https://aio.panphol.com/assets/images/community/6562_9cd8ab.png

สรุป Oppday SCGD: โอกาสและความท้าทายในยุคเศรษฐกิจผันผวน ปี 2568

P/E 9.14 YIELD 4.39 ราคา 4.56 (0.00%)

โอเคครับ นี่คือสรุปเนื้อหาการประชุม Oppday จากไฟล์เสียงที่ได้รับ โดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมใจความสำคัญและประเด็นสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท SCGD อย่างละเอียดและครบถ้วน

สรุป Oppday SCGD: โอกาสและความท้าทายในยุคเศรษฐกิจผันผวน ปี 2568

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งาน Opportunity Day ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของบริษัท SCG Decor จำกัด (มหาชน) โดยวันนี้เราจะมาสรุปผลการดำเนินงานและกลยุทธ์สำคัญของบริษัท พร้อมทั้งตอบข้อสงสัยจากนักลงทุน

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากไม่รวมผลกระทบจากรายการ Non-recurring บริษัทจะมี EBITDA margin อยู่ที่ 13.7% สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 11.9% นอกจากนี้ บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 3.9% สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 2.8%

ปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากการดำเนินกลยุทธ์ 3 ประการ:

  1. การใช้พลังงานชีวมวลเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนในการผลิตความร้อน โดยในปี 2568 โครงการที่เพิ่งแล้วเสร็จจะช่วยลดต้นทุนได้อีกประมาณ 50 ล้านบาท
  2. การเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้อง Porcelain ซึ่งเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) ที่มีราคาและกำไรสูงกว่ากระเบื้องทั่วไป โดยในปี 2568 โครงการที่จะแล้วเสร็จจะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20 ล้านบาท
  3. การปรับโครงสร้างธุรกิจ ผสมผสานกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนได้อีกประมาณ 30 ล้านบาทในปี 2568

โดยรวมแล้วคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มกำไรได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2568

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

บริษัทได้ดำเนินโครงการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 สามารถลดต้นทุนได้ถึง 300 ล้านบาท และด้วยโครงการที่กำลังจะแล้วเสร็จในปีนี้ จะทำให้บริษัทมี Saving เพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านบาท

โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน:

  1. การเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยปัจจุบันสามารถทดแทนไฟฟ้าที่ใช้จากภายนอกได้ 10%
  2. การใช้ Biomass หรือเชื้อเพลิงชีวมวล โดยใน Q1 สามารถทดแทน Fossil Fuel ที่ใช้จากภายนอกได้แล้ว 22%

โครงการใหม่ๆ ที่น่าสนใจ:

  1. โครงการนำร่องการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลที่ Gasifier ในประเทศเวียดนาม (เมืองโฟเยน ทางตอนเหนือ) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระเบื้องของบริษัท โดยมีเงินลงทุน 90 ล้านบาท มีเป้าหมายที่จะใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทดแทนเชื้อเพลิงที่ได้จากถ่านหิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลใน Hot Air Generator อยู่แล้ว แต่โครงการนี้จะใช้ในการอบกระเบื้องโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดการใช้ถ่านหินได้โดยตรง และนอกจาก Saving ที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 20 ล้านบาทแล้ว ยังสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้อีกด้วย
  2. โครงการในประเทศไทย จะมีการติดตั้ง Solar เพิ่มเติม โดยโดยคร่าวทั้งปีนี้จะมี 5.5 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะได้ Saving เพิ่มขึ้นประมาณ 20 ล้านบาท จะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ตามลำดับ และจะมีโครงการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเพิ่มเติมที่โรงงานในสระบุรี ซึ่งจะเริ่มทำโครงการนี้แล้วเสร็จในไตรมาส 2 ของปีนี้ ก็จะมี Saving เพิ่มขึ้นมา โดยถ้าดูจากระยะเวลาในการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ก็ saving ของ 2 โปรเจ็กต์นี้จะประมาณสัก 15 ล้านบาท ในปีนี้ที่จะเกิดขึ้น

การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยการเปลี่ยนกระเบื้องจากกระเบื้องปกติให้เป็นกระเบื้องประเภท เกรด Porcelain Glass Porcelain อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วในประเทศเวียดนามและประเทศไทย โดยในปีนี้จะเน้นไปที่การเปลี่ยน Glass Porcelain ไปที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะมีการเปลี่ยน Capacity ตรงนี้เพิ่มอีก 5 ล้านตารางเมตรในปีนี้ ทำให้ยอดขายของ Glass Porcelain เติบโตขึ้น โดยในไตรมาส 1 ของปีนี้ ยอดขายของ Glass Porcelain เติบโตขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว โดยหลักๆ มาจากยอดขายที่สูงขึ้นในประเทศเวียดนามกว่า 34%

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

การขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง SCGD มีการส่งออกไปประเทศสหรัฐฯ ไม่ถึง 1% ของยอดขายรวม แต่บริษัทก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อลดผลกระทบในกรณีที่มีผลกระทบทางอ้อมต่อสภาพเศรษฐกิจโลก และยังหาโอกาสทางการค้าเพิ่มเติมด้วย

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

บริษัทได้เตรียมพร้อมเพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดย:

  • Cost Leadership Focus: เน้นและเร่งโครงการลดต้นทุน ทั้งจากการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการใช้พลังงานทดแทน และการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการออกแบบและกระบวนการผลิต รวมถึงการร่วมมือและสรรหาเทคโนโลยีจากผู้เล่นระดับโลก
  • การขยายการส่งออกจากฐานการผลิตในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีต้นทุนที่ทัดเทียมกับผู้เล่นระดับโลก และการขยายฐานการส่งออกไปยังประเทศใหม่ๆ เช่น ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้, มาเลเซีย ซึ่งตอนนี้ SCGD ได้สร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายเอาไว้แล้ว
  • การนำเข้า (Sourcing) สินค้า: เป็นโอกาสในการต่อรองและคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม เพื่อมาเติมเต็ม Product Portfolio เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้า และเพิ่มกำไรให้แก่บริษัท โดยอาศัยความได้เปรียบที่ SCGD เป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีปริมาณมากเป็นระดับต้นๆ

ตัวอย่างการร่วมมือกับผู้เล่นระดับโลกในธุรกิจ SPC ของ SCGD เอง บริษัทมีการเร่งต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง โดย Index ต้นทุนของบริษัทลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนของผู้เล่นระดับโลก และเมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าที่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว SCGD ยังมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ทำให้ยอดขาย SPC เติบโตขึ้น 32% เมื่อเทียบกับยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

กลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว:

  1. การขยายตลาด Bathroom ห้องน้ำ สุขภัณฑ์ ในต่างประเทศในอาเซียน โดยดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะขยายตลาดให้ได้ถึงสเกลหนึ่ง และจะเพิ่มโรงงานผลิตสุขภัณฑ์ได้เพิ่มอีก โดยในไตรมาสที่ผ่านมา มียอดขายในไตรมาส 1 อยู่ที่ 126 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ มาจากประเทศเวียดนาม ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 38% อินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 4% ในขณะที่ฟิลิปปินส์ติดลบเล็กน้อย 15% เนื่องจากปีที่แล้วมีงานโครงการเยอะ
  2. การต่อยอดการเป็น Leadership ใน Decorative Surface โดยจะทำผ่านการทำ Merger and Partnership ซึ่งก็ยังอยู่ระหว่างการ Negotiate กันอยู่ โดยความคืบหน้าก็จะรายงานให้ทราบในทุกๆ ไตรมาส สำหรับยอดขาย Stone Plastic Composite (SPC) ในไตรมาสที่ 1 มียอดขายอยู่ที่ 100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% โดยที่หลักๆ แล้ว ยอดขายการเติบโตมาจากประเทศไทยเป็นหลัก และในไตรมาส 1 ได้เปิด Cotto Life ที่ภูเก็ตเพิ่มขึ้นอีก 1 สาขา เป็นสาขาที่ 5 (Total มีทั้งหมด 5 สาขาในประเทศไทย ครอบคลุมจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ)
  3. การเติบโตสินค้ากลุ่ม Complementary Products (ปูนกาว ยาแนว, ครอบครัว, บานประตู) ที่ต้องใช้ประกอบในการทำ Renovate บ้าน โดยในไตรมาสที่ผ่านมา มียอดขายทั้งสิ้น 109 ล้านบาท หลักๆ มาจากปูนกาว ยาแนว เติบโตขึ้น 28%

ภาพรวมตลาดในไตรมาส 2:

  • ตลาดในไทย: น่าจะยังทรงๆ และค่อนข้างท้าทาย มี Up Demand บ้างจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม ช่วยให้ไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วง Off-season การขาย เพราะมีช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ เข้ามาช่วย ประกอบกับรัฐบาลเองก็ออก มาตรการโครงการที่กระตุ้นลดปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน น่าจะเป็น Positive Factor ที่ช่วยตลาดในประเทศไทย
  • ประเทศเวียดนาม: เป็นฐานสำหรับการส่งออกที่สำคัญของบริษัท ในไตรมาสที่ผ่านมา มีเรื่องของ Government Reform ที่ ควบคุมค่าใช้จ่าย และปรับลด การบริหารภายในระบบราชการของเวียดนามเอง อย่างไรก็ตาม Land Law กฎหมายพัฒนากฎหมายที่ดิน ก็มีความคืบหน้าอย่างชัดเจน เห็นโครงการเริ่มกลับมาพัฒนา มี Movement ที่ ชัดเจนมากใน ของ Property Market
  • ประเทศฟิลิปปินส์: มองค่อนข้าง Positive สืบเนื่องมาจากหลัง Midterm Election ที่แล้วเสร็จ คาดว่า Government Spending ก็จะกลับมาใช้จ่ายได้เหมือนเดิม ประกอบกับ สถานการณ์เงินเฟ้อที่ค่อนข้างทรงตัว และดอกเบี้ยอยู่ในขาลง ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มี Macroeconomic ที่ เอื้อ ในช่วงนี้
  • ประเทศอินโดนีเซีย: จะมีเรื่องของเงินรูเปียที่อ่อนค่า ที่ยังต้อง Monitor อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็จะมีโครงการบ้านภาครัฐ ที่ยัง Support ในฝั่งของ Property Market อยู่

โดยรวมแล้วในช่วง Q2 ครึ่งหลังของปี จะมีความไม่แน่นอนในเรื่องของการค้าโลก และมีปัจจัยท้าทายของแต่ละประเทศ โดยทางบริษัทจะ Control เรื่องของต้นทุนการผลิต (Cost) และส่งมอบสินค้าที่มี Value สูง เพื่อทำราคาทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session):

