สรุป OPPDAY หุ้น MINT
Oppday
สรุป OPPDAY
เจาะลึก MINT Oppday ไตรมาส 3 ปี 2568: กลยุทธ์ขยายธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การประชุม Oppday ของบริษัท Minor International จำกัด มหาชน สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โดยวันนี้ Agenda ของเราจะเริ่มจากพัฒนาการที่สำคัญ ต่อด้วยกลยุทธ์ในการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจ และปิดท้ายด้วยสรุปผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาค่ะ และก็สุดท้ายก็จะเป็นช่วงของ Q&A นะคะ ขอเริ่มต้นจากพัฒนาการที่สำคัญก่อนนะคะ
โดยใน Quarter นี้ สิ่งที่เรามีพัฒนาการที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงแรมของเราเนี่ย ก็คือการที่เราได้เข้าไปเซ็นสัญญา Joint Venture กับทางกลุ่ม Sunrise Resort and Cruises ที่ประเทศอียิปต์นะคะ โดยที่เรามีความตั้งใจที่จะรับจ้างบริหารโรงแรม ในประเทศอียิปต์เนี่ย ใน Key Tourist Destination ต่างๆ แล้วก็เมืองสำคัญๆ ต่างๆ เช่น ไคโร และเราก็ยังสามารถที่จะใช้ประสบการณ์ที่เราได้ทำ Luxury River Cruise ที่แม่น้ำโขงที่หลวงพระบาง และก็ตัวลอยเพลาที่กรุงเทพฯ ในการทำ Luxury River Cruise ที่แม่น้ำไนล์ในประเทศอียิปต์ด้วย อันนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างตัว credential ให้กับ Minor Hotels แล้วก็สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของ Minor ได้ต่อไปค่ะ
ลำดับถัดมาก็จะเป็นการเปิดโรงแรม ที่ประเทศเปรูนะคะ ก็คือ Nao Lima อันนี้ตัวเมือง Lima เนี่ยก็เป็นเมืองที่ทุกคนต้องไปเพื่อที่จะขึ้นไปที่ Machu Picchu ซึ่งเป็นมรดกโลก อันนี้ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัว property ของ Minor เองด้วย แล้วก็ทำให้เรามี presence ใน Gateway City มากขึ้นค่ะ ลำดับที่ 3 ก็จะเป็นประเทศแซมเบียนะคะ ที่เรามีโรงแรมอนันตราเดิมอยู่แล้ว แต่ว่าอนันตรา Royal Livingstone เนี่ยก็จะอยู่ที่น้ำตก Victoria Falls ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่อันดับ Top Top ของโลกเหมือนเช่นกัน แต่ตัวแซมเบียอันนี้ที่เราเพิ่งเปิดเนี่ยก็จะเป็นตัวริมแม่น้ำ เพราะฉะนั้น Experience ของแขกที่ไปก็จะไม่เหมือนแขกที่ไปที่อนันตราอีกที่นึงอ่ะนะคะ อันนี้ก็จะเป็น Opportunity ที่แขกจะได้ Experience ตัว Land แล้วก็ River Safari ควบคู่กันค่ะ
ลำดับถัดมาก็จะเป็นการขยายธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมเพิ่มเติมในทวีปยุโรปนะคะ โดยที่เราก็เซ็นสัญญาแล้วก็จะเปิดตัว Tivoli เป็นแห่งที่ 60 ในประเทศอิตาลี ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2026 ค่ะ ตลาดสุดท้ายที่เราอยากจะ Highlight นะคะ ก็คือออสเตรเลีย ออสเตรเลียเนี่ยจริงๆ เป็นประเทศแรกที่เราเปิดให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของโรงแรมเนี่ยเริ่มต้นขึ้น และตอนนี้เราก็ได้ทำสัญญาแฟรนไชส์เพิ่มเติมอีกที่นึงสำหรับแบรนด์ Avani นะคะ ก็จะเปิดกลางปีหน้า แล้วก็อีกอันนึงก็จะเป็นในตัวส่วนของ Oak ที่เราจะเปิดที่ Auckland ภายใต้สัญญา รับจ้างบริหารค่ะ
ต่อไปจะเป็นในส่วนของร้านอาหารนะคะ ร้านอาหารจริงๆ เราพูดไปตอน Quarter ที่แล้วแล้ว ก็คือ ที่เราเปิด Coffee Club ภายใต้สัญญาแฟรนไชส์ที่ไนโรบีในประเทศเคนย่านะคะ อันนี้ก็จะเป็นอีกตลาดนึงที่เราจะยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็นการเปิดตลาดให้เราได้ทำแฟรนไชส์เพิ่มเติมขึ้นในส่วนของทวีปแอฟริกาเพิ่มเติม อันถัดมาก็จะเป็นของประเทศไทยเองอ่ะนะคะ ประเทศไทยเนี่ยจริงๆ เรามีการขยายแบรนด์เกือบทุกแบรนด์เลย แต่ว่า Highlight หลักๆ ก็จะเป็น 4 แบรนด์ก็คือ Bonchon, Dairy Queen, GAGA แล้วก็ Swensen's อ่ะนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าดูว่าสิ้นปีที่แล้วเนี่ย จำนวนร้านอาหารเราในเมืองไทยอยู่ที่ 1,804 สาขา เราก็คิดว่าภายในสิ้นปีนี้เนี่ยเราน่าจะไปถึง 1,870 สาขาได้ค่ะ
ตลาดที่ 3 ก็คือญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจากการที่เราเข้าซื้อ Trademark ของ Sizzler ทั่วโลก ยกเว้นที่อเมริกานะคะ และเราก็จะได้ตัว existing Franchisee Business ในประเทศญี่ปุ่นมาด้วย สิ่งสำคัญที่เราพยายามจะทำเนี่ย ก็คือการ Refresh Brand Sizzler ที่ญี่ปุ่น เนื่องจากว่าพอตอนนี้เราเป็น แฟรนไชส์ซอเองแล้วเนี่ย เราก็ใช้ Learning ที่เราได้ทำในประเทศไทย แล้วก็ไปปรับใช้ในการที่จะทำให้แบรนด์เนี่ยมีความสดใหม่ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น งั้นสิ่งที่เราทำที่เป็น ถือว่าเป็นความสำเร็จเราที่เห็นได้ในช่วง Quarter 3 ก็คือการเปิดร้านใหม่ ที่ชินจูกุอ่ะนะคะ ร้านนี้เนี่ยจริงๆ เอ่อ ต่อให้เป็นสาขาที่เพิ่มมาแค่ 1 แต่ว่าด้วยรูปลักษณ์แบบใหม่แล้วก็ด้วย Concept ใหม่เนี่ย มันทำให้เราเนี่ยได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวญี่ปุ่นแล้วก็เราก็เห็น Average Sales Per Store นะคะ เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเนี่ย 10% เมื่อเทียบกับสาขาที่เรามีอยู่สาขาอื่นในประเทศญี่ปุ่นค่ะ อีกต่อมาก็เป็นการ Renovation ตัวสาขา flagship ที่ชินจูกุเช่นกันน่ะนะคะ อันนั้นก็จะทำให้ อย่างที่บอกว่าเราต้องการให้แบรนด์ Sizzler ของญี่ปุ่นเนี่ยมีความ resonate กับ younger Generation มากขึ้น แล้วก็มี offerings ที่มันหลากหลายมากขึ้น ซึ่งมันก็จะทำให้สาขาแฟรนไชส์ที่จะเปิดขึ้นเนี่ย มันมี pipeline ที่มากขึ้นในอนาคตค่ะ
อย่างสุดท้ายก็จะเป็นประเทศอินโดนีเซีย อย่างที่ทุกคนทราบว่าเราเข้าไปในอินโดตั้งแต่ปีที่แล้วนะคะ ตอนนี้เราก็มีประมาณ 33 สาขาที่อินโด แล้วก็เราคิดว่าภายในสิ้นปีเนี่ยเราจะไปถึง 71 สาขาค่ะ ต่อมาก็จะเป็น Initiative ที่เราต้องการจะทำเพื่อสร้าง Sustainable Growth ต่อไปในอนาคตอ่ะนะคะ งั้นจะเป็นเรื่องของ Branding เป็นซะส่วนใหญ่ ในเรื่องของ Branding เนี่ยมันมีเรื่อง Brand Extension ก็คือการใช้ประโยชน์จากแบรนด์ที่เรามีอยู่แล้ว หรือการออกแบรนด์ใหม่ โดยใช้ Operating Platform ที่เราทำอยู่เช่นกันน่ะนะคะ โดย Brand Extension อันแรกเนี่ยก็คือตัว Cober ก็คือเป็นแบรนด์ร้านอาหารที่เราไปซื้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม Woolley ที่เราซื้อจากประเทศอังกฤษอ่ะนะคะ ทีนี้ Cober เนี่ย เราก็ได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักลงทุนในทวีปตะวันออกกลาง อยากจะให้เราพัฒนาแบรนด์ร้านอาหาร Cober ตัว Iconic เนี่ยให้เป็นแบรนด์โรงแรม ซึ่งเราก็ได้ Take Over ตัวการบริหารของ Dukes The Palm อ่ะนะคะ ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรม NH Collection ของเราที่ดูไบเช่นกัน ทีนี้เราก็ Take Over มาแล้วก็เรากำลังจะ Rebrand ตัว Dukes The Palm เนี่ย ให้เป็น Cober Collection แห่งแรกของโลกอ่ะนะคะ ซึ่งเราก็คิดว่าอันเนี้ยก็จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพอร์ตเราในทั้ง UAE แล้วก็ Middle East ก็ Cober Collection อันนี้ก็จะเป็นโรงแรมแห่งที่ 18 ใน UAE แล้วก็เป็นแห่งที่ 26 ในทวีปตะวันออกกลางค่ะ
