https://aio.panphol.com/assets/images/community/6633_cb8ad9.png

TAN โชว์ผลงาน Q1/2568: ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัว มุ่งสู่เป้าหมายใหม่

P/E 16.18 YIELD 9.45 ราคา 3.50 (0.00%)

TAN โชว์ผลงาน Q1/2568: ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัว มุ่งสู่เป้าหมายใหม่

สวัสดีครับ ผู้ถือหุ้นและผู้ที่สนใจทุกท่าน วันนี้ผมพร้อมด้วยคุณศิวพร VP Finance Accounting จะมาสรุปผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2568 ของบริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN ให้ทุกท่านได้รับทราบครับ

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

ในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา ธุรกิจของเราได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

  • ปัจจัยเชิงลบ:
    1. เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
    2. ปัญหาแผ่นดินไหว ทำให้การท่องเที่ยวลดลง
    3. การลดลงของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย
    4. การไม่มีสินค้าใหม่จาก Pandora เข้ามา ทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า
  • ปัจจัยเชิงบวก:
    1. การเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ ช่วยชดเชยผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้การเติบโตของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 4.1% ซึ่งยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก โดยเฉพาะแบรนด์ Pandora ที่มีการเติบโตน้อยกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากคอลเลคชั่นใหม่ที่เข้ามาน้อยลงถึง 85% ส่งผลให้ Same Store Sales Growth (SSSG) ลดลง 8% อย่างไรก็ตาม แบรนด์ HARNN ยังคงไปได้ดีในช่วงเดือนมกราคม

ยอดขายโดยรวมอยู่ที่ 476.5 ล้านบาท เติบโต 4.1% แต่ Net Profit ลดลงจากปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจาก Domestic Operation และสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายที่สะสมจากการลงทุนรอบใหม่

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

บริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญดังนี้:

  • การขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง HARNN ได้รับการตอบรับที่ดี
  • การเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ เช่น MM6 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี
  • การขยายสาขาของร้านอาหาร Restoric Kitchen ที่ Icon Siam ซึ่งเป็นสาขาใหม่
  • การใช้ KOL ในการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะในเวียดนามและจีน

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

บริษัทกำลังเผชิญความเสี่ยงและความท้าทายดังนี้:

  • เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
  • การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรีเทล
  • ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ และนโยบายของรัฐบาล

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

บริษัทมีแผนการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบดังนี้:

  • ปรับเป้าการเติบโตของยอดขายลงมาอยู่ที่ 15% เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
  • ลดปริมาณโครงการลงทุนใหม่ โดยเน้นเฉพาะโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่รวดเร็ว
  • ควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละ Department โดยเฉพาะกิจการใหม่ เช่น F&B
  • ลดสาขาที่ไม่สร้างผลตอบแทนของแบรนด์ Cath Kidston
  • เพิ่มยอดขายจาก Inter Business
  • ปรับแผนของทีมงานให้เข้ามามีส่วนร่วมกับ Inter BU มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง Standard Operation และ Share Resource
  • พัฒนาระบบ CRM ให้มีความเข้มข้นของการสื่อสารกับลูกค้า

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

บริษัทมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำในตลาดไลฟ์สไตล์รีเทล โดยมีเป้าหมายในการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีความหมายต่อสังคม โดยมีแผนการเติบโตในระยะยาวดังนี้:

  • ขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน
  • พัฒนาแบรนด์ที่มีอยู่ในมือให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  • สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
  • ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG)

บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น และเติบโตไปพร้อมกับสังคม

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 44:05]

ช่วงถาม-ตอบ เป็นส่วนสำคัญของการประชุม Oppday ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนและผู้สนใจได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้บริหารของบริษัท ในปี 2568 นี้ มีคำถามที่น่าสนใจและคำตอบที่ชัดเจนจากผู้บริหารดังนี้

แนวโน้มธุรกิจต่างประเทศจะมีกำไรเมื่อไหร่

ผู้บริหารอธิบายว่า ธุรกิจต่างประเทศมี 4 ประเทศ จีนไม่ติดขาดทุนในไตรมาส 1 ขึ้นอยู่กับโมเดลธุรกิจ ญี่ปุ่นมีการขาดทุนลดลง ปีหน้าน่าจะมีกำไร ภาพรวมต่างประเทศดีขึ้น แต่มีช่วงยากลำบากในการ Set up ตอนแรก ปีหน้ายังไม่สามารถทำกำไรได้ ต้องใช้เวลา

ยอดขายและผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2568 เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 ยังเติบโตไหม

ผู้บริหารตอบว่าเป็นคำถามที่ชี้นำไปนิดนึง เพราะยังไม่ได้ปิด Quarter แต่ถึงแม้ว่ามีเรื่องที่คุมไม่ได้ในเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจ เรื่องของฝุ่นฟ้า เรื่องของนักท่องเที่ยว แต่บริษัทมีอาวุธในการทำให้ยอดขายไปข้างหน้าได้ อาจจะไม่มาก แต่บริษัทก็เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่มองไม่เห็น และพยายามสร้างฐานกำไรให้เติบโตมากกว่าปีที่แล้ว

