CPAXT
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

เจาะลึกผลประกอบการ CPAXT ไตรมาส 3 ปี 2567: กลยุทธ์ฝ่าวิกฤต สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

สวัสดีนักลงทุนทุกท่าน เข้าสู่การรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ของบริษัท CPAXT จำกัด มหาชน โดยได้รับเกียรติจากคุณภัทรวรรณ สุขปลั่ง ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์

หัวข้อที่จะพูดคุยกันประกอบด้วย สรุปภาพรวมผลการดำเนินงาน, พัฒนาการที่สำคัญ, และทิศทางของธุรกิจในอนาคต

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สถานการณ์เศรษฐกิจยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ เช่น ความขัดแย้งชายแดนกัมพูชาที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค สภาพอากาศที่ปริมาณฝนมากกว่าปีที่แล้วที่กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ High base effect จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet ในปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม CPAXT ยังคงมี Same Store Sales ที่ยืนบวกได้บางๆ และรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 2.6% จากการเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ยังคงเติบโต และรับรู้ผลประกอบการ 1 เดือนภายหลังการเข้าทำธุรกรรมซื้อกิจการกลุ่ม Locky Frozen

Key driver หลักคือ Omnichannel ที่มีสัดส่วน 22.2% เมื่อเทียบกับยอดขายรวม เติบโต 21% จากการพัฒนาแพลตฟอร์มและการบริการของทีมนักขาย กลุ่มสินค้าในหมวดอาหารมียอดขายเติบโตขึ้น 10.6% year-on-year ธุรกิจพื้นที่เช่ายังคงรักษาระดับการเช่าพื้นที่ในระดับ 90% ขึ้นไปได้

กำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นจากการขายที่ 17,441 ล้านบาท และพื้นที่เช่าที่ 1,984 ล้านบาท GP Margin รายงานที่ 14.3% จากรายได้การขาย และ 55.1% สำหรับการบริหารพื้นที่เช่า EBITDA รายงานที่ 7,998 ล้านบาท ลดลงเนื่องจากการอ่อนตัวของผลประกอบการธุรกิจค้าปลีก

กำไรสุทธิอ่อนตัวลงจากปีก่อนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงตามสัดส่วนของยอดขายสินค้าที่ไม่จำเป็น และ High base effect จากมาตรการภาครัฐสนับสนุนยอดขายกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า

ในช่วง 9 เดือน แม้จะเผชิญความท้าทายจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงรักษาการเติบโตของรายได้รวมได้ต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นของงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้นทั้งจากการขายสินค้าและการบริหารพื้นที่เช่า ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นและปิดงวด 9 เดือนที่ 6,794 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากการใช้ความได้เปรียบจากจุดแข็งด้านอาหาร เครือข่ายการขายนอกร้านที่ครอบคลุม และการพัฒนาสินค้า Private Label ที่มีราคาที่แข่งขันได้

อีกด้านหนึ่งยังคงบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย แสดงให้เห็นจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ายอดขายที่เติบโต และเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมมีสัดส่วนที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน

ยอดขายนอกร้านยังคงรักษาระดับ Double-digit growth และมี Positive EBITDA Margin อย่างต่อเนื่อง พยายามปรับปรุงอัตรากำไรขั้นต้นของการขายนอกร้านให้ดีขึ้นเพื่อให้ Match กับโครงสร้างต้นทุน ปัจจุบันเห็น EBITDA Margin ของยอดขายในร้านและยอดขายนอกร้านในระดับที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันแล้ว ในไตรมาสที่ 3 มียอดขายนอกร้านที่ 27,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.2% เมื่อเทียบกับยอดขายรวม

สำหรับงวด 9 เดือน ยอดขายนอกร้านรวม 77,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายออนไลน์ 34,000 ล้านบาท เติบโต 31% year-on-year และยอดจากทีมนักขาย 44,000 ล้านบาท เติบโต 18% year-on-year

