สรุปงบล่าสุด CREDIT

ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
CREDIT ปิดปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 3,624 ล้านบาท โต 1.9% จากปีก่อนหน้า พร้อมทำสถิติกำไรไตรมาส 4 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,192.4 ล้านบาท สินเชื่อรวมขยายตัว 13.2% จากปี 2566 เน้นกลุ่มธุรกิจไมโครและเอสเอ็มอีเป็นหลัก (56.9% ของพอร์ต) แม้หนี้เสีย (NPL Ratio) จะปรับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.4% จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่สิ้นสุดลง แต่ยังบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพ
CREDIT โดดเด่นด้วยส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) สูงถึง 8.6% แม้ลดลงจากปีก่อน หนุนรายได้หลักจากดอกเบี้ย พร้อมตั้งสำรองความเสี่ยง (Coverage Ratio) 148.6% และควบคุมค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ที่ 39.9% ได้ดีเมื่อเทียบอุตสาหกรรม เน้นขยายสาขาในทำเลศักยภาพและลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
โอกาสมาจากการขยายสินเชื่อไมโคร/เอสเอ็มอีต่อเนื่อง การพัฒนาแอปพลิเคชันทางการเงิน และฐานเงินกองทุนแข็งแกร่ง ส่วนความท้าทายคือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่กระทบการชำระหนี้ การแข่งขันจาก FinTech และความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย แม้ CREDIT จะมีจุดแข็งจากกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง แต่ผู้ลงทุนควรติดตามแนวโน้ม NPL และผลกระทบจากกฎระเบียบใหม่ที่อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน
สรุปด้วย AI(O) BOT
**สรุปผลประกอบการธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ไตรมาส 4 ปี 2567**
**ภาพรวมผลประกอบการปี 2567:** ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ปิดปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 3,624 ล้านบาท เติบโต 1.9% จากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 10.5% มาอยู่ที่ 14,729.2 ล้านบาท สอดคล้องกับการเติบโตของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 13.2% อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
**NPL และคุณภาพสินทรัพย์:** ในไตรมาส 4 ปี 2567 สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ 7,228.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2% จากปีก่อน ส่งผลให้อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.4% (จาก 4.2% ในปี 2566) สาเหตุหลักมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่สิ้นสุดลง และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้เพิ่มความเข้มงวดในการติดตามหนี้ และตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 8.8% เป็น 10,739.0 ล้านบาท เพื่อรักษา Coverage Ratio ให้อยู่ในระดับสูงที่ 148.6% (ลดลงจาก 161.4% ในปี 2566)
**ผลขาดทุนด้านเครดิต:** ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 4.6% จากปีก่อนหน้า แต่เมื่อพิจารณาอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ย (Credit cost) ลดลงเหลือ 2.65% (จาก 2.94% ในปี 2566) สะท้อนการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น
**อัตราผลตอบแทนและค่าใช้จ่าย:** อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) อยู่ที่ 8.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 8.7% ในปี 2566 เนื่องจากผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 30.7% เหลือ 22.0% สะท้อนประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายของธนาคาร
**สินเชื่อ:** ณ สิ้นปี 2567 สินเชื่อรวมอยู่ที่ 163,158.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อที่อยู่อาศัย การเติบโตของสินเชื่อในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าและการทำการตลาดที่แข็งขัน
**โอกาส:**
* การเติบโตของสินเชื่อในกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีและรายย่อยยังคงมีศักยภาพ
* การขยายสาขาและลงทุนในเทคโนโลยีช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
* การบริหารจัดการคุณภาพหนี้ดีขึ้น ส่งผลให้ Credit Cost ลดลง
* ความสามารถในการทำกำไรยังอยู่ในระดับสูง โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 24.8%
**ความเสี่ยง:**
* NPL เพิ่มขึ้นตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่หมดลง และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
* การแข่งขันในธุรกิจธนาคารที่สูงขึ้น
* ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลกระทบต่อ NIM
**สรุป:** แม้ธนาคารจะเผชิญกับความท้าทายในเรื่อง NPL และ NIM ที่ลดลง แต่ด้วยการเติบโตของสินเชื่อ การบริหารค่าใช้จ่ายที่ดี และการตั้งสำรองที่ระมัดระวัง ทำให้ธนาคารไทยเครดิตยังคงมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว หุ้น CREDIT จึงยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะยาวเพื่อรอการเติบโต
NIM
8.60 %
NPL
4.40 %
COV
148.60 %
CREDIT
163,158.60 ล้านบาท
(0.95%)
(44.05%)
(1.68%)
(42.64%)
(0.72%)
(2.53%)
(10.75%)
(36.36%)
(2.63%)
(28.47%)