บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

ไฮไลท์สำคัญ

บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (JAK) โชว์ผลงานไตรมาส 2/2568 สุดปัง! รายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 235% จากการขายที่ดินเปล่าและอสังหาริมทรัพย์ พร้อมพลิกกลับมาทำกำไรสุทธิได้สำเร็จ

ผลประกอบการที่เติบโต

ในไตรมาส 2/2568 JAK มีรายได้จากการขาย 186.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131.03 ล้านบาท หรือคิดเป็น 235.50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้จากการขาย 253.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146.38 ล้านบาท หรือ 137.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 7.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65 ล้านบาท หรือ 148.09% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาจากการขายที่ดินเปล่ารอการพัฒนาจำนวน 120.00 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากการขายบ้านโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมจำนวน 133.04 ล้านบาท การปรับกลยุทธ์ทางการตลาด ราคา และโปรโมชั่นของบริษัทฯ มีส่วนสำคัญในการดึงดูดความสนใจของลูกค้า

นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของภาครัฐตั้งแต่ปลายปี 2567 ช่วยเพิ่มความสามารถในการขอสินเชื่อของลูกค้าบริษัทฯ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐในเดือนเมษายน 2568 ยังช่วยสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

ข้อสังเกตุและวิเคราะห์

ถึงแม้ว่ารายได้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่อัตรากำไรขั้นต้นรวมสำหรับไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 19.15% และสำหรับงวด 6 เดือนอยู่ที่ 22.53% ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากการปิดโครงการการ์ดิเนียพัทยาซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง และการขายที่ดินเปล่ารอการพัฒนาในไตรมาส 2/2568 ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 12.46% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะรักษากำไรขั้นต้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ไม่ต่ำกว่า 30% ของรายได้จากการขาย และจะทบทวนต้นทุนการก่อสร้างอย่างถี่ถ้วน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เข้าซื้อที่ดินในจังหวัดชลบุรีเมื่อปลายปี 2567 และรับโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนเมษายน 2568 เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ชื่อ "โครงการคีล่า" ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มยอดรายได้ในปี 2568 โดยสามารถโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2568 (เดือนกรกฎาคม)

สรุป

โดยรวมแล้ว ผลประกอบการของ JAK ในไตรมาส 2/2568 แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง จากการปรับกลยุทธ์และการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ การลงทุนในโครงการใหม่และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต