สรุปงบล่าสุด OR

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
แน่นอนครับ นี่คือบทความสรุปผลประกอบการของ OR ที่อัปเดต โดยรวมข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ในปี 2567, ภาพรวมตลาดต่างประเทศ, และฐานะทางการเงินของ OR:
**บทสรุปผลประกอบการ OR (อัปเดต): โอกาสและความท้าทายในการลงทุนในธุรกิจพลังงานและไลฟ์สไตล์**
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 ที่น่าสนใจ โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 185,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การเติบโตนี้มาจากกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่ขยายตัว 5.9% จากปริมาณจำหน่ายน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ก็มีส่วนช่วยด้วยการเติบโต 7.3% จากธุรกิจร้านอาหารเครื่องดื่มและร้านค้าปลีกอื่นๆ แม้ว่ากลุ่มธุรกิจ Global จะลดลง 4.6% ตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลง กำไรขั้นต้นของ OR อยู่ที่ 4,887 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรในกลุ่ม Mobility และ Global รวมทั้งการเติบโตของร้านอาหารเครื่องดื่มในกลุ่ม Lifestyle อย่างไรก็ตาม OR มีการตั้งสำรองด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัท K-NEX ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,999 ล้านบาท สำหรับปี 2567 OR มีรายได้จากการขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 5.9% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงและราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ต่ำลง กำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 17,666 ล้านบาท ลดลง 16.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่กลุ่ม Lifestyle ยังคงแข็งแกร่งด้วยการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
ในด้านสถานการณ์ภายนอก ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2567 อยู่ที่ 79.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าปี 2566 ที่ 82.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มประเทศ Non-OPEC+ และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังได้รับการสนับสนุนจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความไม่สงบในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-อิหร่าน นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ (Singapore) ในปี 2567 ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 93.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2566 ที่ 98.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในจีน อย่างไรก็ตาม ยอดขายน้ำมันเบนซินในอินเดียที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการนำเข้าที่มากขึ้นของอินโดนีเซีย และความต้องการใช้น้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ได้ช่วยสนับสนุนราคาไว้ ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 96.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2566 ที่ 108.4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยมีปัจจัยกดดันจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในจีนและการผลิตที่เพิ่มขึ้นในไนจีเรีย อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับอุปสงค์น้ำมันดีเซล ราคาน้ำมันอากาศยานเฉลี่ยอยู่ที่ 95.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2566 ที่ 104.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และจีน แต่ได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของการท่องเที่ยว
ในส่วนของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ในปี 2567 มีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสาขาของร้าน Cafe Amazon และร้านสะดวกซื้อ (7-Eleven และ Jiffy) อย่างไรก็ตาม EBITDA Margin ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ลดลงจาก 25.7% ในปี 2566 เป็น 25.1% ในปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสุทธิจากร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงาม (ร้าน entas) หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษจากการยุติธุรกิจ Texas Chicken และธุรกิจร้าน entas ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นและทดลองตลาด EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle จะอยู่ที่ 27.3%
ในด้านภาพรวมตลาดต่างประเทศ กองทุนสำรองระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัว 5.5% ในปี 2567 และ 5.8% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก เศรษฐกิจ สปป. ลาว คาดว่าจะขยายตัว 4.1% ในปี 2567 และ 3.5% ในปี 2568 โดยได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนจากต่างชาติและการท่องเที่ยว ส่วนเศรษฐกิจฟิลิปปินส์คาดว่าจะขยายตัว 5.8% ในปี 2567 และ 6.1% ในปี 2568 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการบริโภคและการลงทุนที่แข็งแกร่ง
ในด้านฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 OR มีสินทรัพย์รวม 207,492 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 12,744 ล้านบาท โดยหลักมาจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงเหลือที่ลดลง OR มีหนี้สินรวม 98,531 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 12,197 ล้านบาท โดยหลักมาจากเจ้าหนี้การค้าที่ลดลง
ในส่วนของแผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคต OR ยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง การคาดการณ์ที่สำคัญคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันและสินค้า/บริการอื่นๆ ของ OR นอกจากนี้ OR ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า OR ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและ Non-Oil ในระดับภูมิภาค โดยมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
การวิเคราะห์ OR ในมุมมองของนักลงทุนนั้น ต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลายด้านประกอบกัน แม้ว่าผลการดำเนินงานในปี 2567 จะไม่โดดเด่นนัก แต่ OR ยังคงเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ด้วยธุรกิจที่หลากหลายและแข็งแกร่ง มีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง และมีการบริหารจัดการที่ดี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ
**โอกาส:**
* การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
* การเติบโตของธุรกิจ Lifestyle
* การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
* การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม
**ความเสี่ยง:**
* ความผันผวนของราคาน้ำมัน
* การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีก
* ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ
**ข้อมูลการเงินเพิ่มเติมสำหรับการวิเคราะห์:**
* **รายได้:** แม้ว่ารายได้รวมจะลดลงในปี 2567 แต่ OR ยังคงเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงและมีส่วนแบ่งตลาดที่สำคัญในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
* **กำไร:** กำไรสุทธิลดลงในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ อย่างไรก็ตาม OR ยังคงมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
* **อัตรากำไรขั้นต้น:** อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าจะมีการปรับตัวลดลงบ้างในปี 2567
* **อัตรากำไรสุทธิ:** อัตรากำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองด้อยค่าและการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยอื่นๆ
* **D/E:** อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของ OR
* **P/E:** P/E Ratio ล่าสุดอยู่ที่ 28.24 เท่า ซึ่งบ่งบอกว่านักลงทุนยังคงมีความคาดหวังในการเติบโตของ OR
* **P/BV:** P/BV Ratio ล่าสุดอยู่ที่ 1.29 เท่า ซึ่งบ่งบอกว่าราคาหุ้นยังไม่ได้สูงเกินมูลค่าทางบัญชีของบริษัท
* **YIELD:** อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (YIELD) ล่าสุดอยู่ที่ 4.56% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ
* **ราคาหุ้นเฉลี่ย:** ราคาหุ้นเฉลี่ยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการเข้าซื้อหุ้น OR ในราคาที่เหมาะสม
**โดยสรุป:** OR ยังคงเป็นบริษัทที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ Lifestyle และตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและติดตามผลการดำเนินงานของ OR อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
(5.17%)
(3.98%)
(44.35%)
(3.35%)
(37.07%)
(0.69%)
(19.63%)
(38.32%)
(286.44%)
(1,454.64%)
(225,419.89%)
(22.57%)