เริ่มต้น Q&A Session ในนาทีที่ 40:20

**ความกังวลและวิธีการรับมือในอีก 1-3 ปีข้างหน้า** * **คำถาม:** บริษัทมีความกังวลในเรื่องใดบ้างใน 1-3 ปีนี้ และมีวิธีการรับมืออย่างไร * **คำตอบ:** บริษัทต้องมีความพร้อมเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว นอกจากกลยุทธ์ด้านต้นทุนแล้ว ต้องเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น การพัฒนาสินค้าใหม่, การเพิ่มกำลังการผลิต, การเพิ่มเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย, และการเร่งขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ **สิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการดำเนินธุรกิจ** * **คำถาม:** ให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นอันดับแรกในการดำเนินธุรกิจ * **คำตอบ:** การเร่งเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม บริษัทก็จะมี Resilience ในการดำเนินธุรกิจ **ตัวเลข ROIC และ WACC ของบริษัท** * **คำถาม:** สอบถามตัวเลขของ ROIC และ WACC ของบริษัทว่ากี่เปอร์เซ็นต์ * **คำตอบ:** ปัจจุบันบริษัทสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าต้นทุน (ROIC สูงกว่า WACC) โดยสามารถดูได้จากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาจ่ายไปรวมทั้งปี 20 สตางค์ **การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ** * **คำถาม:** บริษัทมีการปรับปรุงหรือการพัฒนากระบวนการผลิตอย่างไรบ้างในปัจจุบัน เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน * **คำตอบ:** เน้นเรื่องของความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการลดต้นทุนต่างๆ และการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล รวมถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากภายนอก นอกจากนี้ยังมีการ Convert ตัว Glass Porcelain เพิ่ม Capacity ของ Glass Porcelain ก็จะทำให้ตัว Margin ของเราเนี่ยได้ดีขึ้นด้วย รวมถึงการปรับการผลิตให้สอดคล้องกับ Demand เพื่อตอบสนองในเรื่องของความผันผวนของ Demand ในปัจจุบัน **วัสดุปิดผนังจากจีนเข้ามาตีตลาดไทย** * **คำถาม:** วัสดุปิดผนังจากจีนเริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยด้วยราคาที่ถูกกว่าและน้ำหนักเบากว่า บริษัทมีมุมมองหรือแนวทางในการรับมือการแข่งขันนี้อย่างไร และกระเบื้องที่นำเข้าจากจีนและอินเดียมีคุณภาพแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างไรบ้าง และเราได้รับผลกระทบจากการแข่งขันนี้มากหรือน้อยเพียงใด * **คำตอบ:** กระเบื้องจีนหรือสุขภัณฑ์จีนเข้ามาบ้านเรานานแล้ว และ SCGD เองก็เป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ซึ่งสินค้าที่นำเข้ามานั้นได้คัดสรรสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมเพื่อมาเติมเต็ม Product Portfolio บริษัทบริหารจัดการเรื่องนี้มาตลอด และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มี Impact อะไรที่มีนัยยะ ทุกอย่างก็ยังเป็นในสภาพการดำเนินธุรกิจ คล้ายๆ ก่อนหน้า ก็ยังไม่ได้มีผลกระทบอะไร **คดีความในประเทศอินโดนีเซีย** * **คำถาม:** อยากทราบเหตุผลที่ไม่เปิดเผยประมาณการความเสียหายที่เกิดขึ้น และขอให้บริษัทช่วยอธิบายภาพรวมของคดีนี้ว่าจะมี Maximum Exposure อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ * **คำตอบ:** เป็นข้อเรียกร้องจากหน่วยงานรัฐ ว่าบริษัท Gear ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SCGD ที่ Listed Company อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย มีความรับผิดต่อรัฐบาลอินโดนีเซีย 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัญหาของ Founder คนเก่าของ Gear ตั้งแต่สมัยช่วง ต้มยำกุ้ง หรือ Financial Crisis คือไปรับเงินช่วยเหลือมาจากทางรัฐบาล เพื่อมาช่่วยเหลือแบงค์ของของของ Founder ของ Gear Founder ท่านนั้น ปัญหาอันนี้ มันไม่ใช่เป็น ปัญหา มันเป็นปัญหา ระหว่าง Founder กับทางหน่วยงานรัฐ ไม่ได้เป็นปัญหาของทางบริษัท และการซื้อ Gear ตอนนั้นเนี่ย ตอนที่เราเข้าซื้อ เราเข้าซื้อที่ตอนปี 2011 นะ ปัญหาของเขาเนี่ย เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยต้มยำกุ้ง 10 ปี หลังจากนั้น และเราก็ซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นที่ซื้อเนี่ย ก็เป็นหุ้นคน แรี่ กับหุ้นของ Founder ด้วย ซึ่งเราเนี่ย ได้ทำเรื่องชี้แจง ไปที่หน่วยงานรัฐ แล้วก็ล่าสุดเนี่ย ก็อยู่ในคดีความ ที่เราฟ้อง ศาลปกครอง นะฮะ ซึ่ง เราฟ้องไป 2 2 เคสด้วยกัน 1 ก็คือ ขอให้ยกเลิก ข้อเรียกร้อง 3,000 ล้าน เพราะเป็นส่วนที่เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นะฮะ 2 ก็คือ เราขอให้ยกเลิก อ่า แอคชั่น คือตอนตอนตอนที่ มา มาเรียกร้อง 3,000 ล้านเนี่ยนะฮะ ก็มีการบล็อก อ่า ระบบ จดแจ้งทางทะเบียน นะฮะ ก็ ถ้าเป็นเมืองไทยก็คล้ายๆ เป็นระบบที่ ปริ้น อ่า หนังสือของบริษัท อ่า นะฮะ หนังสือสำคัญบริษัทอะไรอย่างนี้นะ เขาก็มีบล็อกตัวนั้นไว้ แต่ก็ไม่ได้กระทบกับ โอเปเรชั่นอะไรของเกียร์ เกียร์ก็ยังดำเนินงานได้ตามปกติ นะครับ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้อง 3,000 ล้าน ซึ่งเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นะฮะ ทางเราก็ขอยกเลิกไป นะครับ ก็ ปัจจุบันก็ยังอยู่ในระหว่างศาล ตอนนี้ทางบริษัทก็ ไม่ได้นิ่งนอนใจนะฮะ คือทาง เราเนี่ย ก็มีการขอนัด เพื่อชี้แจงกับทางข้าราชการระดับสูงของประเทศอินโดนีเซีย นะครับ ซึ่งเพื่อที่ เราพยายามจะให้ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเราอ่ะนะครับ ก็ เราคงดำเนิน การต่อไป ทั้งทางเรื่องชั้นศาล นะฮะ ที่ขอให้ยกเลิก แต่ผม ผมขอเน้นนิดนึงนะฮะ การฟ้องอันเนี้ย มันเป็นการฟ้องศาลปกครอง นะครับ เป็นการศาลปกครองปกครองว่าทาง หน่วยงานรัฐเนี่ย ทำกับเราไม่ถูกต้อง นะฮะ แล้วมันไม่มัน เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด นะครับ ส่วนในทาง Business เองเนี่ย เราก็เข้าชี้แจงกับทางข้าราชการนะครับ เราทำอยู่ทั้งสองอันนะครับ ก็หวังว่าจะมีข่าวดี นะครับ ครับ ก็ทางผู้แกร่งก็พยายาม แอด ตรงนี้อยู่นะครับ ขอบคุณครับ **เป้าหมายการเติบโตของบริษัท** * **คำถาม:** เป้าหมายการเติบโตของบริษัทจะมาจากการลด Cost เป็นหลักหรือไม่ เพราะ Top Line อาจจะเติบโตได้ยากจาก Cycle ของธุรกิจ * **คำตอบ:** เท่าที่ทำได้ ณ ตอนนี้คือ ทำเรื่องของ Growth ในบริษัทให้ดีที่สุด Deliver สินค้าที่มี High Value และรัดเข็มขัด ลดต้นทุนเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ก็จะมีการลด Working Capitals ที่ได้อัปเดตไปเบื้องต้น เมื่อช่วงต้นการนำเสนอ ก็จะทำอย่างต่อเนื่อง **บริษัทมีแผนจะรับของจากจีนเข้ามาขายหรือไม่** * **คำถาม:** บริษัทมีแผนจะรับของจากจีนเข้ามาขายบ้างหรือไม่ เพราะต้นทุนในการผลิตของเราอาจจะแพงกว่าของเขา * **คำตอบ:** SCGD เป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ในเรื่องของวัสดุปิดผิว และ Majority ที่นำเข้ามานั้นส่วนหนึ่งก็มาจากประเทศจีน อินเดีย เพื่อเติมเต็มพอร์ตสินค้า และถ้าสิ่งใดที่นำเข้ามาถูกกว่าผลิตเอง ก็จะเลือก Option นั้นเพื่อสร้างความหลากหลายให้กับพอร์ตสินค้า **แนวโน้มยอดขายในประเทศในไตรมาส 2 และราคาขายเฉลี่ย** * **คำถาม:** แนวโน้มยอดขายในประเทศไทยในไตรมาส 2 จะ Soft ลงหรือไม่ และราคาขายเฉลี่ยการแข่งขันจะเป็นอย่างไร และในภาพรวมของยอดขายเทียบ Year on Year ในไตรมาส 2 จะเป็นยังไงบ้าง และราคา ราคาขายเฉลี่ยเป็นยังไงเช่นกัน * **คำตอบ:** ไตรมาส 2 ประเทศไทยจะค่อนข้างเป็น Seasonal มีสงกรานต์ที่เป็น Long Holiday ก็จะอาจจะกระทบจากเรื่องความต้องการกระเบื้อง ในขณะเดียวกันในประเทศเวียดนาม ในช่วงไตรมาส 1 ก็จะเป็นช่วงที่มีเทศกาล ปีใหม่ของเขา ก็เลยทำคล้ายๆ กับว่าในไตรมาส 2 เนี่ย ประเทศไทยจะค่อนข้าง Soft ในขณะที่ Regional เนี่ย ก็จะมี Demand กลับขึ้นมา เพราะว่า คล้ายๆ กับกลับขึ้นมา มา Offset ในประเทศไทยที่ที่ Soft ลง ก็ใน ในภาพรวมเนี่ย เรามองว่าในไตรมาส 2 จะค่อนข้างใกล้เคียงกับไตรมาส 1 จากที่ได้เรียนไปในการ์ Analys Conference จริงๆ ราคาขายของเราเนี่ย ถ้าเทียบกับ Q on Q เนี่ย ก็ได้รับผลกระทบนิดหน่อย ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ถ้าในภาพ Year on Year เนี่ย ก็จะเห็นว่า ราคา มัน Drop อยู่ค่อนข้าง ค่อนข้างเยอะ หลักๆ ก็จะมาจากเรื่องของ Proportion ของที่เวียดนามนะคะได้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น แล้วก็ มีที่ ที่ มีโครงการนะคะที่เมืองไทยเนี่ยมี Project เนี่ยที่ ที่ได้รับผลกระทบไปนะคะก็เลยทำให้ ราคาขายในปัจจุบันเนี่ยก็ ค่อนข้างซอฟนะคะ แต่ทีนี้เนี่ยเรามองไปข้างหน้านะคะก็คิดว่าในสิ่งที่จะ ได้รับอานิสงส์นะคะก็หลักๆก็จะเป็นเรื่องของ ค่ะที่ทำต่อเนื่องนะคะตรงในส่วนนี้เนี่ยเราก็จะสามารถที่จะทำให้เราเนี่ยสามารถที่จะยืนราคานะคะคิดว่ามุ่งมั่นนะคะที่จะยืนราคาในส่วนของราคาขายนี้ได้นะคะ ทั้งนี้ในส่วนของภาพของ **Effective Tax Rate ในไตรมาส 1 และปี 2568** * **คำถาม:** Effective Tax Rate ที่จ่ายในไตรมาส 1 ทำไมถึงสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว และอัตราเฉลี่ยของ 2025 จะอยู่ประมาณเท่าไหร่ * **คำตอบ:** หลักๆ เกิดขึ้นจากที่ตัว Holding คือเราไม่ได้ตั้ง Deferred Tax แล้ว เพราะฉะนั้น Effective Tax Rate ก็เลยสูงขึ้น เหตุผลที่ไม่ตั้ง Deferred Tax แล้วเพราะตัว ไอ้ ตัวรายได้กับ ตัวรายได้กับตัว ตัวค่าใช้จ่ายมัน มัน เหมือน สมดุลกันแล้ว และ อนาคต ก็ เดี๋ยวเราคงมีการบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายใน ใน บริษัทโฮลดิ้งด้วยอะนะฮะ ตัว effective เนี่ยก็น่าจะลดลงครับ **ผลกระทบต่อ Decore จาก Developer ที่มีปัญหาทางการเงิน** * **คำถาม:** ทราบว่า Developer หลายๆ เจ้าเริ่มมีปัญหาเรื่องการเงิน มีการจ่ายล่าช้า ทาง Decore มีผลกระทบอย่างไรบ้าง และมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง * **คำตอบ:** มีนโยบายสินเชื่อและมีคณะกรรมการสินเชื่อที่ดำเนินในบริษัท การที่ตัว AR เนี่ย พวกนี้เราบริหารจัดการอย่างดี เราไม่ได้รับปัญหานี้ เรามีการทั้งการซื้อประกันนะฮะ การจ่าย Advance ก่อนอะไรพวกนี้นะครับเราก็มีตาม ตามเกรดของลูกค้าอยู่แล้วครับ **ผลกระทบจากเศรษฐกิจและ Cycle ขาลงของภาคอสังหาริมทรัพย์** * **คำถาม:** ในเศรษฐกิจและ Cycle ขาลงของภาคอสังหาริมทรัพย์ กระทบสินค้าของกลุ่มบริษัทไหนมากที่สุด และกลุ่ม HVA กระทบเยอะหรือไม่ เพราะว่าราคาค่อนข้างสูง * **คำตอบ:** กลุ่ม HVA ก็มีผลกระทบบ้าง เพราะจริงๆ HVA เรา Link กับงานโครงการ สัดส่วน ก็ คือผมจะบอกว่า จริงๆ เนี่ยเรามีแผนที่จะเพิ่ม สัดส่วน HVA นะครับ แต่จะเพิ่มได้ไม่มากเท่าที่ควร นะครับ เพราะได้รับผลกระทบตรงนี้อะ นะครับ

โดยสรุปแล้ว SCGD ยังคงมีความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ และมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี บริษัทมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายตลาด ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

โพสต์ล่าสุด