ต่อมาก็จะเป็นในเรื่องของร้านอาหารอ่ะนะคะ ซึ่งเราใช้ประโยชน์จากแบรนด์เดิมที่เรามี แล้วก็ Operating Platform ที่เรามี อันแรกก็จะเป็น Sandwich Society ที่เราเปิดที่ Central พระราม 9 นะคะ อันนี้ก็ได้ Concept มาจาก Sizzler เราแล้วเราก็ออกมาเป็น Concept Grab and Go อ่ะนะคะ ก็ได้รับการตอบรับที่ดี อันต่อมาก็เป็น Hey Gusto ซึ่งก็เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่เราเปิดที่ Central World นะคะ อันสุดท้ายก็จะเป็น เหล่าหวัง จูกั้ว ก็จะเป็นร้านอาหารจีน อันนี้จะเป็น Concept จีนที่เราเปิดที่ประเทศจีนค่ะ อันนี้จะไม่ได้ยังไม่ได้อยู่ในประเทศไทยนะคะ แต่ว่า Concept จะคล้ายๆ กัน ก็คือใช้ประโยชน์จากตัวเมนู Creation ที่เราทำอยู่แล้ว แล้วก็ Extend ออกมาเป็น New Concept ต่อมาถ้าเป็น Complete New Brand เนี่ยก็จะเป็นในส่วนของ Minor Lifestyle ซึ่งเราก็เอาแบรนด์ Sunnies มาจากฟิลิปปินส์ Sunnies เนี่ยจริงๆ เกิดมาจาก Influencer ชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเขาสร้างธุรกิจทั้ง Makeup ทำทั้ง Eyewear แล้วก็ทำพวกกระติกน้ำออกมานะคะ เขาได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งในประเทศตัวเอง แล้วเขาก็ขยายไปต่างประเทศด้วย เราก็เลยตัดสินใจเอา Sun Sunnies เข้ามาที่เมืองไทย ตอนนี้ก็มี 2 สาขานะคะ ก็คือ Dusit Central Park แล้วก็ที่ Central ลาดพร้าวค่ะ
อันต่อมาก็จะเป็นแบรนด์จากเยอรมันน่ะนะคะ Villeroy & Boch อันนี้ก็จะเป็น Kitchenware ซึ่งช่วยมาเสริมทัพของตัว MLK หรือว่ากลุ่มธุรกิจที่เป็น Modern Living Home and Kitchenware ภายใต้ Minor Lifestyle อันสุดท้ายก็เป็นอันที่ทุกคนรู้จักกันดี ก็คือตัว Pop Mart อ่ะนะคะ Pop Mart เราเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาค่ะ ก็คือที่ Icon Siam แล้วก็ Dusit Central Park นอกจากนั้นเราก็มี Pop Up ที่เป็นเราได้ Concept มาจากที่เมืองจีนน่ะนะคะ ก็คือตัว Pop Land ให้มันเป็น Theme Park อันนี้ก็เปิดที่ Park Paragon แล้วก็ควบคู่กับที่ Siam Center ค่ะ อันนี้ก็จะตัว Pop Up ก็จะอยู่ประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน จนถึง 11 ธันวาคมค่ะ 11 มกราคมค่ะ
ต่อมาอีกพัฒนาการนึงที่สำคัญ ก็จะเป็นในเรื่องของการดู Shareholder Value Maximization น่ะนะคะ อย่างแรกก็คือการที่เรา Delist ตัวบริษัทย่อยของเรา ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่สเปน ก็คือ Minor Hotels Europe and the Americas จุดประสงค์หลักๆ คือตอนแรกเนี่ยเราถือประมาณ 95% ตอนนี้เราก็ถือ 99.5% แล้วนะคะ แล้วก็ Delist บริษัทออกมา คือการที่เรา Delist ของ MHEA เนี่ย จริงๆ ต้องเรียนว่าไม่ได้มีผลกระทบกับ Compliance เลย เพราะว่าใน Level ของ Compliance Regulation เนี่ยเราทำตามเดิมทุกอย่าง แต่ที่มันช่วยในเรื่องของการเพิ่ม Agility กับ Flexibility เนี่ยก็คือพอเราไม่ได้เป็น Listed Company แล้วเนี่ย มันก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ตอนแรกเนี่ยเราจะต้องมีการจ้าง หรือว่าเตรียมความพร้อมเวลาที่จะต้อง เป็น Listed Company ทั่วๆ ไป การที่เรา Delist ออกมาเราก็ประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนั้น แล้วก็ การที่เราจะบริหารจัดการสินทรัพย์เนี่ย มันก็ทำได้ง่ายขึ้นน่ะนะคะ แล้วก็เป็นมีส่วนช่วยสำคัญที่เราจะสามารถจัดการสินทรัพย์แล้วก็ตัว property ในการจัดทำ REIT ของเราได้ค่ะ
อย่างสุดท้ายก็จะเป็นในเรื่องที่หลายๆ ท่านอาจจะทราบ ที่เราประกาศตัวเงินปันผลพิเศษ อีก 30 สตางค์อ่ะนะคะ ในช่วงที่ผ่านมา ก็เลยทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลของเราเนี่ยสูงถึงเกือบๆ 50% สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 ค่ะ ถัดมาก็จะเป็นในเรื่องของกลยุทธ์ในการทำงานของแต่ละธุรกิจน่ะนะคะ ก่อนที่เราจะเริ่มเข้าไปในแต่ละธุรกิจ ก็อยากจะพูดคร่าวๆ เรื่องการเป้าหมายของเราอ่ะนะคะ จริงๆ เป้าหมายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก ถ้าดูตอนนี้เนี่ย เรามีประมาณ 630 โรงที่เปิดดำเนินการแล้ว แล้วก็เราเซ็นสัญญา รับจ้างบริหารแล้วเนี่ย ก็เราก็คิดว่าจะไปถึง 1,000 โรงนะคะ ภายในปี 2030 แล้วก็ในส่วนของร้านอาหารตอนนี้เราก็มีมากกว่า 2,800 สาขา ที่เราเปิดแล้ว เปิดแล้วแล้วก็กำลังจะเปิดร้านแฟรนไชส์นะคะ และเราก็คิดว่าภายในปี 2030 เราก็น่าจะเกิน 4,500 สาขาค่ะ ถ้าเป็นในเรื่องของ Financial Target อันนี้ก็เป็นเป้าหมาย 3 ปีนะคะ การเติบโตของรายได้ก็ยังคงเช่นเดิมว่าเป็น High Single Digit อยู่ แล้วก็การเติบโตของอัตราการทำกำไร ตัวของกำไรสุทธิ ก็จะเป็น 15-20% ต่อปี ตัว Return on Invested Capital อันนั้นคือเป้าหมายในปี 2028 นะคะ แล้วก็คิดว่าจะพัฒนาจาก 10% ตอนนี้ไปถึง 12% ค่ะ
ในส่วนของ Net Debt to Equity แล้วก็ Net Debt to EBITDA นะคะ สิ้นไตรมาส 3 เนี่ยมันอยู่ที่ประมาณ 0.9 แล้วก็ Net Debt EBITDA อยู่ประมาณ 4.7 มันเพิ่มขึ้นมาเนื่องจากว่าเราทำตัว MHEA Delisting แล้วก็เรามีการจ่ายเงินปันผลพิเศษออกไป ก็เลยทำให้เกิดผลกระทบกับตัว Leverage Ratio ชั่วคราวอ่ะนะคะ แต่ว่าสิ้นปีเนี่ยเราก็คิดว่า Ratio ตรงนี้ทั้ง 2 Ratio ก็จะลดลงมาค่ะ ต่อไปจะเป็นในเรื่องของการขยายธุรกิจโรงแรมอ่ะนะคะ จริงๆ จะเห็นได้ว่าตัว Asset Light ที่เราพยายามจะไปก็คือ การรับจ้างบริหารโรงแรม หรือว่าการให้แฟรนไชส์โรงแรมเนี่ย จากทุกวันนี้อยู่ที่ประมาณสัดส่วนมันจะอยู่ประมาณ 34% มันก็จะขึ้นไปเป็น 51% แล้วก็ถ้าดูในแง่ของ Geography นะคะ ส่วนที่เยอะขึ้นมาเยอะๆ เนี่ยก็จะเป็น Middle East and Africa แล้วก็เอเชีย เอเชียก็จะขึ้นจาก 15 เป็น 22% แล้วก็ Middle East and Africa จะขึ้นจาก 10% เป็น 16% หลักๆ ที่เราอยากจะ Highlight ตรงนี้เนี่ยก็คือจะเห็นว่าสัดส่วนของ emerging Market ซึ่งมองในระยะยาวอ่ะนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะมี higher Growth ในแง่ของ Tourism spend แล้วก็ Tourist Arrival ที่มากขึ้น อันนี้มันก็จะเป็นช่วย Balance ในเรื่องของ Growth ว่าในส่วนของตลาดที่เป็น develop Market ก็จะเป็น Stable Growth แล้วก็ตลาดที่เป็น emerging หรือ developing Market เนี่ย มันก็จะมี higher Growth อยู่แล้วอ่ะนะคะ แล้วก็ถ้าไปดูของเรื่อง Segment อันที่จะเห็นว่าเติบโตขึ้นภายใน 3 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน ก็จะเป็น Portfolio ที่เป็น Luxury กับเป็น Premium ก็คือ 4 4.5-5 ดาวอ่ะนะคะ อันนี้ก็จะเห็นว่าอีกหน่อยเนี่ย Portfolio ของเราก็จะ Balance มากขึ้นในเรื่องของ Segment แล้วก็ Tier ค่ะ
ต่อมาก็จะเป็นหน้าที่เพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนอ่ะนะคะ ว่าจาก 630 ที่เรามีทุกวันนี้ อีก 3 3 ปีข้างหน้าจะไปถึง 850 ได้ยังไงอ่ะนะคะ ก็อยากจะพูดกลยุทธ์สั้นๆ 2 ด้าน ด้านนึงเนี่ยถ้าดูจากข้างบนนะคะ ด้านซ้ายเรื่องของ Scale Volume ด้วย HMA เนี่ยจริงๆ ตอนนี้เนี่ยเรามีหลายๆ โรงที่เราเซ็นสัญญากับ Sovereign Fund หรือว่า Private Equity Fund หรือว่าเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง 1 บริษัท หรือว่า 1 กองทุนเนี่ยอาจจะ Supply Hotel ให้เรารับจ้างบริหารประมาณ 5-8 โรงเลย โดยใช้แบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ใน Portfolio ของเรา อาจจะมีการสลับ Segment กันบ้าง มีหลายๆ Tier บ้างอ่ะนะคะ แต่ก็จะเป็นกลุ่มโรงแรมที่อยู่ใน City เดียวกัน หรือว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน อันนี้เนี่ยก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยเราว่าทำให้เราขยายธุรกิจได้เร็วขึ้นในอนาคตอ่ะนะคะ อย่างที่ 2 ก็จะเป็นการทำ เป็น Partnership กับ Local Hotel Group ซึ่งอาจจะมี Connection กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ แต่ตัวเขาเองเนี่ยอาจจะไม่มีความสามารถในการรับจ้างบริหารโรงแรม อันนี้พอเราเซ็นสัญญากันเนี่ย เราก็ใช้ Benefit ของ strength ของทั้ง 2 Partner แล้วก็ช่วยกันขยายงานได้ในอนาคต
อย่างที่ 3 ก็จะเป็นในเรื่องของ High Value Contract ก็คือต่อให้เซ็นสัญญาแค่โรงเดียว แต่เป็นโรงใหญ่ที่มีธุรกิจใน มี Hotel Revenue เยอะ หรือไม่ก็เป็น โปรเจคที่อาจจะมี Mix Used ด้วย ก็คืออาจจะมี Residence หรือว่ามี Shopping Center เข้ามา ก็จะทำให้ ฟรี ต่อ Contract เนี่ยมันสูงขึ้นน่ะนะคะ จากทุกวันนี้ถ้าดูว่าใน สิ่งที่เรามีภายใต้ Under Negotiation ก็คือ LOI ที่ ไซน์ แล้ว หรือ LOI ที่เรา Issue แล้วเนี่ย ประเทศต่างๆ ที่เราพยายามจะดู ก็จะมี Turks and Caicos ด้วย มีโมรอคโคด้วยอ่ะนะคะ อันนี้ก็จะเป็นประเทศใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยไปมาก่อน แล้วก็ภายใต้ Equity กับ JV หลายๆ ท่านก็อาจจะทราบแล้ว ว่าอีก 2 ปีเราก็จะมีการเปิดโรงแรมที่สิงคโปร์ แล้วก็ปี 2030 ก็จะมีการเปิดโรงแรมที่ญี่ปุ่นด้วยค่ะ ต่อไปขอสรุปสั้นๆ อัปเดตนะนะคะ เกี่ยวกับการ Renovation โรงแรมในประเทศไทย ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะเห็นว่า Q2 Q3 เนี่ยตัวเลขในเมืองไทยของเราอาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่หลักๆ ก็คือเนื่องจากว่าเราตั้งใจที่จะทำ Full Renovation อย่างอนันตราหัวหินเนี่ย เราทำทั้งโรงอ่ะนะคะ แล้วก็จะเห็นว่า Impact คือดีมากๆ ก็คือ ADR ของ Like for Like Room เนี่ยอย่างน้อยเนี่ยโตขึ้น 20% ต่อปี แล้วก็ถ้าดูโรงแรมอื่นๆ นะคะ อนันตราสยาม อนันตรา Golden Triangle อนันตราลยาน ภูเก็ต เนี่ยก็มีการ Add ตัว Room ที่เป็น Higher Tier มีเป็น Two Bedroom Residence มากขึ้น หรือไม่ก็เป็น Pool Access Room ที่ทำให้ Room Rate เนี่ยมันเพิ่มขึ้น อย่างโรงแรมอื่นๆ ในภูเก็ตที่เราอาจจะไม่ได้ทำเป็น Room Renovation อ่ะนะคะ แต่ว่าเราทำ Renovation ในเรื่องของร้านอาหาร ทำในเรื่องของ Beach Club อันนี้เนี่ย ทุกคนอาจจะไม่เห็นในตัวของ ADR แต่ว่า Total Revenue ในส่วนของ Non Room Revenue เนี่ยก็จะเพิ่มขึ้นค่ะ
สุดท้ายของกลุ่ม Hotel อ่ะนะคะ ก็จะเป็นในเรื่องของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้านซ้ายเนี่ยก็คือ โปรเจค เคียรามี เสิร์ฟ ที่อยู่ที่ลายนนะคะ อันนี้คือเฟส 3 ของเราซึ่งก็จะมีทั้ง Villa แล้วก็คอนโด 46 Unit เนี่ยเราขายไปแล้ว 19 แล้วก็ปีหน้าเราก็คิดว่าเราจะรับรู้รายได้ แล้วก็ได้ Cash Flow จากการขายโครงการนี้เพิ่มเติม แล้วก็เฟสที่ 4 เฟสที่ 5 เนี่ยก็จะเป็น โปรเจคใหม่ของเราที่ภูเก็ตอยู่ที่ลายันเช่นกันค่ะ แล้วก็เป็น Joint Venture กับ Kajima เช่นเดียวกันน่ะนะคะ Kajima เนี่ยเขามีที่อีกประมาณ 500 ไร่ อันนี้คือไม่ได้เกี่ยวกับเฟส 1-3 อ่ะนะคะ แล้วก็มันจะเป็นการ Manage เราเรียกว่า phase investment ก็คือว่าเนื่องจากว่าเราทำเป็น Residential เราก็จะลงทุนพอได้ Cash มา เราก็ค่อยเอาไปลงทุนซื้อที่เพิ่มจาก Kajima นะคะ แล้วก็ develop เฟส 4 เฟส 5 เฟส 6 จากการทำ Villa ทำ คอนโด แล้วก็จะมีพวก Entertainment Venue Retail Space มี Marina ด้วย ซึ่งก็จะได้ Traffic ไม่ใช่แค่จากตัว Residence เฟสต่างๆ แต่ว่าก็จะได้จากโรงแรมใกล้เคียงในเขต ลากูน่าด้วยค่ะ ต่อไปก็จะขอ Handover ให้คุณ นมิดานะคะ ก็จะเล่าเรื่องกลยุทธ์ในการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารค่ะ
