สรุป OPPDAY หุ้น BYD
Oppday
สรุป OPPDAY
BYD พลิกกำไร Q3 ปี 2568 โตต่อเนื่องด้วย Wealth Management ขยายฐานลูกค้า
สวัสดีครับ ท่านนักลงทุน วันนี้ผมจักกฤษณ์ เจริญเมธาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จะมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทเราในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยผลประกอบการไตรมาส 3 พลิกจากขาดทุน 2,400 ล้านบาท เป็นกำไร 157 ล้านบาท
ประเด็นหลักมาจากธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 56% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการที่เพิ่มขึ้นของรายได้จากรายได้ค่าธรรมเนียม 148% ขณะเดียวกันในส่วนของกำไรจากผลตอบแทนเครื่องมือทางการเงินมาจากการบุ๊ก Unreallized gain จากมูลค่าเงินลงทุนในหุ้นการบินไทยและการแปลงหนี้เป็นทุน ทำให้เรามีกำไรทางบัญชีเพิ่มขึ้น และมีกำไรจากธุรกิจการซื้อขาย Structured Note กับตราสารหนี้ตลาดรอง
Product เรามีความพร้อมมูลเยอะมาก มีครบทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้รายได้จากค่าบริการของเรามีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น Application ต่างๆ ทำมาเพื่อรองรับแพลตฟอร์มการลงทุนที่ครบทุกรูปแบบ ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ารายได้ของทาง BYD เองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลักๆ เลยจะมาจากผลิตภัณฑ์ที่เป็น Product Wealth Management โดยเฉลี่ยแล้ว Year to date เกินครึ่งหนึ่งเป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจ Wealth Management ในขณะเดียวกันสัดส่วนของธุรกิจ Brokerage พวก TFEX พวกหุ้นก็ดรอปลง
ทำตามนโยบายที่เรียนไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าจะมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ Product ของผลิตภัณฑ์ Wealth มากขึ้น โดยเรามีการทำ CRM กับนักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าส่วนบุคคล, Private Bank, Corporate และลูกค้าที่เป็นรัฐวิสาหกิจต่างๆ ถือว่าทำให้เรามีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย การที่เราไม่ได้ไปพึ่งพาลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไปทำให้เรามีการกระจายความเสี่ยงในเรื่องของ Customer List Management ในขณะเดียวกัน Product List จากเมื่อก่อนเกือบ 100% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจ Brokerage ตอนนี้เราก็พยายามที่จะเอารายได้ตัวอื่นๆ ขึ้นมา เราไม่ได้ลดความสำคัญ Brokerage ยังมีเหมือนเดิม แต่เรามีรายได้จากส่วนอื่นๆ เข้ามาซึ่งตรงนั้นทำให้ผลประกอบการของเราดีเมื่อเทียบกับบริษัท Broker อื่นๆ ที่อยู่ในตลาดที่มีแต่ผลิตภัณฑ์ Brokerage อย่างเดียว
- ดูจากความสำเร็จของเราครับ Year to date ก็คือจากต้นปีมาจนถึง October เราเป็นผู้ค้าตราสารหนี้ตลาดรอง ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล, แบงค์ชาติ, ตั๋วเงินคลัง หรือ Corporate Bond ซึ่งตรงนี้เราอยู่อันดับ 3 ในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ อยู่ที่ 17,000 ล้านบาท ประมาณเกือบๆ 10%
- ถ้าหากเทียบในกลุ่มของสถาบันการเงิน ก็คือเอาธนาคารพาณิชย์มารวมด้วย 10 เดือนแรกเราอยู่อันดับ 8
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง ดีกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ในช่วงต้นปี เราไม่คิดว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ แต่เราก็ไม่ได้หยุดยั้ง เราก็มีการปรับเปลี่ยน Strategy ตราสารหนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Corporate Bond หรือพันธบัตรรัฐบาล เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้ามีการถึงจุดๆ หนึ่ง ที่ Corporate Bond เริ่มตื้อๆ ตอนหลังๆ มาจะสังเกตว่าเราจะมาลุกตัวพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างมาก
ประเด็นหลักๆ เลยที่ทำให้เราสามารถลุกตลาดพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ภาครัฐได้มากกว่าชาวบ้าน มาจากตัว NC กับ NCR ของเราที่ค่อนข้างสูง ต้องขอบคุณทางผู้ถือหุ้นที่มีการให้เงินลงทุนเรามาค่อนข้างเยอะ NCR ปัจจุบันของเราจะเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 200 โดย Average แต่เมื่อไรก็ตามที่ธุรกรรมน้อยอาจจะวิ่งขึ้นไปประมาณ 250-260-280 อะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อไรก็ตามที่ธุรกรรมตราสารหนี้ตลาดรองเราเยอะอาจจะดรอปลงมาอยู่ประมาณ 100 ต้นๆ ซึ่งเรามีการทำ Sensitivity ว่าที่ระดับไหนที่จะไม่กระทบต่อ NCR ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ กลต. กำหนดเอาไว้ที่ 21% เราสามารถที่จะมีการเทรดมียอดคงค้างได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นการที่เราสามารถ Accum ยอดได้ขนาดนี้เลยทำให้ธุรกิจตราสารหนี้ตลาดรองของเรามีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถที่จะรองรับธุรกรรมของลูกค้าวันละ 250 ล้าน วันละ 500 หรือวันละ 1,000 ล้านได้ ในขณะที่คู่แข่งเองซึ่งติดขัดเกี่ยวกับเรื่องตัว NCR ตรงนั้นเลยทำให้ธุรกิจตรงส่วนนี้ทำไปด้วยความยากลำบาก เพราะลูกค้าอยากจะขาย 100 ล้านขายไม่ได้ อยากจะซื้อ 100 ล้านซื้อไม่ได้
ประเด็นนี้มันเลยเป็นจุดแข็งของเราที่ทำให้ตลาดตรงนี้ของเราเติบโตขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และให้คุณภาพทัดเทียมกับสถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์ได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นจุดแข็งของเรา หลังจากที่มันเกิดวิกฤตข่าวลือในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นั่นก็เลยทำให้เรามีการ Alert และพนักงานของเราทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับ NCR ตลอด ลูกค้าทุกคนเมื่อไหร่ก็ตามที่มีความไม่สบายใจ เราจะย้ำอยู่เสมอว่าบริษัทหลักทรัพย์จะประสบผลขาดทุนหรือปิดกิจการหลักๆ เลยมันมาจากการที่บริษัทไปลงทุนในการปล่อย Margin มากจนเกินไปหรือไปลงทุนจนทำให้ตัว NCR ต่ำ
Philosophy นี้เป็นสิ่งที่ทางเรามีการแนะนำให้กับผู้ลงทุนในการสื่อสาร โดยการที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าไม่สบายใจ หรือปัจจุบันลูกค้าถึงแม้ลูกค้าจะยังถามราคา 3 5 แต่เราก็ยังมีการรายงานอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น NCR เราก็จะเรียกว่าดัง กล้อง ในหูของพนักงานเราทุกคน ลูกค้าสามารถสอบถามได้ว่า NCR เราอยู่ที่เท่าไหร่ เป็นไปตามเกณฑ์ กลต. หรือเปล่า เพราะฉะนั้นลูกค้าพอถามไปเรื่อยๆ ความมั่นใจก็จะเกิด ในขณะเดียวกันลูกค้าเมื่อมีความมั่นใจการลงทุนก็จะเกิดขึ้น นอกเหนือจากที่ลูกค้ามั่นใจกับพนักงานบุคลากรเราจะเห็นว่าจากกรกฎาคมปีที่แล้วที่มีข่าวลือข่าวร้ายออกมาอย่างต่อเนื่องบุคลากรทางฝั่ง Front หรือแม้กระทั่ง Back Office ของเรามีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งมีข่าวยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะการยิ่งมีข่าวข่าวร้ายมันทำให้เรามีการปรับตัว และสามารถใช้ประโยชน์จากข่าวร้ายนี้แหละในการที่สามารถทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจได้ ก็คือพอมีข่าวร้ายเราก็มีข้อมูล ข่าวลือต่างๆ จะจบลงบนข้อเท็จจริง ทุกคนมีสิทธิ์จินตนาการ แต่วิทยาศาสตร์คือตัวเลข NCR คือตัวเลข เพราะฉะนั้นข่าวลือก็จะจบลงจาก NCR ที่พนักงานเราทุกคนบอกกับลูกค้าไป อันนั้นก็เลยเป็นข้อดีที่ทำให้ทุกคนตระหนักถึง NCR แม้กระทั่งทุกวันนี้ถึงแม้สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติมาเป็นระยะเวลาประมาณเกือบ 10 เดือนแล้ว แต่พวกเราเองก็ยังยังคงจดจำ และก็ยังคงมีการติดตาม NCR อย่างต่อเนื่อง ที่ว่าลูกค้าถามมาเมื่อไหร่เราสามารถตอบได้ และนั่นแหละครับคือจุดแข็ง เพราะเมื่อไหร่ที่มีการประกาศ NCR ไปจาก Broker เรา Broker อื่นที่มี NCR น้อยกว่าเรา Broker นั้นอาจจะมีปัญหา นั่นคือสิ่งที่ลูกค้าคิด แต่เราไม่ต้องการที่จะให้ลูกค้าคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ NCR ในท่ามกลางข่าวร้ายกลับกลายเป็นเกราะป้องกันให้เราที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจที่จะเทรดกับเรามากขึ้น พนักงานกล้าที่จะมาทำงานกับเรามากขึ้น
- ถ้าดูจาก Performance ของเราในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ารายได้เรามีการปรับตัวขึ้นมาจากปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 433 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ เลยจะเป็นรายได้ดอกเบี้ยจากเงินที่เรามีการปล่อยกู้ตัวบริษัท ไทยสมายล์บัส กับ ACE
- รายได้อื่นๆ ก็จะมาจาก Brokerage และ Fee and Service และก็เป็นรายได้ที่มาจาก การบริหารการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขาย Structured Note Mutual fund หรือตราสารหนี้ตลาดรอง ตราสารหนี้ตลาดแรก
ในส่วนของ AUA กับ AUM นักลงทุนอาจจะสงสัยว่า AUA กับ AUM แตกต่างกันอย่างไร AUA คือ Asset Under Management ก็คือผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การ Manage การดูแลการจัดการของเรา ไม่ว่าจะเป็น Private Fund, Portfolio Advisory หรือ Portfolio Advisory ที่เกี่ยวกับตัว Mutual Fund อันนี้เราก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วน AUA คือ Asset Under Advice หมายถึงสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำของเรา ก็คือเราไปแนะนำให้ลูกค้าไปลงทุน Product ตราสารหนี้ตลาดแรก ตราสารหนี้ตลาดรอง ผลิตภัณฑ์ Off shore หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาสินทรัพย์ภายใต้การดูแลและการแนะนำของเราอยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท กราฟต่อไปจะเป็นตัว Market Share ของเรา
- อันนี้เป็น Market Share ของตัวธุรกิจ Brokerage
- หน้าถัดไปจะเป็น Market Share ของกลุ่มลูกค้า
- อันนี้ก็จะเป็น Market Share ที่เป็นส่วนของนักลงทุนรายบุคคล หรือรายย่อย ก็ถือว่าอยู่ที่ประมาณ 2.3% ของตลาด
- ในส่วนของ TFEX เราอยู่อันดับที่ 19 Market Share ประมาณ 1.7%
- อันนี้คือผลประกอบการของไตรมาส 3 เบ็ดเสร็จออกมาแล้วกำไรอยู่ที่ 157 ล้านบาท
Handling Value คือมูลค่าการซื้อขายของธุรกิจหลักทรัพย์มีการปรับตัวลงมานิดนึง 4% จาก 46,000 เหลือที่ 44,000 ล้านบาท
ในแง่ของเรื่องตัว Investment Highlight ของเรา Investment Highlight เนี่ยก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนสอบถามกันเข้ามาเยอะว่า เงินที่เรามีการไปลงทุนที่ปล่อยไปแล้วประมาณ 10,000 กว่าล้านบาทในการปล่อยกู้ทั้งผ่าน ACE และผ่านไทยสมายล์บัส ตอนนี้ธุรกิจที่ไปลงทุนเป็นอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าผลประกอบการของธุรกิจไทยสมายล์บัสมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่มีการยุติการทับซ้อนของ ขสมก. ไปหลายๆ สาย ซึ่งจะเริ่มเห็นความชัดเจนตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา หลังจากนั้นตัว Passenger ก็มีการปรับตัวขึ้นมาแตะระดับที่เฉลี่ยประมาณ 10 ล้านคนต่อเดือน ตรงนี้ปัจจุบันส่งให้ Market Share ของเราอยู่ที่ประมาณ 40% เมื่อเปรียบเทียบกับตัวทราฟฟิก ตัว Rider ทั้งระบบ ผมขอขยายความก่อนว่าไทยสมายล์บัส เงินก้อนนี้มีการปล่อยกู้ไปตั้งแต่ประมาณเริ่มต้นมีการปล่อยตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2022 เป็นต้นมา เพราะฉะนั้นเงินก้อนนี้ 10,000 กว่าล้านบาทก็มีการทยอยปล่อยไปเรื่อยๆ ตามเงื่อนไขของการเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้น ที่มีการเพิ่มทุนและก็แจ้งมาตลอดว่าธุรกรรมการเพิ่มทุนเงื่อนไขคือต้องมีการปล่อยให้กับทางไทยสมายล์บัสเพื่อมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเงินก้อนนี้มันจึงออกไปตั้งแต่ประมาณกลางปี กลางปี 3 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขยายฝูงรถ, การทำประชาสัมพันธ์ การสร้างแบรนด์ ซึ่งก็เกิดปัญหาติดขัดในช่วง 2 ปีแรกที่ มีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา จนทราฟฟิกเองไม่เป็นไปตามประมาณการ ตัวเลขทราฟฟิกหลังหลังจากโควิดจำนวนผู้โดยสารในทั้งระบบ ขสมก. ก็คือระบบกรุงเทพฯ มีการปรับตัวลดลงจาก 2 ล้านคนต่อวันเหลืออยู่ประมาณแค่ 1 ล้านคนต่อวัน พอมีการ Work From Anywhere พฤติกรรมการเดินทาง พฤติกรรมการทำงานมันเปลี่ยนไปทำให้ตัวทราฟฟิกต่ำกว่าสมมติฐานที่ตอนทำ Projection เอาไว้
- อันที่สองคือการสร้าง Brand Awareness ในช่วงที่ผ่านมา 2 ปีแรกปัญหาเกิดขึ้นค่อนข้างเยอะ เรื่องการทับซ้อนความเข้าใจกันผิด การที่ไม่เข้าใจตัวเลขของสายรถเมล์ที่มีตัวเลขมากมายก็ทำให้ทราฟฟิกต่ำกว่าประมาณการ
- กว่าที่เราจะขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 400,000 คนต่อวันได้ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งก็ถือว่ามาช้ากว่าที่กำหนด ตอนแรกประมาณการปีแรก 400,000 ปีที่สอง 500,000 ปีที่สามมันควรต้องไปอยู่ที่ 600,000
แต่ภาพรวมเนี่ยทราฟฟิกลดจาก 2 ล้านเหลือ 1 ล้าน เกิดปัญหาจากการทับซ้อน การที่ไม่เข้าใจในเรื่องตัวเลขของสายรถเมล์อะไรหลายๆ อย่าง ทำให้มีที่ 3 ของเราอยู่แค่ 400,000 คน อย่างไรก็ตามก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ Ebitda ของตัวไทยสมายล์บัสเริ่มเป็นบวกแล้ว ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาเรามีการตั้งด้อยค่าน้อยลงมาก เลยทำให้บริษัทสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ 157 ล้านบาท ในแง่ของตัว Operation จะเห็นว่าตัวอันนี้เป็น Ebit Revenue จะเห็นว่ามกราคมประมาณ 181 ล้านบาท และพอมาถึง October ก็ดรอปลงมาหน่อยประมาณ 172 ล้านบาท ซึ่งเราพยายามอย่างต่อเนื่องที่ทีมบริหารไทยสมายล์บัสได้มีการประชุมกับเรา แล้วเราก็มีการสอบถามถึง Strategy หลายๆ อย่างที่ทางไทยสมายล์บัสเองพยายามที่จะมีการประชาสัมพันธ์มากขึ้น มีการขายตั๋วในช่องทางที่แตกต่างออกไป อย่างล่าสุดจับมือกับ 7-Eleven ในการขายตั๋วบัตรไทยสมายล์บัส และก็มีการเชื่อมสายรถเมล์ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น หลังจากที่เขาเองมีการสร้างศูนย์บัญชาการตัว Smart Monitor ลงทุนไปพอสมควรเลยตรงนั้น ก็จะสามารถเห็นว่าจุดไหน เวลาไหน เส้นทางไหน ที่มีผู้โดยสารมาก ระบบ AI จะมีการจัดสรรรถที่ไหนมาก เอารถระดมไปที่นั่น มีใช้ข้อมูลจากสถิติ ที่ไหนน้อยจะมีการปรับลดขบวนรถให้น้อยลง เพื่อที่จะสามารถทำให้การเชื่อมต่อของ ประชาชนจากบ้านไป BTS ประชาชนไป BMCL ตรงนี้จะทำให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ทาง Customer ก็คือผู้โดยสารมีความพึงพอใจต่อการใช้ไทยสมายล์บัสมากขึ้น นอกเหนือจากนี้การที่เขาเริ่มมีการมาโปรโมทไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการควบคุมความชื้น การฆ่าเชื้อรา การ ฆ่า สารพิษมลภาวะในอากาศ หรือแม้กระทั่งการติดตั้งกล้อง การติดบัตรขึ้นบัตรรถเมล์ลง ที่พยายามทำให้ผู้ปกครองสามารถที่จะมั่นใจลูกหลานว่าขึ้นตรงจุดนี้ปัจจุบันอยู่ที่ไหน และลงรถแล้วหรือยัง ซึ่งก็มีนักเรียนอินเตอร์ เด็กต่างชาติที่ทางผู้ปกครองก็เริ่มมีความไว้ วาง ใจ ก็มีการให้เด็กขึ้นรถเมล์โดยการแทร็กจากตัว App ของไทยสมายล์บัสมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพอมาปีที่ 3 หลังจากที่ทำงานมาได้ เราจะเริ่มเห็นว่าไทยสมายล์บัสเริ่มมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เขาเริ่มเปิดตัวมากขึ้น จากก่อนหน้านี้มีการเก็บตัว เพราะช่วงนั้นเป็นการสร้างบ้าน จากนี้ไปจะเป็นช่วงของการประชาสัมพันธ์ นอกเหนือจาก Rider เป็นกลุ่มดั้งเดิมแล้ว กลุ่มใหม่ที่จะพยายามเจาะเข้าไปคือกลุ่มนักศึกษา กลุ่มนักเรียน แม้กระทั่งการรับส่งพนักงานโรงงาน รถเชื่อมสนามบินอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือสิ่งที่ทางไทยสมายล์บัสแจ้งกับเราว่ากลยุทธ์ของเขาจะ Aggressive และจะทำอะไรที่ให้สังคมรับรู้ว่ามันมีแบรนด์ๆ นี้อยู่ และเขาจะโตไปทางไหน อันนั้นก็คือสิ่งที่เราได้มีการบอกไทยสมายล์บัสมาก่อนหน้าว่าจริงๆ แล้วรถดี ของดี Product ดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่มีการประชาสัมพันธ์ Product ได้ราคาได้ การจัดวางยังไม่โอเค โปรโมชั่นไม่มี เพราะฉะนั้น Product Type Promo CTP ไม่ตอบโจทย์ เราก็เลยมีการแก้ไขมีการให้คำแนะนำระหว่างทีมบริหารของบริษัทหลักทรัพย์ Beyond ในฐานะเจ้าหนี้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แชร์ในเรื่องของกลยุทธ์ทางการตลาดธุรกิจหลักทรัพย์กับกลยุทธ์ที่ไทยสมายล์บัสสามารถเอามาจัด เอามาปรับเปลี่ยน และเพื่อที่จะสามารถกระตุ้นยอดขายให้กับไทยสมายล์บัสเองได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทางไทยสมายล์บัสมีความ Aggressive มากขึ้น และก็เปิดตัวผลิตภัณฑ์จนปัจจุบันจะเห็นว่ามีนักลงทุนเจ้าใหญ่ๆ จากต่างประเทศเดินทางมาดูงานกับไทยสมายล์บัสอย่างต่อเนื่อง บริษัทที่เกี่ยวกับ Green Energy หรือแม้กระทั่งจะเป็นรัฐบาลของประเทศอื่นๆ เริ่มมาดูงานเกี่ยวกับตัวไทยสมายล์บัส ซึ่งตรงนั้นก็ถือว่าเราก็เป็นหน้าเป็นตาให้กรุงเทพฯ และประเทศไทย ในแง่ของการเป็นระบบขนส่งคมนาคมของมวลชนที่เน้นย้ำเกี่ยวกับเรื่องการลดมลภาวะ เป็น Green Economy
คนจะชอบถามกันเยอะว่าปัจจุบันทาง BYD เองมีการปล่อยหนี้ปล่อยสินให้กับทาง ACE กับไทยสมายล์บัสไปเท่าไหร่ ถ้าดูจากงบสิ้นสุด 30 September สิ้นสุดไตรมาส 3 ปีนี้เทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ยอดสินเชื่อที่เราปล่อยไปเงินกู้อยู่ที่ 9,950 และก็จะมีตัว Accrued Interest อยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีการทำ ECL ไปแล้ว คือมีการตั้งด้อยค่าเนื่องจากที่ผ่านมา Ebitda ติดลบ และก็สัญญาณการฟื้นตัวยังไม่เด่นชัด ทาง Auditor ก็เลยมีการให้เราตั้งสำรอง เพื่อความ Conservative แบบอนุรักษ์นิยม ก็ทำให้เรามีการตั้งสำรองไปจาก 31 December มีการตั้งสำรองไปที่ 4,900 ล้านบาท แล้วก็ 30 September ปรากฏว่าตั้งสำรองเพิ่มขึ้นก็คือเป็นการตั้งสำรองในไตรมาส 2 หลักๆ เลยไปทำให้สำรองปัจจุบันอยู่ที่ 7,600 ล้านบาท
เพราะฉะนั้นหนี้สินที่ปล่อยไป 9,950 มีการตั้งสำรองไปแล้ว 7,600 ในกรณี Worst case Scenario ก็จะเหลือตั้งสำรองอีกประมาณ 3,300 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 3 การตั้งสำรองเรียกว่าแทบจะไม่มี เพราะพัฒนาการของไทยสมายล์บัสสามารถทำให้ทาง Auditor เชื่อได้ว่ามีพัฒนาการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็เลยส่งผลให้การตั้งสำรองในไตรมาส 3 น้อยมาก เรียกว่าถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาสอื่นๆ เรียกไม่ได้ตั้งเลยก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นมูลค่ามอง Worst case ถ้าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตก็จะมีการตั้งสำรองอีกประมาณ 3,300 ล้านบาท และคนถามว่าแล้ว 3,300 ล้านบาทเนี่ยกระทบอะไรกับ Beyond หรือเปล่า ในกรณีที่เรามีการทำ Stress Test กรณีขั้นสุดในการตั้งสำรองทั้งหมด เงินสำหรับเงินสดไม่ได้กระทบเพราะเงินสดออกไปนานแล้ว ในแง่ของธุรกิจหลักทรัพย์ NC NCR ของเราก็ไม่เขย่า เพราะเรามีการแยกธุรกิจหลักทรัพย์กับธุรกิจลงทุนออกมาชัดเจนแล้วตั้งแต่มีการปล่อยกู้ เพราะฉะนั้นต่อให้มีการตั้งสำรองอีก 3,300 ล้านบาท NCR ก็มากเพียงพอที่จะสามารถดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ และสามารถที่จะเทรดตราสารหนี้ตลาดรองตลาดแรก หรือ Underwriter อะไรต่างๆ ยังได้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นสิ่งๆ นี้เราก็เลยนำข้อมูลมาให้นักลงทุนทุกท่านได้รับทราบ จะได้สบายใจว่าต่อให้วันนี้จำเป็นต้องมีการตั้งสำรองจริงๆ ธุรกิจหลักทรัพย์ก็ไม่กระทบ NCR ก็จะอยู่ประมาณแถวๆ นี้ ขอให้นักลงทุนมั่นใจได้ แต่ก็อย่างที่ผมเรียนนั้นแหละครับ เพราะว่า Ebitda มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เขามาทำการตลาดภาพกลับไป นี่ PSB Campus เริ่มมีการเอา Influencer เริ่มมีการสร้าง Brand Awareness เริ่มมีการทำตั๋ว Hop On Hop Off เหมือนเวลาคุณขึ้นรถเมล์ที่ลอนดอนไอ้รถสีแดง เขาก็พยายามจะทำให้เกิด Activity อะไรมากขึ้น ก็ มีการ แจกการ์ดให้กับนักลงทุนนักเรียน ให้กับผู้โดยสารลองชิมประมาณ 100,000 ใบ คาดการณ์ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารประมาณ 25% แม้กระทั่งกาแฟขนมเข้าเกียรติก็มีการเจ้าดังๆ ขึ้นไปไลฟ์สดขายของ ไปสร้าง Engagement กับกลุ่มทราฟฟิกของไทยสมายล์บัส ก็เลยทำให้ไทยสมายล์บัสเริ่มมี Viral แล้ว เริ่มมีดารานักแสดงไปถ่ายคลิปนักเรียนไปถ่ายคลิปมีการแจกขนมแจกกาแฟ อันนี้คือนิมิตหมายที่ดีที่เป็นการ Engage กับ ผู้โดยสาร เราสร้าง Brand Awareness เพราะว่า แน่นอนว่าทุกวันนี้เราก็เสพสื่อออนไลน์กัน ไม่ว่าจะเป็น TikTok Instagram Facebook Live อะไรก็แล้วแต่ และกลุ่มๆ นี้แหละครับเป็นกลุ่มที่จะสามารถทำให้แบรนด์ของไทยสมายล์บัสสามารถเป็นที่รู้จักของคนกลุ่มอื่น
ยิ่งไปกว่านั้นจุดเด่นของไทยสมายล์บัสที่สร้างมาตั้งแต่ต้นแตงออก ก็คือการเป็นรถเมล์สีเขียว ควบคุมความชื้น ควบคุมคุณภาพอากาศ ควบคุมความปลอดภัย ควบคุมความเร็ว มีการติดกล้องดูว่าพนักงานหลับในไหม ขับซิ่งไหม มีการตัดแต้มมีการตัดโบนัสมีการให้ Incentive จนจุดๆ นี้ครับทำให้ตัวไทยสมายล์บัสเริ่มเกิดความน่าเชื่อถือในกลุ่มของ Rider ที่มีการขึ้น 2 ระบบคือ ขสมก. รถเมล์อื่นๆ และไทยสมายล์บัส ตอนนี้เราจะเห็นว่าตัว Shift เนี่ยมีการปรับตัวของกลุ่ม กลุ่มที่เคยขึ้น ขสมก. เริ่มมาใช้ไทยสมายล์บัสยอมจ่ายตังค์เพิ่มขึ้น เพื่อทำให้ชีวิตของตัวเองมีความปลอดภัย ทั้งสุขภาพและในแง่ของความปลอดภัยในแง่ของการจราจรในแง่ของชีวิตการร่างกายการสูญเสีย ซึ่งตรงนี้ก็เลยทำให้ รัฐบาลเองก็เล็งเห็นถึงมีโครงการประมูลรถเมล์ขึ้นมาของ ขสมก. อีกประมาณ 1,530 คันก็เป็นรถเมล์ EV รถเมล์แอร์ ซึ่งก็จะเป็นโมเดลคล้ายๆ กับไทยสมายล์บัส สิ่งนี้แหละครับที่ทำให้เรารู้สึกดีใจอย่างน้อยที่สุดเราเป็นแรงบันดาลใจที่ทำตัวอย่างยอมเจ็บปวดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ยอมขาดทุนขนาดนี้ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีชีวิตคุณภาพชีวิต ให้มีนักท่องเที่ยวมีคุณภาพการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และมีตี้ดีมากขึ้น นี่แหละครับคือสิ่งที่เราภูมิใจว่าในที่สุดแล้วรัฐบาลก็มองเห็นว่าเราทำดีและก็ทำจริงให้กับประชาคนกรุงเทพฯ การผลตอบรับก็คือการที่มีการประมูลอีก 1,530 คันขึ้นในช่วงอีกประมาณไม่กี่สิบวันข้างหน้าประมาณ 22-23 เดือนธันวาคม อันนั้นก็ทำให้รถเมล์กรุงเทพฯ ก็จะเป็นรถเมล์สีเขียว รถเมล์ที่ปลอดภัยรถเมล์ที่สะอาด
ในขณะเดียวกันครับสิ่งที่เราเห็นว่าไทยสมายล์บัสกำลังทำต่อก็คือเขาพยายามจะมุ่งเน้นว่าอะไรก็ตามที่สามารถทำกำไรได้ไม่ว่าจะเป็นเรือบุฟเฟ่ต์ เรือข้าม เรือข้ามรอบเหนือจากเรือข้ามฟากละ เรือบุฟเฟ่ต์ เรือท่องเที่ยว เรือจัด Event ต่างๆ นั่นคือสิ่งที่ไทยสมายล์บัสมีการออกแคมเปญตรงนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า นั่นคือนิมิตหมายที่ดี ไทยสมายล์บัส จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งการที่ผลประกอบการของไทยสมายล์บัสดีขึ้นก็จะทำให้ทุกท่านสบายใจไปได้อย่างหนึ่งว่าการตั้งสำรองอาจจะชะลอออกไป หรือไม่มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น อันนั้นก็จะเป็นเรื่องตัวของไทยสมายล์บัส มีการส่งรถ ส่งมอบให้กับ เกาะกระแสมากไปหม่อมทองวิทยานะครับ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเรามีการออกทีวีออกสื่อ ทุกคนรู้จักแบรนด์นี้ จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งที่อยากจะให้นักลงทุนทุกท่านสบายใจว่า เงินที่เราลงทุนไปมีการติดตามอง มีการให้คำปรึกษากับทีมผู้บริหารทางฝั่ง Front พวกเรา Front เก่ง Marketing ของเราเก่ง เราก็จะเอาจุดแข็งของเราไปแนะนำให้กับทีมบริหารทีมการตลาดไทยสมายล์บัส เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อนคู่คิดแล้วก็เดินไปด้วยกัน
มีคนถามเข้ามาว่ารถเป็นยังไงบ้าง รถไทยสมายล์บัสมีการวิ่งเพิ่มขึ้นจาก 1,300 คันต่อวัน อยู่ที่ 1,600 คันต่อวัน ผู้โดยสารมีการทำสถิติสูงสุดใหม่ที่เดือนกรกฎาคม 10.4 ล้านเที่ยว ส่งผลให้ ผลประกอบการในช่วง 9 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,300 ล้านบาท เป็น 1,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 16%
- มีการวางเป้า AUM ปี 69 อย่างไร จะเพิ่มบัญชีลูกค้าด้วยกลยุทธ์อะไรบ้าง ตอนนี้ AUM เราอยู่ที่ประมาณ 16,000 เราคาดว่าปี 69 เรามีความเป็นไปได้สูงที่จะแตะประมาณ 20,000 ล้านบาท เพราะว่าบัญชีลูกค้าเราต้องยอมรับว่าอยู่กับเราไปนานๆ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือเราต้องมีการให้ความรู้แก่ลูกค้า เมื่อลูกค้ามีความรู้ลูกค้าก็จะกล้าลงทุนมากขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีการพัฒนา Product และความรู้ของ RM เราอย่างต่อเนื่อง RM หรือผู้แนะนำการลงทุนของเรา 1 คนจะไม่ขายแค่ผลิตภัณฑ์เดียว จะต้องขายหลายๆ ผลิตภัณฑ์ เราอยากให้ RM หรือ IC ของเรา 1 คนเป็น One Stop ต้องการลงทุนอะไรพี่อยากซื้ออันนี้ไหม อยากมีเงินว่างๆ ไหม เอามาซื้อหุ้นกู้ไหม รับความเสี่ยงมากซื้อพันธบัตรรัฐบาล รับความเสี่ยงได้หน่อยซื้อหุ้นกู้ อยากลงทุนต่างประเทศไหม หรืออยากลงทุนหุ้นไทย อยากลงทุนหุ้นต่างประเทศแต่กลัวเสียภาษีเราก็มีแคมเปญมีโปรโมชั่นเกี่ยวกับเรื่องตัว DR Training ของ Beyond จัดเกือบทุกสัปดาห์ ก็คือ Training ที่เล็กๆ ไซส์ประมาณแค่ 100 คน ส่วนงานสัมมนาเราถือว่าเป็นเจ้า Event ในวงการนี้ เราจัด Event ใหญ่ๆ เยอะ อย่างล่าสุดที่พึ่งจัด Event ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่โรงแรม ก็ถือว่า ผิดคาดจริงๆ แล้วเราไม่คิดว่าลูกค้าจะตอบรับ เรามากขนาดนี้ เบ็ดเสร็จเนี่ยทะลุไปเกือบ 200 ท่านนะครับต้องขยายห้องกันนะครับ แล้วก็วิทยากรที่เรามา เราก็พยายามว่าวิทยากรที่มาเนี่ยจะต้องเป็น Magnet แล้วก็จะสามารถก่อให้เกิดความรู้และก่อให้เกิด Activity กับนักลงทุนได้จริง ไม่ใช่มาแค่มาสร้างภาพเอารูปมาแปะ
ทุกงานสัมมนากลั่นกรองมาดี แล้วรู้ว่าลูกค้าให้โอกาสเราและเสียเวลาอันมีค่ามานั่งฟังแล้ว เพราะฉะนั้นลูกค้าจะต้องได้ความรู้ ได้กรุยุทธ์กำลังทุนติดไม้ติดมือไป นั่นก็คือสิ่งที่เราทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทีมบริหารชุดใหม่เข้ามาที่บริษัทหลักทรัพย์ Beyond ส่งผลให้การตอบรับของเราไม่ว่าจะเป็นลูกค้า Private Bank นักลงทุนรายบุคคลรายย่อย หรือแม้กระทั่งลูกค้าสถาบันต่างๆ ก็ให้ความไว้ วาง ใจ เรา ถึงแม้ว่าปัจจุบัน ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเนี่ยประมาณ 12 เดือนย้อนหลัง จะมีข่าวร้ายข่าวลือข่าวลวงมากมาย แต่ปัจจุบันลูกค้ารัฐวิสาหกิจที่อยู่กับเราก็ 20 อันดับแรกตอนนี้อยู่กับเราแล้วก็มา 18 18 แห่ง อันนั้นก็คือสิ่งที่สามารถตอบย้ำได้ว่า นักลงทุนเหล่านี้มีความไว้ วาง ใจ เรามากขนาดไหน
- มีคำถามว่ารายได้ปี 69 จะเติบโตจากปีนี้เท่าไหร่ จริงๆ แล้วอยากเติบโตให้มากที่สุด สัดส่วนรายได้หลักๆ เลยของเราจะมาจากธุรกิจ Wealth Management ในทุกๆ Product ส่วนธุรกิจ Brokerage เราใช้ Tradingview เป็นการขายความแปลกใหม่ Tradingview ของเราสามารถที่จะตั้ง Take Profit Stop Loss ได้ และเรามีการ Training ให้กับทางลูกค้าได้เจอนวัตกรรมใหม่ๆ ฟังก์ชันใหม่ๆ ที่สามารถเป็นอาวุธเป็นเครื่องมือในการลงทุนได้ Tradingview เป็นโปรแกรมแห่งอนาคต สำนักการลงทุนทั่วโลกใช้ นักลงทุนรายใหญ่ Hed Funt หรือว่ากองทุนต่างๆ ก็ใช้ตัวนี้ เราก็เอาตัวนี้มาปรับใช้กับนักลงทุนของเราโดยการเทรนนิ่งให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง
แผนงานปี 69 ทำอะไร ก็แน่นอนเราจะมีการพัฒนาความรู้ให้กับ RM IC และลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุก Segment เพราะว่าผลิตภัณฑ์ครบ กลุ่มลูกค้าก็ครบ ความเสี่ยงมีครบหมด ตอนนี้ก็อยู่ที่การจัด Event การจัดงานสัมมนาแล้วก็ทำยังไงก็ได้ให้ทางลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ และในปีหน้าเราจะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้เน้นย้ำแต่ลูกค้าระดับสถาบัน ปีหน้าจะเป็นลูกค้า Private Bank ลูกค้ารีเทลที่มากขึ้นในแง่ของการขายผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้รัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน ซึ่งตรงนี้ก็ยังเป็นอะไรที่สามารถทำให้เรามีรายได้ในภาวะที่ตลาดตกต่ำขณะนี้ ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่เราจะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ก็คือการเอาลูกค้าไปเทรดต่างประเทศโดยการผ่าน DR นักลงทุนรายย่อยเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนต่างประเทศมากขึ้นแล้ว เราก็มีการ ทำสื่อต่างๆ ออกมาที่ทำให้นักลงทุนเองมีการเปิดใจ ก็ Key แพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มเดียวคือ Set Streaming แต่ก็สามารถคีย์บาบา 80 Pop Mart หรือจะหรือจะเป็น AMD Oracle อะไรก็สามารถเทรดได้ปกติก็แล้วแต่ เรามี strategis เรามีบทวิเคราะห์ที่รองรับว่าในแต่ละช่วงเวลาเนี่ยระยะสั้นระยะกลางระยะยาวคุณควรจะต้องลงทุนอะไร หุ้นตัวไหนกลุ่มไหนสามารถเทรดดิ้งได้กลุ่มไหน Overso กลุ่มไหน Overbo และกลุ่มไหนควรจะ overwe underweigh เรามีบทวิเคราะห์ แม้กระทั่งโปรโมชั่นต่างๆ ที่เราออกมาเพื่อให้นักลงทุนเองมีพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนไป อันนั้นก็จะเป็น Upside ในสิ่งที่เกิดขึ้นในปีหน้า เพราะฉะนั้นลูกค้ากลุ่มเดิมๆ ที่เคยเทรดผลิตภัณฑ์เดิมๆ เราจะเชิญชวนให้ความรู้ลูกค้ากลุ่มนี้ ให้เข้ามาเทรด Product อื่นๆ มากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับหุ้นไทยตลอด เพราะว่าสินทรัพย์การลงทุนมีเยอะแล้วตลาดปัจจุบันมันเปิดกว้าง แต่ถ้าท่านเปิดใจน่าจะทำให้ท่านเปิดโอกาสในการสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองกับการลงทุนเองครับ
- ไทยสมายล์บัสจะมีกำไรเมื่อไหร่ ตอนนี้ Ebitda เริ่มเป็นบวกแล้ว ธุรกิจ Infrastructure โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นการขนส่งคมนาคมมวลชน จะมีผลขาดทุน เพราะว่าในช่วงแรก Rider ยังไม่มา ประชาชนจำนวนทราฟฟิกยังไม่มา ในขณะเดียวกัน Depreciation หรือว่าการลงทุนมันเกิดขึ้นมีการตัดค่าเสื่อมไปแล้ว การตัดค่าเสื่อมเนี่ยมันเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ทราฟฟิกหรือว่าการปริมาณการเดินทาง ถ้าหากว่าไม่มาตามค่ามันจะส่งผลให้ขาดทุน ดังนั้นเราจะเห็นว่ามีหลายๆ บริษัทที่มีตัวอย่างให้เห็นว่าประสบผลขาดทุนเป็น 10 ปี กว่าที่จะ ได้ทราฟฟิกมา หรือบริษัทบางบริษัทอาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟูไปเลยด้วยซ้ำเปิดมา 3 ปีเข้าแผนฟื้นฟูระลอกไทร
สมายล์บัสเปิดมา 3 ปี ถึงแม้ผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่เรายังสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวทราฟฟิกที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันนี้ก็น่า ภูมิใจ เป็นHead Research กับนักวิเคราะห์มาก่อนเคยวิเคราะห์พวกหุ้น กลุ่มMass Transet บางบริษัทเองกว่าจะมีทราฟฟิก 400,000 คนได้เนี่ย ต้องเปิดมาเกือบ 20 ปี บางบริษัทเองเคยเข้าแผนฟื้นฟูมาก่อน ณ จุดๆ นี้เราเบาใจได้อย่างหนึ่งว่าพอ Ebitda เขาดีขึ้นเนี่ยโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะประสบปัญหาทางการเงินเนี่ยมันก็น้อยลง สิ่งที่เรา ทำได้ตอนนี้คือทำยังไงก็ได้ใหเอาทราฟฟิกเข้ามาให้เร็วที่สุด เพราะกระแสเงินสดทราฟฟิกเนี่ยจะทำให้ตัว Ebitda ของเราดีขึ้นจะทำให้ ผลประกอบการของไทยสมายล์บัสค่อยๆ พลิกกลับมาเป็นกำไร