ปัจจัยบวกในช่วงที่เหลือของปีนี้มีอะไรบ้าง

ผู้บริหารกล่าวว่าคือเรื่องความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการที่จะไม่ละทิ้งการทำงานที่ดีให้กับผู้บริโภค และเข้าใจพฤติกรรมของคนซื้อที่เปลี่ยนไป บริษัทเก่งพอในการที่จะสร้างความเชื่อมโยง เช่น กลุ่ม Fashion มีลูกค้า Segment บนที่ยังเป็นลูกค้า Fan พันธุ์แท้กับเรา เราก็ไปต่อ กลุ่มลูกค้าระดับกลางบนหรือระดับกลางอย่าง Pandora เราก็คงต้องสร้างฐานของการมีกิจกรรม และพยายามหากลยุทธ์ในการดึงเขากลับเข้าร้าน แต่ Brand นี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการอยู่

ทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนอย่างไรบ้าง

ผู้บริหารกล่าวว่าจะไม่ลงทุนอะไรเยอะเกินตัว ควบคุมและเข็มขัดเต็มที่ พัฒนา Brand ที่มีอยู่ในมือให้เกิดความเป็น Cohesive มากขึ้นผ่าน Line CRM Portal ที่เราจะสร้าง และทำให้เป็นรูปธรรมเหมือนกับ CRM ในอดีต แต่เราเน้นความเข้มข้นของ Real Time การสื่อสารกับลูกค้า มีการพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศ แต่ไม่ได้ลงทุนเพิ่มกับสิ่งที่มีอยู่ สร้างความยั่งยืนแล้วตอบโจทย์การสร้างฐานกำไรให้เร็ว และมองไปข้างหน้าว่าเราต้องพยายามรักษาฐาน Cash Flow ของเราให้ Healthy เข้าไว้ก่อน

บริษัทตัดสินใจปิดร้าน Marimekko สาขา Central ภูเก็ตด้วยเหตุผลใด ในเมื่อภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักที่มีกำลังซื้อสูง

ผู้บริหารอธิบายว่าต้องวิเคราะห์ภาพรวมด้วยว่ากำลังซื้อสูงซื้ออะไร Marimekko ที่ Central Phuket Floresta ถูกปิดไปนานมากแล้ว ที่เราออกมาจากที่ภูเก็ตเป็นเพราะว่าในศูนย์การค้านี้เต็มไปด้วย Super Luxury Brand ซึ่งลูกค้าที่มาท่องเที่ยวจะไปซื้อกับสินค้าที่อยู่ในเกณฑ์เหล่านี้ แต่เราไม่ใช่ ตอนนี้เราคิดถูกแล้วที่พอไม่ใช่ Segment ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เราก็เลยถอยออกมา แต่กลับกันพอเราไปเปิดเชียงใหม่ พัทยา เป็นผลตอบแทนที่ใช่กว่า ลูกค้าภูเก็ตคนไทยก็จะบินเข้ากรุงเทพฯ แต่ลูกค้าที่มาจากต่างชาติที่บินมาภูเก็ตจะซื้อของที่นั่น แต่เป็น Super Luxury Brand ไม่ใช่ Brand บริหาร Line หรือ Brand กลางๆ อย่างเรา

สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศกี่เปอร์เซ็นต์คะ

ผู้บริหารตอบว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวแบ่งเป็นแต่ละ Brand แตกต่างกันไม่เท่ากัน โดยเฉพาะ Brand อาหารจะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก Pandora นิดหน่อย Restoric Kitchen ถือว่าเยอะถ้าเทียบกับสาขาที่มีอยู่ Marimekko น้อย กานนี่น้อย ถ้า By Group แล้วรายได้จากนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 15% ไม่เกิน 20%

บริษัทมีความกังวลใดๆ ใน 1 ถึง 3 ปีนี้หรือไม่ และมีแผนรับมืออย่างไร

ผู้บริหารกังวลในเรื่องสิ่งที่เรไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลทางตรงทางอ้อมทั้งในประเทศ จิตวิทยา เรื่องนี้ก็เกินความสามารถเรา สิ่งที่กังวลใน 1-3 ปีที่ส่งผลกระทบทางตรงของเราก็คือเรื่องของนโยบายรัฐบาลที่ทำให้ภาคเอกชนต้องสู้อยู่คนเดียว แล้วก็ทำให้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังไว้ เรื่องอื่นในกิจการภายในเราไม่ค่อยมีอะไรที่ให้กังวลเท่าไหร่ เราก็ค่อยๆ แก้ไปถ้ามันมีอุปสรรค

สรุป TAN เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการขยายตลาดในต่างประเทศ พัฒนาแบรนด์ที่มีอยู่ และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด ผู้บริหารยังคงมองโลกในแง่ดีและพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

โพสต์ล่าสุด