ค่ะ สำหรับธุรกิจร้านอาหารนะคะ จริงๆ กลยุทธ์ก็ค่อนข้างคล้ายกับของ Minor Hotels นะคะ คือหลักๆ ก็คือเราจะขยายในรูปแบบของ Asset Light นะคะ ถ้าสมมุติดู ณ ปัจจุบันเนี่ย เรามีร้านอาหารอยู่มากกว่า 2,800 ร้านอาหารนะคะ แล้วก็อีก 3 ปีข้างหน้าเนี่ย ในปี 2028 เนี่ยเราก็ตั้ง Target ไว้ว่าเราจะมีมากถึง 4,100 สาขานะคะ ซึ่งอันนี้ก็เห็นได้ถึงศักยภาพของแบรนด์ใน Portfolio เราที่แข็งแกร่ง แล้วก็ในขณะเดียวกันเนี่ย ก็จะเห็นว่าฐาน Operation ของเราเนี่ยก็แข็งแกร่งเช่นกันนะคะ สำหรับถ้าดูตาม Business Model นะคะ ในปัจจุบันเนี่ย จะเห็นว่าร้านอาหารที่เราเป็นเจ้าของเอง กับร้านอาหารที่อยู่ภายใต้ แฟรนไชส์เนี่ย ก็อยู่ที่ประมาณครึ่งๆ อ่ะนะคะ แต่ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าเนี่ยเราก็มองว่าเราจะเพิ่มสัดส่วนของแฟรนไชส์มากขึ้นนะคะ ซึ่งการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์เนี่ย ก็เราไม่ได้จะต้องมีการลงทุนเองนะคะ ซึ่งตัวกลยุทธ์อันนี้เนี่ย ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัว Margin Overall ของเราด้วยค่ะ สำหรับประเทศเนี้ยนะคะ ก็จะเห็นว่าปัจจุบัน จะเห็นว่าเมืองไทยเนี่ย ก็คือเป็นหลักอ่ะนะคะ เกิน 60-70% นะคะ แต่ว่าในอนาคตก็จะเห็นว่าสัดส่วนของประเทศไทยเนี่ยจะลดลง แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ขยายในเมืองไทยนะคะ แต่ว่าเราจะอาจจะขยายในประเทศอื่นๆ ในอัตราที่สูงกว่าเมืองไทยนะคะ ยกตัวอย่างเช่นนะคะ โดยเฉพาะในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น Southeast เอ่อ Southeast เอเชียนะคะ แล้วก็รวมถึงประเทศใหม่ๆ อย่างเช่น อินโดนีเซีย แล้วก็อินเดีย ที่เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตที่สูงอ่ะนะคะ ซึ่งในภายภาคหน้าเนี่ยเราก็จะเห็นว่าสัดส่วนของประเทศร้านอาหารเนี่ย ก็จะมีความสมดุลมากขึ้นนะคะ
สำหรับถัดไปนะคะ กลยุทธ์ของเราเนี่ยก็คือเราพยายามที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนะคะ อย่างกลยุทธ์แรกเนี่ยก็เกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ของเมนูนะคะ ซึ่งเราก็จะเห็นว่านวัตกรรมเนี่ยมีความสำคัญกับเรามาก ซึ่งนวัตกรรมเนี่ยเป็นตัวช่วยผลักดันยอดขายของเรานะคะ ที่ผ่านมาแล้วก็ในอนาคตด้วย เรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มฐานขยายฐานลูกค้านะคะ แล้วก็เพิ่ม engagement ระหว่างลูกค้ามากนะค่ะ เอ่อมากขึ้นนะคะ สำหรับกลยุทธ์ในด้านนวัตกรรมเมนูเนี่ยก็จะแบ่งเป็น 4 กลยุทธ์หลักๆ นะคะ กลยุทธ์แรกเนี่ยก็จะ เป็นเกี่ยวกับ Brand Extension นะคะ ก็คือขยาย Category ของแบรนด์หลักที่มีอยู่ในปัจจุบันอ่ะนะคะ ยกตัวอย่างเช่น GAGA เนี่ย จากเดิมเนี่ย GAGA อาจจะเห็นว่าเราเป็นน้ำที่มีอยู่ในรูปแบบมีนมผสมนะคะ แต่ว่าตอนเนี้ยเราก็ได้เพิ่มเมนูใหม่ๆ ที่เป็นไม่ได้มีนมผสมอย่างเช่น ชาใส ชาผลไม้นะคะ ซึ่งอันนี้เนี่ย ก็ช่วยทำให้เราขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ นะคะ แล้วก็ในขณะเดียวกันเนี่ย ก็ช่วยเสริมสร้าง Same Store Sales ให้เติบโตถึง Double Digit เลยนะคะ สำหรับ GAGA แล้วก็ในขณะเดียวกันเนี่ย Bonchon ก็เป็นตัวอย่างอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีนะคะ ซึ่ง Bonchon เนี่ยแต่ก่อนถ้าจำภาพได้ก็ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องไก่ทอดเกาหลีนะคะ แต่ว่าเราก็พยายามที่จะ reposition ตัวแบรนด์ Bonchon นะคะ ให้เป็นมากกว่าไก่ทอดเกาหลีนะคะ ซึ่งก็พยายามที่จะให้ Bonchon เนี่ยเป็นร้านอาหาร Casual Dining เกาหลีที่ target ลูกค้าในกลุ่มที่กว้างมากขึ้นน่ะนะคะ