สัดส่วนของยอดขายในรายกลุ่มผลิตภัณฑ์ถูกผลักดันด้วยยอดขายของสินค้ากลุ่มอาหาร เติบโตกว่า 10% มียอดขายสะสมรวม 138,000 ล้านบาท คิดเป็น Mix ประมาณ 37% เติบโตขึ้นจาก 35% ในปีก่อน ขณะที่ยอดขายกลุ่ม Non-food ลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย

Private Label มีการเติบโตขึ้น 5% year-on-year มียอดขายสะสม 58,000 ล้านบาทในงวด 9 เดือน ในเชิงของสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจาก 15.4% มาเป็น 15.8%

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

มุ่งเน้นในกลุ่มสินค้าอาหารพร้อมปรุงพร้อมทานเบเกอรี่ รวมถึงการนำเข้าสินค้าตรง ทั้งในหมวดอาหาร ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และพยายามผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้าใหม่ๆ ทุกเดือนเพื่อสร้างความตื่นเต้นกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่สาขาเพิ่มมากขึ้น

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ลูกค้า Macro ในประเทศไทย กลุ่ม Distributor ลดลง ซึ่งเป็นความตั้งใจของบริษัทที่จะลดการขายสินค้าอัตรากำไรต่ำ ลดการพึ่งพาผู้ค้าส่ง เพื่อสร้างความยั่งยืนของผลประกอบการในระยะยาว โดยโฟกัสที่ลูกค้าหลัก 3 กลุ่ม คือ HoReCa, อาเตอร์ และ Food Retailer

กำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 เติบโตขึ้นประมาณ 2% ในมุมของเม็ดเงินบาท และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.3% ลดลงเล็กน้อย โดยธุรกิจค้าส่งเติบโตขึ้น 7% year-on-year และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 40 basis points โดยหลักมาจากปรับการรับรู้ทางบัญชี

ธุรกิจค้าปลีกกำไรขั้นต้นลดลง 2% ในมุมของเม็ดเงินบาท และ 70 basis points สำหรับ Margin เป็นผลมาจากการลดลงของยอดขายในสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร

รายได้ค่าเช่าและการให้บริการศูนย์การค้าทรงตัวจากปีที่แล้ว ธุรกิจค้าปลีกยังอยู่ในช่วงที่พยายาม Stabilize รายได้และปรับปรุงสาขา แต่ธุรกิจค้าส่งรายได้เติบโตกว่า 30% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมามีการเปิดตัว Macro ที่เป็น Hybrid Wholesale 2 สาขา คือ ศรีอยุธยาและชัยนาท และปรับปรุงสาขาเดิมเพื่อเพิ่มพื้นที่เช่า

อัตรากำไรขั้นต้นของพื้นที่เช่าและ Occupancy Rate ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากอยู่ในระหว่างการปรับปรุงพื้นที่เช่าของสาขา Macro ในไทยและมาเลเซีย

ยอดของเงินสดและกระแสเงินสดลดลงเนื่องจากนำเงินไปใช้ลงทุนในการขยายสาขาและปรับปรุงสินค้า หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการ Funding เพื่อรองรับธุรกรรมการเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจ Lucky Frozen Group ส่งผลให้ Outstanding Interest-bearing Debt เพิ่มขึ้นมาที่ 108,664 ล้านบาท

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

ในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา มีการเปิดสาขา Macro เพิ่ม 4 สาขา เป็นรูปแบบ Eco Plus ซึ่งเป็น Format ที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพทั้งในแง่ของผลตอบแทนที่รวดเร็ว ในไตรมาส 4 มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา คือ Macro บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น และอีก 1 สาขาที่เมียนมา

สำหรับธุรกิจ Retail ในไตรมาส 3 เปิดสาขา Lotus ลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นร้านขนาดใหญ่ มีพื้นที่ขายสุทธิ 4,000 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าประมาณ 2,700 ตารางเมตร ขยายเครือข่าย Lotus Go Fresh เพิ่มขึ้น 95 สาขา รวมพื้นที่ขายประมาณ 28,700 ตารางเมตร ในไตรมาส 4 มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในทำเลศักยภาพสูง เช่น ศรีราชา จังหวัดชลบุรี และ Supermarket ที่สันทราย เชียงใหม่ และเตรียมเปิด Lotus Go Fresh อีก 26 สาขา