เป้าหมายปี 69 หลักๆ เลยอยากให้เติบโตทุกอย่างแต่ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยเป็นแบบนี้ ปีหน้าเนี่ย ความน่าจะเป็นคือธุรกิจ Wealth ในหลายๆ Product จะทำให้ผลประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์เราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องขอบคุณเพื่อนๆ สมาชิก เพื่อนๆ ในวงการที่ยังให้ความไว้ วาง ใจ มีการย้ายมาทำงานกับเราอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าที่อยู่กับเราในวันที่เราประสบข่าวลือ ประสบข่าวลวง ในวันที่เราต้องเผชิญกับข่าวร้ายๆ ในยามยากลำบากลูกค้าไม่ทิ้งเราและก็ยังพาเพื่อนๆ มาเป็นลูกค้าเราอย่างต่อเนื่อง อันนี้ก็ต้องขอขอบคุณที่ทำให้พวกเรายังสามารถยืนหยัดในวันที่มรสุมพัดผันได้นานขนาดนี้
สรุปภาพรวม BYD สามารถพลิกกลับมากำไรได้ในไตรมาสที่ 3 จากการเติบโตของธุรกิจ Wealth Management และการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี โดยมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้า เพิ่มผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ และให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตในปี 2569 แม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ไม่แน่นอน
[Q&A Session เริ่ม นาทีที่ 48:00] เป้าหมายปี 69 หลักๆ เลยนะครับ ก็จริงๆ อยากให้เติบโตทุกอย่างนะครับ แต่ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยเป็นแบบนี้นะครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยปีหน้าเนี่ยความน่าจะเป็นนะครับ ก็คือธุรกิจเวลนะครับ ในหลายๆ โปรดักนะครับที่จะ ทำให้ผลประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์เราเนี่ยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนะครับ แล้วก็ ต้องขอบคุณนะครับ เพื่อนๆ สมาชิกนะครับ เพื่อนๆ ในวงการที่ยังให้ความไว้วางใจนะครับ มีการย้ายมาทำงานกับเราอย่างต่อเนื่องนะครับ ลูกค้าที่อยู่กับเรานะครับในวันที่เราประสบข่าวลือ ประสบข่าวลวงนะครับ ในวันที่เรา ต้องเผชิญกับข่าวร้ายๆ ในยามยากลำบากนะครับ ลูกค้าไม่ทิ้งเรานะครับ แล้วก็ยังพา เพื่อนๆ นะครับ มาเป็นลูกค้าเราอย่างต่อเนื่องนะครับ อันนี้ก็ ต้องขอขอบคุณนะครับ ที่ทำให้พวกเราเนี่ยยังสามารถยืนหยัดนะครับ ในวันที่มรสุมพัดผันได้นานขนาดนี้ครับ **ไทยสมายบัส จะมีกำไรเมื่อไหร่นะครับ ไทยสมายบัส นะครับ จะมีกำไรเมื่อไหร่ ตอนนี้ Ebit เริ่มเป็นบวกแล้วนะครับ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบนะครับ ธุรกิจInfrastructure เนี่ยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ เป็นการ ขนส่งคมนาคมนะครับ มวลชนเนี่ย จะมีผลขาดทุนครับ เพราะว่าในช่วง แรกๆเนี่ย หนึ่งไรเดอร์ยังไม่มานะครับ ก็คือตัวประชาชนจำนวนTraffic ยังไม่มานะครับ ในขณะเดียวกันเนี่ย AmDepreciation หรือว่า การลงทุนมันเกิดขึ้น มันมีการตัดค่าเสื่อมไปแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นเนี่ย การตัดค่าเสื่อมเนี่ยนะครับ มันเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่Traffic หรือว่า การปริมาณการเดินทางเนี่ยนะครับ ถ้าหากว่า ไม่มาต่างค่า มันจะส่งผลให้ขาดทุนนะครับ ดังนั้นเนี่ยเราจะเห็นครับว่ามีหลายๆบริษัทนะครับ ที่มีตัวอย่างให้เห็นว่า ประสบผลขาดทุนเป็น10 ปีนะครับ กว่าที่จะ เอ่อได้Traffic มานะครับ หรือบริษัทบางบริษัท อาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟูไปเลยด้วยซ้ำนะครับ เปิดมา 3 ปีเข้าแผนฟื้นฟูระลอก ไทยสมายบัส เนี่ยเปิดมา 3 ปีนะครับ ถึงแม้ว่าผลประกอบการขาดทุนนะครับ อย่างต่อเนื่องเนี่ย แต่เราสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวTraffic ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนะครับ อันนี้ก็น่า ก็จริงๆก็ น่าภูมิใจนะครับว่า เอ่อผมในฐานะที่เป็นHead Researchกับนักวิเคราะห์มาก่อนนะครับ ก็เคยวิเคราะห์พวกหุ้นกลุ่ม อ่า Mass Transet นะครับ บางบริษัทเองเนี่ย กว่าจะมีTraffic 400,000คนได้เนี่ย ต้องเปิดมาเกือบ 20 ปีนะครับ บางบริษัทเองเนี่ย เคยเข้าแผนฟื้นฟูมาก่อนแต่ ใช้ ณจุดๆนี้เนี่ย เราเบาใจได้อย่างหนึ่งครับว่า พอ Ebitda เขาดีขึ้นเนี่ย โอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะประสบปัญหาทางการเงินเนี่ยมันก็ลดน้อยลงนะครับ สิ่ง