สำหรับกลยุทธ์ที่ 2 เนี่ย ก็คือการเสนอความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้านะคะ ก็คือ หรือว่า Value Offering อย่าง Swensen's เนี่ย ก็จะเห็นชัดเจนมากว่า แคมเปญที่ผ่านมา Marketing แคมเปญที่ผ่านมาเนี่ย เขาได้เสนอความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น อย่างปิงซู 59 บาท หรือว่า Waffle Wonderland 69 บาทนะคะ ซึ่ง ณ ปัจจุบันเนี่ยเห็นว่าตัว domestic consumption เนี่ยก็ไม่ค่อนข้างอ่อนตัว เพราะฉะนั้นเนี่ย marketing tactic อันนี้เนี่ยก็ช่วยเสริมสร้างทำให้ Swensen's เนี่ย Turn around นะคะ จากเดิมที่ Same Store Sales อาจจะติดลบ ตอนนี้ก็กลับมาเป็นบวกอ่ะนะคะ แต่ว่าอย่างไรก็ตามเนี่ย เมนูที่มีราคาที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าตัว Margin ของเราลดลงนะคะ เนื่องจากว่าตัว Cost structure ของเราเนี่ย เรายังสามารถทำ maintain ได้เท่าเดิมค่ะ สำหรับกลยุทธ์ที่ 3 ก็จะเป็นเกี่ยวกับออกเมนูใหม่ๆ เลยนะคะ Product ใหม่ๆ ที่จะเห็นชัดๆ ก็เป็นของ GAGA นะคะ คือ GAGA เนี่ยก็ออกตัว Taro Moji อ่ะนะคะ ซึ่งก่อนหน้าเนี้ย Taro Moji เราวางไว้ว่าน่าจะเป็น Product ที่เป็นแค่ Limited Time offering คืออาจจะมีขายแค่ประมาณเดือนเดียวอ่ะนะคะ แต่ด้วยยอดขายที่ถล่มทลาย แล้วก็ขายดีมากๆ ทำให้เราตัดสินใจว่าตัว Taro Moji เนี่ย ก็จะเป็น permanent Product ที่จะขายต่อต่อไปเรื่อยๆ อ่ะนะคะ ในเมนู แล้วก็ยกตัวอย่างเช่นตัวชาองุ่นเนี่ย ก็เป็น Product ใหม่ของเรา ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น แล้วก็ในขณะเดียวกันเนี่ยเราจับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้มากขึ้นด้วยเช่นกันค่ะ
แล้วก็กลยุทธ์ที่ 4 นะคะ ก็จะเป็นเกี่ยวกับเรื่อง Marketing ที่เรา ร่วมกับ Partnership Partner คนอื่นๆ นะคะ ยกตัวอย่างก็อย่างเช่น Burger King เนี่ย Burger King ก็ร่วมมือกับทางตัว Animation นะคะ ระดับโลกอย่างเช่น Naruto เนี่ย ซึ่งการการที่ร่วมมือกับ Partner เนี่ย ก็ทำเราเห็นว่าตัวการขายต่อบิลเนี่ยมีราคาที่สูงขึ้น แล้วก็ในขณะเดียวกันเนี่ย ก็เสริมสร้างตัว Margin ของเราด้วยเช่นกันน่ะนะคะ เอ่อ แล้วก็ถ้าสมมุติว่าดูถัดมานะคะ กลยุทธ์หลักๆ ถัดมาก็คือเกี่ยวกับเรื่อง Market Penetration คือเราพยายามที่จะเจาะกลุ่ม Market ทั้งเก่า และใหม่ แล้วก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดนั้นๆ นะนะคะ ยกตัวอย่างเช่น อย่างในตลาดในเมืองไทยเนี่ย เราก็จะเห็นได้ว่า ณ ปัจจุบันเนี่ย เรามีร้านอาหารครอบคลุมหมดทุกจังหวัดในเมืองไทย แล้วนะคะ ทั้ง 77 จังหวัด แล้วก็ครอบคลุมหลายๆ แบรนด์นะคะ แล้วก็ยกตัวอย่างเช่น อย่างแบรนด์ Dairy Queen เนี่ย เราก็ไปในเมืองรองมากขึ้นนะคะ จากเดิมที่เรามีในเมืองหลักหลายๆ เมืองแล้วเนี่ย เราก็ขยายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Dairy Queen ก็จะไปแม่ฮ่องสอน แต่ว่าในขณะเดียวกัน แบรนด์ที่ค่อนข้างใหม่อย่างเช่น GAGA กับ Steak & More เนี่ย เราก็ขยายในตัวจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นหาดใหญ่ สระบุรี ฉะเชิงเทรา แล้วก็สำหรับ Steak & More เนี่ย เอ่อเราก็จะเริ่ม penetrate เข้าไปในชลบุรี พัทยา เชียงใหม่ แล้วก็ขอนแก่นค่ะ
สำหรับตลาดถัดมานะคะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นตลาดค่อนข้างใหม่สำหรับเรา เราก็คืออินโดนีเซีย ซึ่งเราเข้าอินโดนีเซียเนี่ย ตลาดนี้เมื่อประมาณปีที่แล้วนะคะ จากเดิมปีที่แล้วที่เรามีอยู่ประมาณสัก 33 สาขา ปีนี้เนี่ยเราก็เพิ่มสาขามากขึ้น ทำให้ ณ ปัจจุบันเนี่ยเราอยู่ถึงประมาณมากกว่า 70 สาขานะคะ ก็ แบรนด์หลักๆ ที่เรา penetrate ในประเทศนี้ ก็คือตัว GAGA แล้วก็อินโดนีเซียนนะคะ ซึ่งประมาณปีกว่าที่ผ่านมาเนี่ยก็ถือว่าประสบความสำเร็จนะคะ แล้วก็เห็นว่า Platform ในอินโดนีเซียเนี่ย แข็งแกร่งมากขึ้น แล้วเราก็คิดว่าในภายภาค เอ่อในปีหน้าเนี่ย อินโดนีเซียก็น่าจะเป็นอีกตลาดตลาดนึงที่เป็นตลาดหลักสำหรับ Minor Food ค่ะ สำหรับหน้าถัดมานะคะ อันนี้ก็จะเป็นกลยุทธ์ของ Minor International อ่ะนะคะ กว้างๆ ที่เราพยายามที่จะเสริมสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ให้กับผู้ถือหุ้นของเราอ่ะนะคะ ก็ ณ ปัจจุบันเนี่ยเราก็กำลัง ศึกษาอยู่ 2 เรื่องนะคะ ที่จะเสริมสร้างมูลค่าให้ให้ให้กับนักลงทุนอย่างแรกก็คือเรื่อง Hospital REIT นะคะ อันนี้เราน่าจะเคยพูดเกริ่นไปแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าเรื่องที่ 2 เนี่ยก็เราก็กำลังดูอยู่อ่ะนะคะ ศึกษาอยู่ว่าเราอาจจะ split ตัว Minor Food แล้วก็ทำ IPO Minor Food แยกออกมาจาก Minor International นะคะ ซึ่งจุดประสงค์หลักๆ ในการที่เราศึกษา 2 เรื่องนี้เนี่ย ก็คือเราต้องการปลด ล็อก คุณค่าของบริษัทอันแรกอ่ะนะคะ ซึ่งการปลด ล็อก เนี่ยเราก็จะเห็นว่า จะทำให้ตลาดเนี่ย evaluate หรือว่ามองมูลค่าที่ชัดเจนขึ้นของแต่ละตัว Business Unit นะคะ ซึ่งเราคิดว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเนี่ยจุดประสงค์ปลายทางก็คือเราต้องการที่จะให้ multiple valuation ของ Minor เนี่ยมีมูลค่าที่สูงขึ้นนะคะ แล้วก็ objective หลักที่ 2 ก็คือเราต้องการที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัว Balance Sheet นะคะ ซึ่งเงินที่เราจะได้จาก 2 กิจกรรมเนี้ย ก็คือเราก็จะเอามาจ่ายหนี้อ่ะนะคะ แล้วก็เรามองช่องทางอื่นๆ ที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่นักลงทุน ก็อย่างเช่น อาจจะมี Share Buyback แล้วก็เรื่อง Dividend นะ คะ ซึ่งขอสรุปสั้นๆ ว่า 2 กิจกรรมนี้ที่เรากำลังศึกษาอยู่ อย่างแรกที่เราต้อง ที่เราคิดว่าเราจะได้นะคะ ก็คือตัว Trading Multiple ของ MINT ที่เพิ่มขึ้น 2 ก็คือตัว Financial ของเราที่เราคิดว่ามันน่าจะเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับบริษัท นะคะ แล้วก็ 3 ก็คือตัว Return ที่เราจะมอบกลับให้แก่นักลงทุนค่ะ
ถัดมานะคะ ก็จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องตัว Recap ผลประกอบการของ 9 เดือนแรกนะคะ เอ่อ 9 เดือนแรกน่าจะเห็นว่าตัวรายได้ของเราเนี่ย อยู่ที่ประมาณ 121.7 Billion นะคะ ซึ่งอันนี้ก็เพิ่มขึ้นประมาณ 2% นะคะ เอ่ออยู่ที่ Constant FX นะคะ ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนี่ยก็มาจากทั้ง 2 ธุรกิจเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม หรือว่าธุรกิจร้านอาหารนะคะ ซึ่งถ้าเราดูที่ตัวกำไรเนี่ย ก็จะเห็นว่ากำไรที่ไม่ได้รวม Extra Item นะคะ ก็เติบโตอยู่ถึง 14% นะคะ เมื่อดูว่า FX คงที่นะคะ ซึ่งการที่สูงถึง 14% มากกว่ารายได้เนี่ย นอกเหนือจากตัว Operation ที่ดีขึ้นแล้ว ก็เป็นเพราะว่าเราสามารถลดหนี้ได้เพิ่มมากขึ้นนะคะ จากการที่เราลดหนี้แล้วแล้วก็จากการที่ตัว Cost of Fund ของเราเนี่ยลดลงด้วยเช่นกันค่ะ คราวนี้มาดูแต่ละธุรกิจนะคะ ธุรกิจ เอ่อ โรงแรมนะคะ ธุรกิจโรงแรมก็จะเห็นว่าตัว Region Market หลักๆ ของเราเนี่ยเราก็ทำได้ดีต่อเนื่องอ่ะนะคะ สำหรับยุโรป แล้วก็ในลาตินอเมริกา จะเห็นว่าโรงแรมของเราก็เติบโตดีนะคะ อยู่ที่ +4% ก็คือไม่แผ่วเลยนะคะ ซึ่งถึงแม้ว่าปีที่แล้วเนี่ยจะมีฐานที่สูงนะคะ ที่มาจากตัว UEFA Euro Cup Event หรือว่า คอนเสิร์ตใหญ่ๆ ของ Taylor Swift นะ คะ แต่ว่าเราก็ยังสามารถทำ Rep Pa ให้เติบโตต่อเนื่องนะคะ ไม่ว่าจะมาจาก Room Rate หรือว่า ไม่ว่าจะมาจากอัตราการเข้าพักเช่นกันค่ะ สำหรับเมืองไทยเนี่ยอาจจะเห็นว่าอาจจะบวกแค่เล็กน้อยนะคะ +1% แต่ว่าเนื่องจากว่าใน Quarter 2 Quarter 3 เนี่ยเราได้รับผลกระทบจากการที่เราปิดโรงแรม อ่ะ ไม่ใช่ปิดโรงแรม การที่เรา Renovation โรงแรมของเรา ในหลายๆ ที่ ซึ่งเป็นโรงแรมที่เป็น flagship ของเราอ่ะนะคะ แต่ว่าถึงแม้ว่าจะบวกแค่ 1% แต่ว่าถ้าเราเทียบกับคู่แข่งในเมืองไทยเนี่ย เราจะเห็นว่าเราทำได้ดีกว่านะคะ เพราะว่าจะเห็นว่าคู่แข่งเนี่ยหลายๆ ที่อาจจะ มี Rep Pa ที่ลดลงนะคะ เนื่อง