https://aio.panphol.com/assets/images/community/6742_cd8a9b.png

AAI พลิกโฉมธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ปี 2568 ไตรมาส 1: โอกาสและความท้าทายในตลาดโลก

P/E 11.59 YIELD 10.24 ราคา 4.40 (0.00%)

AAI พลิกโฉมธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ปี 2568 ไตรมาส 1: โอกาสและความท้าทายในตลาดโลก

สวัสดีค่ะ พบกันในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2568 ของบริษัท Asian Alliance International จำกัด มหาชน หรือ AAI ดิฉัน วรันรัตน์ อัษฎานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รายงานผลประกอบการในไตรมาสนี้

AAI เป็นบริษัทผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพให้แก่เจ้าของแบรนด์ในระดับโลก โดยทำหน้าที่เป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ และร่วมพัฒนาสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงให้แก่ลูกค้า ทั้งในกลุ่มอาหารแมวและอาหารสุนัข มีตั้งแต่ complete pet food หรือกลุ่มโภชนาการครบถ้วน complementary หรืออาหารเสริม รวมถึงขนมที่เป็นอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และกลุ่มอาหารเฉพาะหรือ functional pet food สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีความต้องการเฉพาะ หรืออาหารที่มีสรรพคุณทางยา

ปัจจุบัน AAI มีแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของตนเองที่พัฒนาและทำตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่ แบรนด์ Monchou, Maria, Monchou Balance, Hajiko และ Pro ซึ่งครอบคลุมทั้งในตลาดพรีเมียม ตลาด Eco และตลาดที่เน้นการแข่งขันด้านราคา

AAI มีฐานการผลิตอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร มีกำลังการผลิตในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก 59,000 ตันต่อปี กลุ่มอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก 17,500 ตันต่อปี และกลุ่มผลพลอยได้หรือปลาป่นและน้ำนึ่งปลา 6,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังมีกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดในกิจการร่วมค้าที่ชานตง ประเทศจีน 18,000 ตันต่อปี

โครงสร้างของกลุ่มบริษัท Asian Alliance ทั้งหมดมีบริษัทลูก กิจการร่วมค้า และกิจการร่วมด้วยกันทั้งสิ้นอีก 5 บริษัท ได้แก่ Asian Pet Care Corporation ซึ่งเป็นผู้ทำตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทในประเทศไทย และ Thayia Corporation Shanghai ในประเทศจีน เพื่อทำตลาดแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจีน

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

  • ผลกระทบเชิงบวก: รายได้จากการขายเติบโตขึ้นถึง 26.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า มียอดขายอยู่ที่ 1,880 ล้านบาท เติบโตได้ทั้งในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก
  • ผลกระทบเชิงลบ: อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท
  • ตัวเลขทางการเงิน:
    1. ยอดขาย: 1,880 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 26.3%)
    2. กำไรขั้นต้น: เติบโต 12.2%
    3. อัตรากำไรขั้นต้น: 18.5%
    4. กำไรสุทธิ: 259 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.9%)
    5. กำไรสุทธิต่อหุ้น: 12 สตางค์ต่อหุ้น

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

  • การเติบโตของธุรกิจ Pet Food: ธุรกิจหลักของ AAI เติบโตได้ถึง 36.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
  • การขยายตลาดแบรนด์ในประเทศ: ยอดขายแบรนด์สามารถทำยอดขายได้ 44 ล้านบาทในไตรมาสนี้ เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าถึง 30%
  • โครงการเพิ่มกำลังการผลิต: การเพิ่มกำลังการผลิตในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงอีก 3,000 ตันแล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 2

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

  • ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า: เรื่องของ tariff หรือ reciprocal tariff หรือสงครามการค้าที่เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายและอัตรากำไร
  • การแข่งขันในตลาดจีน: ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนมีการแข่งขันสูง และการทำตลาดในกลุ่มอาหารพรีเมียมทำได้ยาก

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

  • การลดขนาดการทำตลาดในจีน: ลดขนาดในการทำตลาดเพื่อลดค่าใช้จ่ายและกลับมาวางแผนให้ดีอีกครั้ง
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะเจาะจง: พัฒนาผลิตภัณฑ์พรีเมียมมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการแข่งขันด้านราคา
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต: ลดต้นทุนในกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีนำเข้า

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

  • การเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก: มุ่งเน้นการเติบโตในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป และขยายตลาดในเอเชีย
  • การลงทุนในโครงการใหม่: การก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 และอาคารผลิตหลังที่ 2 เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
  • การใช้กระแสเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุด: การอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม นาทีที่ 48:55]

คำถาม: ประเทศคู่แข่งสำคัญมีประเทศอะไรบ้าง? จุดแข็งของแต่ละประเทศคืออะไร? บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไรบ้าง?

คำตอบ:

  • ประเทศคู่แข่ง: เวียดนาม, อินเดีย
  • จุดแข็งของแต่ละประเทศ: ต้นทุนแรงงานต่ำ
  • ความได้เปรียบของ AAI:
    1. คุณภาพวัตถุดิบ: ประเทศไทยมีวัตถุดิบ Tuna และ ไก่ ที่มีคุณภาพและเพียงพอ
    2. มาตรฐานการผลิต: มีคุณภาพ, มีมาตรฐาน, มีความรู้เรื่องโภชนาการสัตว์เลี้ยง
    3. ความน่าเชื่อถือ: ไม่เคยมีประวัติการถูกเรียกคืนสินค้า
    4. R&D ที่แข็งแกร่ง: มีทีม R&D ที่มีคุณภาพและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า สามารถให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
    5. ความรวดเร็วในการตอบสนอง: สื่อสารกับทีม R&D โดยตรง ไม่ต้องผ่านหลายขั้นตอน
    6. ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย: สามารถผลิตอาหารที่มีสรรพคุณทางยาร่วมได้

คำถาม: ระดับความแตกต่างของภาษีของสหรัฐที่บริษัทยังสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้ ต่างกันไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์?

คำตอบ: ตอบยาก เพราะต้องดูว่าลูกค้ามองผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไหน แต่ในระยะสั้นไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ลูกค้าจะหนีไปหาประเทศคู่แข่ง แต่ถ้าระยะยาวมีข้อเสียเปรียบมากๆ ทุกประเทศก็สามารถมาเป็นคู่แข่งได้หมด แต่ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Low End ก็อาจจะมีความเสี่ยงต่อการที่ลูกค้าย้ายฐานการผลิตง่ายหน่อย แต่เราก็พยายามพัฒนาศักยภาพของเราผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมมากขึ้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ และการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเพื่อทำให้ต้นทุนในกระบวนการผลิตของเราต่ำลงก็เป็นอีกหนทางที่จะช่วยลดความแตกต่างในเรื่องของตรงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

คำถาม: สมมุติว่าการเจรจาการค้ามีการขึ้นภาษีจริงๆ ภาษีที่ขึ้นใครจะเป็นผู้แบกรับภาระในส่วนนี้?

คำตอบ: โดยปกติ ภาษีนำเข้า ลูกค้าของ AAI เป็นคนต้องจ่าย แต่แน่นอนว่าเวลาที่ลูกค้ามีต้นทุนสูงขึ้น เขาจะต้องมากดดันผู้ผลิตอย่าง AAI มากขึ้นว่า เขามีต้นทุนในเรื่องของภาษีเพิ่มขึ้น เราจะบรรเทาเขาได้อย่างไร เราจะสามารถช่วยเขาตรงไหนได้บ้าง และแน่นอนว่าเวลาภาษีนำเข้าสูงขึ้น อีกทางหนึ่งทางเจ้าของแบรนด์เองก็คงจะต้องมีความพยายามในการปรับราคาขึ้นในตลาดของเขาเองด้วย เนื่องจากผู้บริโภคเองก็รับทราบว่าสินค้ามันแพงขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการมีภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นในแต่ละผลิตภัณฑ์ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาและศักยภาพว่าในแต่ละผลิตภัณฑ์มันสามารถเจรจาได้ที่ตรงไหน แต่เชื่อว่าภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นก็ร่วมกันแบกรับสามส่วน ทั้งในส่วนของลูกค้าเอง ซึ่งเป็นคนที่จะต้องเสียภาษีโดยตรง ในส่วนของ ผู้ผลิต และในส่วนของผู้บริโภคปลายทางที่ประเทศอเมริกาเองด้วย

คำถาม: ในช่วงไตรมาสที่ 2 มีออเดอร์เข้ามามากกว่าปกติเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของภาษีจากสหรัฐบ้างหรือไม่ และปัจจุบันภาษีที่ต้องเสีย 10% ใครเป็นผู้รับภาระบ้าง?

คำตอบ: ไตรมาสที่ 2 ไม่ได้มีออเดอร์มากกว่าปกติในส่วนของ AAI จากการที่หารือร่วมกับลูกค้า ลูกค้าเองมีความรู้สึกว่าความไม่แน่นอนในนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้เขาไม่ต้องการตัดสินใจอะไรล่วงหน้าที่นานเกินไป ลูกค้าเองมีความเชื่อว่าในอัตราภาษีปัจจุบัน 10% เมื่อพ้นระยะของการผ่อนผันแล้ว มีความเป็นไปได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการคงอยู่ที่ 10% การเพิ่มขึ้นจาก 10% หรือกระทั่งลดลงกว่า 10% และอันนี้เป็นการคาดการณ์ที่คาดการณ์ยากมาก เพราะฉะนั้นเราเองเราไม่เห็นการตัดสินใจวางแผนของลูกค้าที่เปลี่ยนไป คาดว่าลูกค้าเองหลายๆ รายเชื่อว่าเขาต้องการจะรอให้มีความแน่นอนมากขึ้นหลังจากพ้นระยะผ่อนผัน โดยที่การวางแผนร่วมกัน นอกจากการถ้ามีผลกระทบจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่เรามองก็เป็นในเรื่องของการปรับโครงสร้างต้นทุนของตัวผลิตภัณฑ์ที่เราทำให้กับลูกค้า ซึ่งก็จะเป็นงานหนักในส่วนของฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา ที่จะร่วมกันทำผลิตภัณฑ์ที่ยังทำให้ลูกค้าสามารถแข่งขันในตลาดได้ ก็ต้องเรียนว่าเวลาที่ผลิตภัณฑ์แพงขึ้นเนื่องจากเงื่อนไขแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นของเขาเจ้าเดียวที่แพงขึ้น ก็แพงขึ้นทุกเจ้าในตลาด แต่ว่าทำยังไงให้โครงสร้างต้นทุนโครงสร้างราค าของลูกค้าของเราของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าผลิตกับ AAI เนี่ยยังมีศักยภาพในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง ซึ่งอันนี้เราก็เชื่อว่าคงไม่เหลียวบ่ากว่าแรง ในขณะที่ผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อาจจะเป็นเรื่องของการที่ลูกค้าอาจจะมีกำลังซื้อลดลง ก็อาจจะทำให้ยอดขายอาจจะได้รับผลกระทบต่ำลงได้

โดยสรุป AAI มีผลประกอบการที่น่าพอใจในไตรมาส 1 ปี 2568 แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

โพสต์ล่าสุด