สรุปงบล่าสุด SCG
บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน): ผลประกอบการไตรมาส 3/2567
บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ในไตรมาส 3/2567 มีรายได้จากการขายและการให้บริการลดลง 32.77% เทียบกับไตรมาส 3/2566 มาอยู่ที่ 828.38 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณรับซื้อไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ลดลง และการทดสอบเดินเครื่องโรงไฟฟ้าใหม่ตามแผนการก่อสร้างก่อนเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับ 17.28% และ 0.82% ตามลำดับ ในไตรมาส 3/2567 บริษัทขาดทุนสุทธิ 21.20 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.59 ล้านบาท หรือลดลง 193.83% ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้ 2,822.56 ล้านบาท ลดลง 28.50% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับ 16.23% และ 1.00% ตามลำดับ บริษัทขาดทุนสุทธิ 51.57 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อน 24.79 ล้านบาท หรือลดลง 308.07%
แผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคตของ SCG เน้นการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด บริษัทได้เริ่มดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ระยะที่ 2 ขนาดกำลังผลิต 4.26 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตรวม 5.15 เมกะวัตต์) และคาดว่าจะสามารถขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนไปยังสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์อื่นๆ ในอนาคต บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2568 อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท โดยคาดหวังว่าจะได้รับอัตราส่วน P/E ที่ 20-25 เท่า
SCG ได้ดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทและบริษัทย่อยทั้ง 2 บริษัท ได้รับประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint Organization: CFO) และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product: CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทปล่อยคาร์บอน 0.371 ตันต่อหน่วย ซึ่งต่ำกว่าไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าของประเทศที่ปล่อยคาร์บอน 0.5986 ตันต่อหน่วย บริษัทตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
ในช่วง 9 เดือนของปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ให้กับโรงงานในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ขนาดกำลังการผลิตรวม 5.15 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 3,760 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี นอกจากนี้ บริษัทดำเนินธุรกิจด้านใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าประมาณ 122,000 พิธีโอต่อปี
ผลประกอบการในไตรมาส 3/2567 ของ SCG แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของรายได้และกำไร อย่างไรก็ตาม บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่อยู่ในระดับที่ดี ในขณะที่ D/E ของ SCG อยู่ที่ 1.49 แสดงถึงโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง การมี P/E ที่ 69.29 สูงกว่า 35 สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีการคาดหวังการเติบโตในอนาคตของบริษัท และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม YIELD ของ SCG ที่ 1.42% อาจจะไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่เน้นการรับเงินปันผล
**โอกาส**
* บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนไปยังสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์อื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและรายได้ในอนาคต
* การมี D/E ต่ำกว่า 1 พื้นฐานแข็งแกร่ง หากบริษัทต้องการขยายขนาดของกิจการหรือลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยการกู้เงิน การที่มีภาระหนี้สินที่ต่ำ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่เจ้าหนี้จะอนุมัติสินเชื่อสูงขึ้น
* SCG เป็นบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินปันผลในอนาคต
* ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตสดใส โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่กำลังมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ
**ความเสี่ยง**
* ราคาพลังงานมีความผันผวน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของบริษัท
* ความเสี่ยงในการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ
* ความเสี่ยงในการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายอื่น
* เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน "ติดลบ" หมายถึงบริษัทนำเงินไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ
* วงจรเงินสด "ยิ่งน้อยหรือติดลบ ยิ่งดี" เพราะสะท้อนถึงการมีประสิทธิภาพในการสร้างยอดขายและสามารถเรียกเก็บเงินสดจากลูกหนี้การค้าได้ ก่อนที่จะต้องจ่ายเงินสดนั้นออกไปให้กับเจ้าหนี้การค้าหรือนำไปจ่ายหนี้ ทำให้มีเงินสดมาใช้หมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเพียงพอ เช่น การลงทุน การจ่ายเงินปันผล การจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้
โดยรวมแล้ว SCG เป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต และเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีความเสี่ยงต่ำ
(6.12%)
(32.84%)
(39.08%)
(54.82%)
(35.09%)
(32.64%)
(14.29%)
(20.95%)
(523.72%)
(192.50%)
(93.40%)
(99.31%)