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

การเปิดสาขาใหม่เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของบริษัท โดยมีแผนที่จะเปิดสาขาในทำเลที่มีศักยภาพและเหมาะสมกับรูปแบบร้านค้าที่บริษัทวางไว้ นอกจากนี้ การขยายสาขาขนาดเล็ก หรือ Lotus Go Fresh ยังคงเป็นจุดสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มความหลากหลายในการให้บริการ

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) : [เริ่ม นาทีที่ 41:54]

  1. แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4 และปีหน้า
    • ไตรมาส 4 เป็น High Season เติบโตจากไตรมาส 3
    • ปี 2567 คาด Top Line เติบโต Low Single Digit
    • GP รวมทั้งปีบวกได้ 10-20 Basis Points
  2. ปัจจัยบวกและลบ
    • ปัจจัยบวก: โครงการรัฐ (เช่น โคเปย์) หนุนธุรกิจ Wholesale โดยเฉพาะโชห่วย
    • ปัจจัยลบ: กำลังซื้อเปราะบาง โดยเฉพาะสินค้าไม่จำเป็น (Non-Food) แต่ CPAXT เน้นสินค้าจำเป็น (อาหารสด) เป็นหลัก
  3. กลยุทธ์สำคัญ
    • Direct Sourcing สินค้านำเข้าจากทั่วโลก ลดต้นทุน
    • Product Differentiation สร้างความแตกต่าง ไม่เน้นแข่งราคา
    • ปรับพอร์ตสินค้าให้ตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ ๆ
  4. ภาพรวมปีหน้า 2568
    • เน้นกำไรระยะยาว
    • อาหารเป็นแกนหลัก (Ready to Cook, Ready to Eat, Ready to Bake)
    • พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ (Private Label, Exclusive, นำเข้า)
    • Smart Marketing ใช้ฐานลูกค้า 33 ล้านคน
    • Cost Optimization ร่วมมือค้าส่ง-ค้าปลีก ลดค่าใช้จ่าย
    • ขยายสาขาต่อเนื่อง (ขนาดใหญ่+เล็ก)
    • พัฒนาพื้นที่เช่าใน Macro เพิ่มรายได้
    • Retail of the Future ปรับรูปแบบร้านให้ทันสมัย
  5. แผนการขยายสาขา
    • เน้นทำเลศักยภาพสูง (Green Area)
    • รูปแบบร้านเหมาะสม (Optimization สูง คืนทุนไว)
    • สร้างยอดขาย+เสริม Omnichannel
    • สาขาขนาดใหญ่: เฉลี่ย 6-8 สาขาต่อปี
    • สาขาขนาดเล็ก (Go Fresh): เน้นอาหารสด 30-40%
  6. การส่งสินค้า
    • Go Fresh: ส่งภายใน 1 ชั่วโมง
    • สาขาใหญ่: ส่งภายใน 3 ชั่วโมง
    • Macro: ส่งภายใน 3 ชั่วโมง+ส่ง Next Day
  7. การปรับปรุงสาขา
    • Retail of the Future: บางสาขาในไตรมาส 4
    • Concept ใหม่: Oasis (สารภี เชียงใหม่)
    • สาขาศรีราชา: แนว Japanese Town

หัวข้อคำถามย่อย:

  • แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4 และปีหน้า
  • ปัจจัยบวกและลบที่มีผลต่อธุรกิจ
  • กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร
  • ภาพรวมและเป้าหมายสำหรับปี 2568
  • แผนการขยายสาขาและพัฒนาพื้นที่เช่า
  • การปรับปรุงสาขาและรูปแบบร้านค้า

สรุป CPAXT มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยมีอาหารเป็นแกนหลัก พัฒนาสินค้าใหม่ ขยายช่องทาง Omnichannel บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และขยายสาขาอย่างมีวินัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว