CHG
บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

CHG ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 2568 มุ่งสู่ผู้นำ Healthcare แห่ง EEC: สรุป Oppday ไตรมาส 3

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งาน Opportunity Day ประจำไตรมาส 3 ปี 2568 ของกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) โดยในวันนี้ เรามีผู้บริหาร 2 ท่านที่จะมาร่วมแบ่งปันข้อมูลและตอบข้อซักถาม ได้แก่ แพทย์หญิงชุติมา ปิ่นเจริญ รองประธานกรรมการบริหาร และคุณศุภโชค โรจน์ชีวิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน

ทำความรู้จัก CHG: ภาพรวมธุรกิจโรงพยาบาลจุฬารัตน์

CHG มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่มั่นคง โดยกลุ่มพระรัตนศิลป์และปัญญพลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทตั้งอยู่ใน 7 จังหวัด มี 10 โรงพยาบาลและ 5 คลินิก จำนวนเตียงยังคงเท่าเดิม แต่จำนวนแพทย์ลดลงเล็กน้อย

CHG ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) มีห้อง OPD รวม 214 ห้อง และห้อง IPD 938 ห้อง โครงสร้าง Corporate Structure ส่วนใหญ่ถือหุ้น 100% ยกเว้นบางบริษัทที่ชวนแพทย์และบุคลากรในท้องถิ่นมาร่วมถือหุ้น เช่น จุฬารัตน์อาคเนย์ (ถือหุ้น 70%), จุฬารัตน์แม่สอด (ถือหุ้น 90%) และรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (ถือหุ้น 64.5%) นอกจากนี้ CHG Holding ยังลงทุน 25% ใน 2 Startup คือ Medcury และ Irin Care

โครงสร้างบอร์ดของบริษัท: คุณเกรียงศักดิ์ พัฒนสิน เป็น Chairman, ท่านอาจารย์เจษฎา โชคดำรงสุข เป็น CEO และอาจารย์กําพล อดีต CEO กลับมาช่วยในฐานะกรรมการบริษัท

ทีม Management นำโดยอาจารย์เจษฎา มีรองกรรมการผู้จัดการ 3 ท่าน ได้แก่ อาจารย์ยุทธนา คุณวันดี และแพทย์หญิงชุติมา นอกจากนี้ยังมีคุณหมอรุ่งอรุณ คุณหมอสุชา และคุณศุภโชค (CFO)

CHG วางตำแหน่งตัวเองเป็น Star of the East ตั้งอยู่ใน 6 จังหวัดภาคตะวันออก และมีสาขาที่แม่สอด จังหวัดตาก เนื่องจากเห็นโอกาสในพื้นที่ชายแดนและมี Partner ที่ดี

CHG ตั้งอยู่รอบสุวรรณภูมิ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา โดยที่ฉะเชิงเทรามี 3 สาขา ได้แก่ จุฬารัตน์ 11, จุฬารัตน์ 12 (ในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์) และรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (ในใจกลางเมืองแปดริ้ว) นอกจากนี้ยังมีจุฬารัตน์ชลเวช (โรงพยาบาลขนาดกลางที่ M&A มา) และจุฬารัตน์ระยอง

Key Milestone ของ CHG คือการทำระบบคุณภาพ JCI และ Hospital Accreditation โดยมุ่งเน้นในเรื่องของโรค เช่น หัวใจและ Stroke จนได้รับรางวัลมากมาย นอกจากนี้ CHG ยังดูแล Stroke Center 60 โรงพยาบาลใน 14 จังหวัด โดยมีระบบ Telemedicine ที่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ 24 ชั่วโมง

ประเภทของโรงพยาบาลในไทยมี 3 ประเภท ได้แก่ โรงพยาบาลรัฐ (Government Health Service), โรงพยาบาลเอกชน (Private Sector) ซึ่ง CHG อยู่ในกลุ่มนี้ และ Non-profit Health Service โดยทุกโรงพยาบาลต้องรับดูแลผู้ป่วยในกลุ่มสีแดงหรือ UCEP

CHG ให้บริการทั้ง Medical Service ทั่วไปและโรคเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น Heart Center, Stroke Center, Cancer Center และ Microvascular Surgery นอกจากนี้ยังมี Alternative Service เช่น ความงาม การแพทย์แผนไทย และ Chinese Traditional Medicine (ฝังเข็ม)

แผนการจ่ายเงินของประกันสังคม

  • Basic Payment: 1,808 บาทต่อหัว (เพิ่มขึ้นจาก 1,640 บาทตั้งแต่ปี 2566)
  • Statistic Payment: ดูน้ำหนักโรค (12,000 บาทต่อน้ำหนักโรค) และ Global Budget (746 บาท คูณด้วยจำนวนหัวผู้ประกันตน)
  • Medical Device: เบิกเพิ่มได้

Area of Expertise ของ CHG ได้แก่ Heart Center, Stroke Center, Gastric Sleeve (ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร), Microvascular Surgery, Trauma Center, Neonatal Intensive Care Unit (NICU) และ IVF Center

เครื่องฉายแสงตัวแรกของ Cancer Center ใช้เต็ม Capacity แล้ว และมีแผนจะติดตั้งเครื่องที่สองในปีหน้า

Financial Highlights: ผลประกอบการไตรมาส 3/2568

รายได้รวม: 2,142 ล้านบาท ลดลง 7.2% YoY สิทธิ สปสช. (NHSO): ติดลบ 18% สิทธิประกันสังคม: ติดลบ 25% A-Class OPD: เติบโต 13% A-Class IPD: ติดลบ 5%

สาเหตุการเปลี่ยนแปลงของแต่ละสิทธิ: สิทธิ สปสช.: เปลี่ยน Policy การส่งต่อเคส Stroke ในจังหวัดสมุทรปราการ (ปัจจุบันกลับมาเป็นปกติแล้ว) สิทธิประกันสังคม: ฐานสูงในปี 2567 (มีรายได้พิเศษ 100 ล้านบาท) และมาตรการกำกับเคส Gastric Sleeve ที่เข้มงวดขึ้น A-Class OPD: เติบโตในหลายสาขา และ Convert เคส IPD บางส่วนมาเป็น OPD A-Class IPD: Admission น้อยลงเนื่องจากโรคระบาดทางเดินหายใจมาช้า

  • รายได้ สปสช. เติบโต 4.7% YoY (9 เดือน)
  • ประกันสังคม: ติดลบ (เหตุผลคล้ายไตรมาส 3)
  • A-Class OPD: เติบโต 6.3% YoY (9 เดือน)
  • A-Class IPD: ลดลง 2.8% YoY (9 เดือน)

Volume (OPD): รายได้: เติบโต 13% (ไตรมาส 3) และ 6.3% (9 เดือน) Visit: ลดลง 1.1% (ไตรมาส 3) แต่เติบโต 2.6% (9 เดือน) Volume (IPD): รายได้: ลดลง 4.9% (ไตรมาส 3) Volume: ลดลง 8.3% (ไตรมาส 3)

สัดส่วนรายได้: สาขาหลักคือจุฬารัตน์ 3, 9 และ 11 (รวมกันเกือบ 70% ของกลุ่ม) แต่รายได้ติดลบในไตรมาส 3 เนื่องจากฐานสูงในปีที่แล้ว (มีรายได้พิเศษ) ส่วนสาขาอื่นๆ ติดลบ 2.8%

สรุปผลประกอบการไตรมาส 3: รายได้: ลดลง 9.6% YoY (จาก 2,383 ล้านบาท เหลือ 2,155 ล้านบาท) Gross Profit: ลดลง 15% YoY (จาก 748 ล้านบาท เหลือ 636 ล้านบาท) Gross Profit Margin: 29.7% EBITDA: ลดลง 26.9% YoY (จาก 673 ล้านบาท เหลือ 492 ล้านบาท) EBITDA Margin: 22.8% NI: 283 ล้านบาท ลดลง 34.7% YoY NI Margin: 13%

Utilization Rate: OPD: 59.1% IPD: 67.3% Asset Structure: ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ (56%), ลูกหนี้ (19%) Capital Structure: Equity เป็นหลัก D/E Ratio: 0.28 เท่า (มีความสามารถในการก่อหนี้เพิ่ม)

อัปเดตโครงการใหม่ใน Pipeline

  • สร้างตึก OPD ที่จุฬารัตน์ 11 (งบ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้)
  • จุฬารัตน์ระยองอินเตอร์ (โรงพยาบาล 200 เตียง บนพื้นที่ 10 ไร่ งบ 1,500 ล้านบาท เน้นกลุ่มคนไข้เงินสด/สิทธิประกัน คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2570 (ค.ศ.2027)
  • จุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ (สร้างอาคาร 5, อาคาร 6 และอาคารจอดรถ งบ 500 ล้านบาท อาคาร 5 และ 6 จะเพิ่มจำนวนเตียงอีก 100 เตียง และอาคารจอดรถรองรับได้ 277 คัน คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2570 (ค.ศ.2027)

แผนการขยายสาขาและเพิ่มจำนวนเตียงในอนาคต

ปัจจุบันมี 938 เตียง คาดว่าจะเพิ่มอีกกว่า 700 เตียงใน 4-5 ปีข้างหน้า โดยจะเพิ่มทั้งในสาขาเดิมและสาขาใหม่ เช่น จุฬารัตน์ 3, 9, ระยองอินเตอร์ และรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (เพิ่มอีก 71 เตียงในไตรมาส 4 นี้) และจุฬารัตน์แม่สอด (เพิ่มอีก 59 เตียงใน 1-2 ปีนี้)

ช่วงถาม-ตอบ [เริ่มในนาทีที่ 43:44]

Q: บริษัทได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดในการเบิกจ่ายและนโยบาย Co-payment ของบริษัทประกันหรือไม่ อย่างไร และจากประสบการณ์และการประเมินของบริษัท คิดว่าประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบแค่ในระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะเหตุใด และบริษัทจะลดผลกระทบอย่างไร

A: แพทย์หญิงชุติมาตอบว่า เคสที่จะมี Deduct หรือการถูกเรียกเงินคืนมีน้อยมาก แต่จะมีความกังวลมากกว่า ทำให้คนไข้ที่เป็น Simple Disease นอนโรงพยาบาลน้อยลงเพราะกลัวเรื่องการร่วมจ่าย แต่จริง ๆ เรื่องนี้ทำตอนต้นก็แค่ Simple Disease เป็นเรื่องทางจิตวิทยามากกว่า ผลกระทบไม่มาก ระยะยาวเชื่อว่า Co-pay ต้องมี เพราะดูจากต่างประเทศต่าง ๆ จะต้องมีเพิ่มขึ้น แต่ระยะแรกเป็นเชิงจิตวิทยา ในที่สุดผลกระทบก็จะมีแต่ค่อย ๆ จะค่อย ๆ มีไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในภาพรวมใหญ่ จะกลายเป็นระบบประกันชีวิตของเราได้เข้มแข็งขึ้น

Q: บริษัทมีแผนธุรกิจในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างไร และก็บริษัทมองว่าธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในสังคมไทยจะเติบโตได้มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด

A: แพทย์หญิงชุติมาตอบว่า มันมี Demand แต่ที่สำคัญคือคนจ่ายไหวไหม เพราะส่วนหนึ่งคนไทยแก่โดยที่ยังจนอยู่ ไม่ได้เตรียมตัว เลยต้อง Effort ได้ด้วย แต่มันมี Demand ก็มี Supply แต่ที่สำคัญคือดูมาว่ายังไงเหมาะสม ในจำนวนที่มีตอนนี้ ก็ได้ทำบ้างแล้ว เช่น Nursing Home ของ Century Care หรือทำเรื่อง Quality Wellness และ Anti-aging และก่อนหน้านั้นที่ทำก็คือ คนไข้ที่เราดูแล ที่มีโอกาสดูแล ก็จะพูดเรื่องของการป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้การดำรงชีวิตอยู่เมื่อมีอายุสูงขึ้น มีสุขภาพที่แข็งแรง เพราะว่าเหล่าานี้จะต้องเริ่มมาตั้งแต่อายุยังไม่ได้มาก อันนี้เรียกว่า CHG ทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเลย อย่างที่บอกว่าเรื่องของ Gastric Sleeve สำหรับจุฬารัตน์ เราไม่ได้มองเรื่องของความสวย เพราะทำออกมาแล้วเราเห็นผลแล้วมัน มันได้ประโยชน์ดีจริง ๆ เลย เขาแข็งแรงขึ้น สุขภาพจิตก็ดีขึ้น มีความมั่นใจใน Lifestyle การใช้ชีวิตต่าง ๆ ดีขึ้น

Q: รายได้ UCEP ของบริษัทอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ต่อไตรมาส Ticket Size ประมาณเท่าไหร่

A: คุณศุภโชคตอบว่า รายได้ UCEP กับ UC Classify ไว้ในกลุ่มเดียวกัน ปกติก็ไตรมาสละประมาณ 100 ล้านบาท ไม่เกิน

Q: รายได้ ภาครัฐ ลดลงอย่างมากเลยค่ะ จากปัจจัยใดคะ เป็น Micro หรือว่า Macro แล้วก็บริษัทมี กลยุทธ์อะไรในการเพิ่มรายได้กลับคืนมาค่ะ

A: แพทย์หญิงชุติมาตอบว่า มันเป็นนโยบายของเขาที่เกิดขึ้น เพราะเราอยู่ที่เรื่องการส่งเคส เขาจะมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การส่งเคส ทำให้ส่งเคสลงมาได้น้อยลง ก็เป็นอยู่ 1-2 เดือน ตอนนี้ก็กลับมาแล้ว เดี๋ยวรายได้ก็จะกลับคืนขึ้นมา ส่วนเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ เราดูอยู่ 14 จังหวัด 60 โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่จะเพิ่ม Member ที่อยู่ในกลุ่มที่เราดูแลเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเราพร้อมอยู่แล้วในเรื่องของศักยภาพการดูแล อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของ ศูนย์หัวใจ ก็มีติดต่อมาว่า ให้เราไปดูทำบริหารขึ้น ก็มี Study อยู่ ก็น่าจะมีอะไรที่จะมารายงาน เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่เราเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ก็ยังคาดว่ารายได้จากของ ภาครัฐ ก็อาจจะได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจาก Cancer Care ด้วย

Q: ขอสอบถามถึงอัตราการครองเตียงในปัจจุบันนะคะ รวมไปถึงสัดส่วนรายได้ของจุฬารัตน์ระยองต่อรายได้ทั้งหมดค่ะ

A: คุณศุภโชคตอบว่า Utilization Rate OPD อยู่ประมาณ 60% ปัจจุบันและก็ IPD ประมาณ 68% ส่วน ของรายได้จุฬารัตน์ระยอง ปัจจุบันน่าจะอยู่ประมาณ 4% ของรายได้ของกลุ่ม

Q: บริษัทมีโอกาสนำเข้า GLP1 มาบริการลูกค้่าโรคอ้วนบ้างไหมค่ะ

A: แพทย์หญิงชุติมาตอบว่า อันนี้มันเป็นเรื่องทั่วไปนะคะ เราก็มีมีอยู่แล้วค่ะ ที่จะเอามาใช้ ก็แต่เราก็ต้องดูตามความเหมาะสมด้วยนะคะ ทั้งตามความต้องการแล้วก็ตามความ ตามความเหมาะสม เพราะอันนี้มันเป็นเรียกว่าเป็น เป็นทางเลือกอันหนึ่ง

โดยสรุป CHG เผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายภาครัฐและการแข่งขัน แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจและพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดูแลผู้สูงอายุและโรคเฉพาะทาง เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว