สรุป OPPDAY หุ้น SPCG

บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุป OPPDAY
SPCG เผยกลยุทธ์ปี 2567: ขยายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น และโอกาสใหม่ๆ ในไทย
วันนี้ SPCG ได้อัปเดตผลประกอบการปี 2566 และแผนธุรกิจปี 2567 โดยยังคงโครงสร้าง Holding Company และมีบริษัทในเครือ 41 บริษัท
SPCG จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2550 และเริ่มทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2552 พัฒนาโครงการแรกเสร็จในปี 2553 และเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2554
ปี 2556 เริ่มจดทะเบียนบริษัทลูก Solar Power Roof ที่ทำธุรกิจติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ภาคเอกชน
ปี 2557 มีโรงไฟฟ้าในไทยครบ 36 โครงการ รวม 260 MW และปี 2561 เริ่มขยายการลงทุนไปต่างประเทศ โปรเจคแรกคือที่ทตโทริ ญี่ปุ่น
ปี 2564 เริ่มลงทุนใน EEC ที่ฟุกุชิมะ 480 MW และลงทุนในญี่ปุ่นมากขึ้น โดยตั้งเป้าปี 2593 จะมีกำลังการผลิตมากกว่า 1,000 MW
ธุรกิจหลักของ SPCG ประกอบด้วย:
- Solar Farm
- Solar Roof ให้ภาคเอกชน
- SNA Authorized Sale Agent (ขาย Inverter จากเยอรมัน)
SPCG อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีทุนจดทะเบียน 1,055,790,000 บาท มีหุ้น 1,055,790,000 หุ้น หุ้นหลักยังไม่เปลี่ยนแปลง
SPCG จ่ายปันผลต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 เฉลี่ย 5-6% ต่อปี ในปี 2566 จ่ายปันผลทั้งปี 95 สตางค์ต่อหุ้น และปี 2567 ได้รับอนุมัติจ่าย 1.20 บาทต่อหุ้น โดยครึ่งปีแรกจ่ายไปแล้ว 50 สตางค์ต่อหุ้น และจะจ่ายอีก 70 สตางค์ต่อหุ้น
ปัจจุบัน Solar Farm ในไทยมี 260 MW และที่ญี่ปุ่น 3 แห่ง ส่วนใหญ่ในไทยอยู่ในภาคอีสาน และที่จังหวัดลพบุรี 1 แห่ง ทั้ง 36 โครงการได้ Adder 8 บาท เป็นเวลา 10 ปี
โครงการในญี่ปุ่นเริ่มที่ทตโทริ ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่ง COD ไปแล้ว เริ่มรับรู้ Dividend เฉลี่ย 5-6% แต่ช่วงหลังลดลงเพราะอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนลดลง
โปรเจคฟุกุชิมะกำลังก่อสร้าง เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่สุดในญี่ปุ่น 480 MW มี Partner 9 บริษัท SPCG ถือหุ้น 17.92% คาดว่าจะ COD ในปี 2569 งบลงทุนประมาณ 178,000 ล้านเยน หรือ 54,000 ล้านบาท โดย SPCG ใช้เงินลงทุนประมาณ 9,000 ล้านเยน
นอกจากนี้ยังมีโปรเจคคาชิบะ 8 MW คาดว่าจะ COD ในเดือนเมษายน 2568 ได้ค่าไฟ 36 เยน เป็นเวลา 18 ปี 1 Quarter
ธุรกิจ Solar Roof ดำเนินการโดย Solar Power Roof ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SPCG 100% มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท และมียอดขาย 7,500 ล้านบาท
Solar Power Roof แบ่งกลุ่มลูกค้าเป็น Residential, Commercial และ Industrial โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือโรงงานอุตสาหกรรม 85%
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
รายได้รวมในไตรมาส 4 ปี 2566 อยู่ที่ 455.2 ล้านบาท ลดลง 494.2 ล้านบาท (52% YoY) แต่เพิ่มขึ้น 90.6 ล้านบาท (25% QoQ)
รายได้มาจาก Solar Farm 385 ล้านบาท และ Solar Roof 69 ล้านบาท
รายได้จาก Solar Farm เพิ่มขึ้น 63.5 ล้านบาท (20% QoQ) แต่ลดลง 249.8 ล้านบาท (39% YoY) หลักๆ มาจาก Adder ที่ลดลง
Energy Output ในไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 102.24 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ค่า FT stable ที่ 32 สตางค์ต่อหน่วย ดีกว่าปีที่แล้วที่ 12 สตางค์
ธุรกิจ Solar Roof มีรายได้ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท (QoQ) แต่ลดลง 231.8 ล้านบาท (77% YoY) เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด
Net Profit ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 127.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.3 ล้านบาท (32% QoQ) แต่ลดลง 284.9 ล้านบาท (69% YoY)
Net Profit Margin ในไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 28% (ไตรมาสก่อน 26% ปีที่แล้ว 43%) กำไรที่ลดลงมาจากรายได้ Solar Farm และ Solar Roof ที่ลดลง
ภาพรวมทั้งปี 2566 รายได้รวม 2,049.2 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ลดลง 2,076.4 ล้านบาท) โดย Solar Farm ลดลง 1,200 ล้านบาท และ Solar Roof ลดลง 800 ล้านบาท
Solar Farm มีรายได้ 1,769.4 ล้านบาท ลดลง 1,212.1 ล้านบาท (41%) รายละเอียดจะนำเสนอในสไลด์ถัดไป
Solar Roof มีรายได้ 258.2 ล้านบาท ลดลง 800 ล้านบาท (76%) เนื่องจากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น
Net Profit ลดลงเหลือ 746.7 ล้านบาท จากปีที่แล้ว 1,973.9 ล้านบาท (ลดลง 1,227.2 ล้านบาท หรือ 62%)
Net Profit Margin ปีปัจจุบันอยู่ที่ 36% (ปีที่แล้ว 48%)
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ชัดเจน
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
การแข่งขันในตลาด Solar Roof ที่สูงขึ้น
ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐเกี่ยวกับค่า FT
Adder หมดอายุ
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
รักษาคุณภาพและบริการที่ดี
หา Benefit ที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น Double Depree หรือ BOI
One Stop Service ให้ลูกค้า
Carbon Credit
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
มองหา Trend ธุรกิจใหม่ๆ กับพันธมิตร
- บริหารจัดการพลังงาน
- กักเก็บพลังงาน
ตลาดภาครัฐต้องรอดูความชัดเจนของนโยบาย
ตลาดภาคเอกชนจะเน้นโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์
ศึกษาการลงทุนในต่างประเทศ
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่มในนาทีที่ 32:20]
- เงินปันผลในอนาคต
- ขึ้นอยู่กับผลการประกอบการในอนาคต
- พยายาม Maintain การจ่ายปันผลให้เท่ากับในอดีต (0.8-1.2 บาทต่อหุ้น)
- ขึ้นอยู่กับ Energy Output, ค่า FT, ค่าใช้จ่ายในการ Repair & Maintenance, และการ Reinvest
- ข่าวข้อพิพาทกับ กฟผ.
- บริษัทลงทุนไปในค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินทุน เช่น การระดมทุน, ขั้นตอน Process ต่างๆ, การคุยกับแบงค์, การคุยกับนักลงทุน, การจัดซื้อที่ดิน, การพัฒนาที่ดิน
- ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเสียหายอย่างไร ต้องรอดูผลก่อน
- การประเมินคุณค่าโครงการ Solar Farm ใหม่
- Solar Farm ในประเทศต้องร่วมกับภาครัฐ
- Solar Farm ในต่างประเทศต้องพิจารณาความคุ้มค่ากับความเสถียรภาพ
- SPCG ส่วนใหญ่ลงทุนในญี่ปุ่น เพราะมีความคุ้มค่าในการลงทุน, มี Partner หลักคือ Kyocera Corporation, ภาครัฐมีเสถียรภาพและมีนโยบายที่คงที่
- การรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด Solar Roof
- จะไม่แข่งขันด้านต้นทุน แต่จะแข่งขันด้านคุณภาพและ Benefit ที่มอบให้ลูกค้า
- รักษาคุณภาพของสินค้าและบริการให้ดีขึ้น
- หา Benefit ที่จะทำให้ลูกค้าเห็น เช่น Double Depree หรือ BOI, One Stop Service, Carbon Credit
- แผนขยายกำลังการผลิตใหม่
- บริษัทมีความพร้อมในการทำ แต่ต้องดูเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการกับภาครัฐ
- มองหา Trend ธุรกิจใหม่ๆ กับพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการพลังงาน การกับเก็บพลังงาน
- ตลาดภาครัฐต้องรอดูความชัดเจนของนโยบาย
- ตลาดภาคเอกชนจะเน้นโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์
- ศึกษาการลงทุนในต่างประเทศ
- Adder หมดแล้ว
- รายได้จะเพิ่มค่อนข้างยาก
- Energy Output พยายามทำให้ Best ที่สุด
- ค่า FT ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล
- ประมาณการรายได้ปี 2568 อยู่ที่ 1,000-1,500 ล้านบาท
- แผนการลงทุนในอนาคต มองหา Trend ธุรกิจใหม่ๆ เช่น การบริหารจัดการพลังงาน การกับเก็บพลังงาน
- ข่าวรัฐบาลจะมาขอปรับสัญญาซื้อไฟกับบริษัทที่ Adder หมดแล้ว
- เป็นอำนาจของภาครัฐ แต่ถ้ามีผลกระทบกับภาคเอกชน ก็เป็นสิทธิ์ของภาคเอกชนที่จะต้องดูอีกที
- ยังเป็นแค่ข่าว ยังไม่มีอะไรที่ออกมาเป็นรูปธรรม
SPCG ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพ บริการ และผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ รวมถึงการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศที่มีความเหมาะสมและมีเสถียรภาพ