สรุป OPPDAY หุ้น ITC

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุป OPPDAY
ITC Oppday สรุปผลประกอบการปี 2567: โอกาสและความท้าทายในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง
สรุปผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 และภาพรวมทั้งปีของ ITC รวมถึงโอกาสและความท้าทายในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง โดยมีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจ, กลยุทธ์ในการคว้าโอกาส, การรับมือกับความเสี่ยง, และแนวโน้มในอนาคต พร้อมช่วงถาม-ตอบ
- ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
ยอดขาย Q4/67 อยู่ที่ 4,700 ล้านบาท, ใกล้เคียงกับ Q4/66 ที่ลดลงเล็กน้อย, ปริมาณขาย 27,000 ตัน, Gross Profit 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY, Gross Margin 25.5%, Net Profit 790 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3% YoY, Net Profit Margin 16.8%
ยอดขายจากอเมริกา 2,400-2,500 ล้านบาท (ค่อนข้างคงที่), ยุโรป 655 ล้านบาท (ลดลง 15%), เอเชียโอเชียเนีย 1,560 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.6%) การลดลงของ Volume ประมาณ 3%, Premium Mix เพิ่มขึ้น 5%, อัตราแลกเปลี่ยนลดลงเล็กน้อย 2.8%
Full Year ปี 2567 ยอดขาย 17,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8%, Gross Profit 4,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%, Gross Margin 27.7%, OP 3,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76%, Net Profit 3,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58%, Net Profit Margin 20.3%
Sales Volume ทั้งปี 103,318 ตัน, ลูกค้าใหม่ 83 ราย (ยอดขาย 458 ล้านบาท), New Product Launch 1,400 ล้านบาท, จำนวน SKU 5,000+
- โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
ตลาด Pet Food ปีที่แล้ว 147,000 ล้านเหรียญ, เติบโต 10% ใน 5 ปีที่ผ่านมา, คาดการณ์เติบโต 6% ต่อปีใน 5 ปีข้างหน้า, Segment ที่โตเร็วสุดคือ Mid-Price และ Premium
Wet Cat/Dog Food เติบโต 9% กว่าๆ, คาดการณ์เติบโต 5% Wet Cat ตลาดใหญ่กว่า Wet Dog (24,000 ล้านเหรียญ vs 14,000-15,000 ล้านเหรียญ)
ITC มี Market Share ใน Wet Cat Food ทั่วโลกประมาณ 6%
- ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
Global Economy ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก
Import Tariff ของอเมริกา
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
- วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
ขยาย Volume ใน Private Label (อเมริกา/ยุโรป), Maintain/เพิ่ม Share of Wallet ในลูกค้าปัจจุบัน
Focus Premium Wet Treat และ Functional Pet Food (ก้าวสู่ Supplement/Nutraceutical)
ขยายกลุ่มสินค้า Chunk & Pate (ขยายตลาด/ยอดขาย)
M&A (ว่าจ้างที่ปรึกษา ดู Target ที่เหมาะสม สร้าง Synergy ในระยะยาว)
- แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
ปี 2567: ขยายการขายให้ Global Brand (โต 4 เท่า), ยอดขาย Retailer อันดับ 1 ในอเมริกา (โต 30%), ขาย Private Label ในอเมริกา/แคนาดา/ออสเตรเลีย
Operation: Run โรงงานใหม่ (ขยายกำลังผลิต 20%), สร้าง Automated Warehouse ที่สงขลา
Innovation: i-Cattery ได้รับ Accreditation จาก International (Pet Food บริษัทเดียวในโลกที่ได้รับการรับรอง), สิทธิบัตร (19 สิทธิบัตร)
Awards: CFO Award, IR Award, ESG Award, Manufacturing Award
Listed ใน SET 50, Launch กลยุทธ์ปี 2030 (Project Tailwinds – Transformation Project)
Sustainability Initiatives: Net Zero ภายในปี 2030 (ลดก๊าซเรือนกระจก 42% Under Scope 1 & 2), สภาพแวดล้อมในการทำงานปลอดภัย, Zero Waste Water ภายในปี 2030
- ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [01:02:13]
- แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1:
Target คือเติบโตขึ้นทุกปี หาก Secure Order 100% และสามารถส่งมอบได้ 100% คาดว่าจะทำให้ตัวเลขดีขึ้น แต่ Q1 มักจะเป็นช่วงที่การขายค่อนข้าง Weak เนื่องจาก Build Up Inventory ของลูกค้าในช่วงปลายปี
- ปัจจัยบวกสำหรับครึ่งปีแรก และเป้าหมายรายได้เติบโต:
ปัจจัยบวกมาจาก New Project ต่างๆ ที่ทยอย Ship ออกไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา การเติบโต 13-15% มาจาก Volume เป็นอันดับหนึ่ง และ Price ที่ขึ้นราคามาตั้งแต่ปลายปี
- แผนการลงทุนในปี 2568:
งบลงทุน 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2567 (ASI ที่สงขลา) เพื่อ Support Automation เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้ยังมี Replacement เครื่องจักรเก่า และลงทุนใน Sustainability (Bio Boiler) รวมถึง QC (เครื่อง X-Ray)
- กลยุทธ์หลักในปี 2568:
สอดคล้องกับแผน 2030
- ตลาด Wet Food (แมว/สุนัข):
ตลาดแมวมีขนาดใหญ่กว่าสุนัขเนื่องจากเลี้ยงง่ายกว่า ไม่ต้องการพื้นที่เยอะ และสามารถเลี้ยงในห้องได้ (สังคมเมือง) ในส่วนของ Premium แมวมีผู้เล่นที่สามารถออกแบบสินค้า Premium ได้ดีกว่า (สุนัขส่วนใหญ่เป็นอาหารแห้ง)
- ตลาด Wet Food แต่ละประเทศ:
Wet Food ของแมวจะใหญ่กว่า Wet Food ของน้องหมา
- แผนการสร้างแบรนด์:
Maintain Own Brand ไม่เกิน 2% เก็บไว้สำหรับ Business Showcase ในปีนี้จะเน้น Product Showcase เพิ่มขึ้นใน Domestic (ไทย) เพื่อเป็นตัวอย่างในการคุยกับลูกค้าต่างประเทศ
- ตลาดที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนผลงานปี 2568 และแผนขยายตลาด:
อเมริกายังคงเป็นตลาดหลัก (49-50%) แม้ทรัมป์จะขึ้นมา แต่อเมริกายังคงพึ่งพิงสินค้า Wet Pet Food จากไทย โดยจะเน้น Private Label ในอเมริกามากขึ้น
ตลาดใหม่: ลาตินอเมริกา (Dry Pet Food) และมีสินค้า Wet Pet Food ที่เป็น Premium / ขยายไปในฝั่งของสเปนและอิตาลี
Mid East: เลือกลูกค้าที่จะเข้าไป เนื่องจากเป็นตลาด Low End (มีเข้าไปในซาอุดิอาระเบียแล้ว)
South East Asia: อินโดนีเซีย (Shipment เข้าไปแล้ว 2 Shipment)
Caribbean: Trinidad & Tobago (น้องใหม่ล่าสุด โดยจับมือกับ Global Brand)
- แผนขยาย Market Share 6%:
ค่อยๆ เติบโตไป เพราะ Market Share ขึ้นอยู่กับ Volume ด้วย จึงเน้น Volume ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับโปรแกรมที่ทำกับ Consultant (Project Tailwinds) ช่วยให้ Economy of Scale ดีขึ้น และ Cost Saving เพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่าย Transformation Project:
รวมอยู่ใน Target ของ SG&A แล้ว โดยค่า Consulting Fee ไม่ได้มีแค่ Transformation แต่รวมถึง HR (Succession Plan), QC Consult (ควบคุมคุณภาพ) ใน Q4 มีค่า Consulting Fee ประมาณ 3.4% ของยอดขาย (หากตัดออก SG&A จะเหลือไม่ถึง 8%) หากตัดออกทั้งปี SG&A จะเหลือ 7.4% ซึ่งต่ำกว่า Guidance แต่ปีหน้า (2568) ใน Guidance ที่โชว์อยู่รวมค่า Consult Fee ไปเรียบร้อยแล้ว
Transformation เป็น Front Load Fee (ค่าใช้จ่ายสูงในช่วงแรก) แต่ปี 2568 จะเริ่มออกดอกออกผล (Cost Saving ต่างๆ) โดย Start ตั้งแต่ Q1/68 ใน Project ทำได้ Achieve Target 104% แล้ว (ณ ธันวาคม) จึงจะเริ่มเห็นผลใน P&L ตั้งแต่ Q1/68 เป็นต้นไป
โดยสรุป ITC ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารเปียกและสินค้าพรีเมียม โดยมีอเมริกาเป็นตลาดหลัก และขยายไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น ลาตินอเมริกา และยุโรป พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนผ่านโครงการ Transformation เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน