บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
JAK กำไรไตรมาส 1 โต 59% ทะยานสู่ 2.28 ล้านบาท รับแรงหนุนโครงการใหม่ "คีลา"
P/E 8.23 YIELD 3.38 ราคา 0.00 (0.00%)
ไฮไลท์สำคัญ:
บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (JAK) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 สุดปัง! กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึง 59.03% คิดเป็น 2.28 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 1.43 ล้านบาทในปีก่อนหน้า รายได้รวมก็เติบโตอย่างน่าประทับใจ 30.12% แตะ 67.19 ล้านบาท ปัจจัยหนุนหลักมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผลการดำเนินงานที่โดดเด่น:
JAK รายงานรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 30.08% คิดเป็น 66.37 ล้านบาท เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉียบคม รวมถึงการกำหนดราคาและโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจลูกค้า อย่างไรก็ตาม ต้นทุนขายก็เพิ่มขึ้น 46.80% เป็น 45.10 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์
ถึงแม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเล็กน้อยจาก 39.79% เป็น 32.05% เนื่องจากการปิดโครงการการ์ดิเนีย พัทยา ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง แต่บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดลง 22.46% เหลือ 4.32 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารและค่าตอบแทนผู้บริหารเพิ่มขึ้น 10.78% เป็น 11.16 ล้านบาท
นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินก็เพิ่มขึ้น 8.42% เป็น 3.79 ล้านบาท เนื่องจากการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการใหม่และการเบิกเงินกู้ค่างวดโครงการก่อสร้าง
การลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่:
JAK ได้เข้าซื้อที่ดินในจังหวัดชลบุรีเมื่อปลายปี 2567 และรับโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนเมษายน 2568 เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ "โครงการคีลา" ซึ่งคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของภาครัฐตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ยังเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการกู้สินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง:
ถึงแม้ว่าสินทรัพย์รวมจะลดลงเล็กน้อย 2.03% เหลือ 820.95 ล้านบาท แต่ JAK ยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีสินค้าคงเหลือเป็นสินทรัพย์หลัก เช่น ที่ดิน ห้องชุด บ้านจัดสรร และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในขณะที่หนี้สินรวมลดลง 5.42% เหลือ 335.90 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยและการชำระหนี้การค้า
ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 0.47% เป็น 485.05 ล้านบาท จากผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ลดลงจาก 0.74 เท่า เป็น 0.69 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้นของบริษัทฯ