สรุปงบล่าสุด KBANK
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
กำไรสุทธิ 11,965 ล้านบาท ลดลง 5.43% QoQ เนื่องจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง โดยเฉพาะธุรกิจประกัน NIM อยู่ที่ 3.61% และ NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.20% ธนาคารยังคงตั้งสำรองฯ อย่างระมัดระวัง 11,652 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ส่งผลให้ Coverage Ratio อยู่ที่ 150.72% เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง 2.11% QoQ สะท้อนการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
Cost to Income Ratio 9 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 42.95% ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ในด้านรายได้ รายได้รวมลดลง 3.47% QoQ โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อย สาเหตุจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างรายได้จากธุรกิจประกัน รายได้จากค่าธรรมเนียมบริการกลับเพิ่มขึ้น กำไรสุทธิงวด 9 เดือนเติบโต 15.41% YoY จากการเติบโตของรายได้สุทธิที่สูงกว่าค่าใช้จ่าย
สรุปด้วย AI(O) BOT
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 11,965 ล้านบาท ลดลง 5.43% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง โดยเฉพาะธุรกิจประกัน แต่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจากบริการการค้าระหว่างประเทศและค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวไม่ทั่วถึงและธนาคารมีการยกระดับประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่ อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.61% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้นจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกองทุนแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) มีจำนวน 11,652 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง เพื่อให้สำรองอยู่ในระดับที่เหมาะสม สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆ รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อ 2,433,613 ล้านบาท ลดลง 2.17% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ธนาคารจึงเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพสูง และมีการยกระดับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่ สำหรับ NPLs อยู่ที่ 3.20% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า Coverage Ratio อยู่ที่ 150.72% โดยธนาคารยังคงติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดจากสถานการณ์นําท่วมที่เกิดขึ้น และพิจารณาการตั้งสำรองอย่างเพียงพอตามหลักความระมัดระวัง
แผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคตของธนาคารกสิกรไทย ยังคงมุ่งเน้นการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 เพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยธนาคารจะยังคงติดตามสถานการณ์นําท่วมที่เกิดขึ้นและพิจารณาการตั้งสำรองอย่างเพียงพอตามหลักความระมัดระวัง รวมทั้งมีแผนการขายสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และแผนให้บริษัทย่อยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เพื่อประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ต้อยคุณภาพ
ธนาคารกสิกรไทย มี P/E ล่าสุดที่ 7.44, P/BV ที่ 0.64 และ YIELD ที่ 4.42 ราคาหุ้น 52 สัปดาห์ สูงสุด/ต่ำสุดอยู่ที่ 155.04 บาท / 124.48 บาท และราคาหุ้นล่าสุดอยู่ที่ 139.07 บาท
**โอกาส**
* ธนาคารกสิกรไทย มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย อยู่ที่ 20.58% สะท้อนถึงความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงได้ดี
* ธนาคารกสิกรไทย มีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ระดับ 42.95% ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน
* ธนาคารกสิกรไทย มีแผนการขยายธุรกิจและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านบริการการค้าระหว่างประเทศ
* ธนาคารกสิกรไทย มี YIELD ที่ 4.42% ซึ่งน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผล
**ความเสี่ยง**
* สภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอน และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อของธนาคาร
* อัตราดอกเบี้ยที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคตอาจส่งผลต่อผลกำไรของธนาคาร
* การแข่งขันในอุตสาหกรรมธนาคารที่รุนแรง อาจส่งผลต่อผลกำไรของธนาคาร
เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดและอัตราส่วนทางการเงินย้อนหลัง ธนาคารกสิกรไทย เป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหาหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี แต่ในช่วงนี้ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ
NIM
3.61 %
NPL
3.20 %
COV
150.72 %
CREDIT
2,321,531.00 ล้านบาท
(2.07%)
(3.95%)
(0.04%)
(1.85%)
(2.07%)
(2.02%)
(0.44%)
(9.36%)
(16.79%)
(9.73%)