค่ะ ระยะเวลาหมุนเวียนสินค้าคงเหลือนนะคะ อยู่ที่ 10.62 เท่าค่ะ ระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ยนะคะ อยู่ที่ 34 วันค่ะ และระยะเวลารับชำระหนี้เฉลี่ย ชำระหนี้เฉลี่ยค่ะ จะอยู่ที่ 88 วัน

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 41:59]

* ช่องทางการติดต่อบริษัท * คำถาม: นักลงทุนสามารถติดต่อบริษัทได้อย่างไร * คำตอบ: ติดต่อผ่าน Facebook, Instagram หรืออีเมล ir@stc.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.stc.co.th * การดำเนินงานปี 2568 * คำถาม: ผู้บริหารคาดการณ์แนวโน้มทิศทางธุรกิจปี 2568 อย่างไร * คำตอบ: อุตสาหกรรมก่อสร้างอาจไม่ดีนักเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว แต่การลงทุนในภาคตะวันออกยังคึกคัก พัทยาและ EEC มีการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ EV * ผลกระทบต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ * คำถาม: มีผลกระทบจากการที่ผู้ซื้อไม่สามารถกู้เงินผ่านสถาบันการเงินได้หรือไม่ * คำตอบ: มีผลกระทบอยู่บ้าง แต่คาดว่าสถาบันการเงินและโครงการต่างๆ จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น * ภาคกลางชะลอตัว * คำถาม: การลงทุนในภาคกลางเป็นอย่างไร * คำตอบ: การลงทุนในภาคกลางชะลอตัว ส่วนใหญ่เป็นตลาดที่อยู่อาศัย แต่บริษัทจะมุ่งเน้นลูกค้าในพื้นที่และขยายตลาดไปยังพื้นที่ใหม่ๆ มากขึ้น * การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ * คำถาม: บริษัทมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างไร * คำตอบ: บริษัทยังคงมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และมีแผนลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่บริษัทชำนาญ * การท่องเที่ยวพัทยา * คำถาม: สถานการณ์การท่องเที่ยวในพัทยาเป็นอย่างไร * คำตอบ: การท่องเที่ยวในพัทยายังคึกคัก มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โรงแรมมี occupancy rate สูง การลงทุนในช่วงนี้จึงเหมาะสม * ความเห็นต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ * คำถาม: ผู้บริหารมองทิศทางของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อย่างไร * คำตอบ: ผู้บริหารยังมองทิศทางเป็นบวก และผู้ประกอบการยังคงมีแผนเติบโตและขยายโครงการ * แนวโน้มตลาดต่างจังหวัด * คำถาม: บริษัทมีแนวโน้มการขยายตลาดไปต่างจังหวัดอย่างไร * คำตอบ: บริษัทกำลังมองที่จะขยายตลาดไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยอาจขยายโรงงานหรือลงทุนอื่นๆ * การดำเนินงานภายใต้ภาวะวิกฤต * คำถาม: บริษัทปรับตัวอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์วิกฤต * คำตอบ: บริษัทมีประสบการณ์ในการผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง ตั้งแต่ต้มยำกุ้ง Hamburger crisis จนถึง COVID-19 และมีภูมิคุ้มกันที่ดี บริษัทยังคงดำเนินงานในแนวทาง conservative มองทุกอย่างที่เป็นไปได้และไม่ประมาท * เป้าหมายปี 2568 * คำถาม: เป้าหมายในปี 2568 เป็นอย่างไร * คำตอบ: คาดว่าน่าจะมีอะไรอัปเดตเพิ่มเข้ามาใหม่ในรอบ Oppday ของไตรมาส 1-3 ขอให้นักลงทุนคอยติดตาม * กำลังใจให้นักลงทุน * คำถาม: กำลังใจให้นักลงทุน * คำตอบ: ขอให้ติดตามผลงานและเป็นกำลังใจให้บริษัทสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัทอยู่

สรุป

STC Concrete Product ยังคงมุ่งมั่นในการเติบโตและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่บริษัทก็มีแผนการรับมือที่ชัดเจนและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างมั่นคงและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นทุกท่าน