https://aio.panphol.com/assets/images/community/4577_RHB347.png

TACC การเติบโตในปี 2568 จากงานประชุมผู้ถือหุ้น

P/E 10.59 YIELD 8.52 ราคา 4.58 (0.00%)


1. รายได้และกำไรในอนาคต
  • บริษัทดำเนินการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ และมีการผลักดันกระตุ้นยอดขายในช่วงฤดูร้อนในไตรมาส 1 ซึ่งการบริโภคในประเทศยังเติบโตดีเนื่องจากอากาศร้อนและนโยบาย e-receipt รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
  • คาดการณ์ว่ายอดขายน่าจะเติบโตขึ้นจากการพัฒนาสินค้าใหม่สำหรับตลาดกัมพูชาและลาว ซึ่งมีความต้องการแตกต่างจากไทย โดยเน้นสินค้าที่สดชื่นและตามกระแสวัยรุ่น ... รวมถึงการพัฒนาเมนูใหม่ๆ สำหรับธุรกิจคาเฟ่ที่มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น และการขยายเครื่องจำหน่ายสินค้าร้อน

  • มีการนำเสนอสินค้าในงานแสดงสินค้าที่ดูไบ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและมีการเจรจาเพื่อส่งสินค้าไปต่างประเทศ ... รวมถึงการกระจายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น แม็คโครในกัมพูชา และ 7-Eleven สำหรับผลิตภัณฑ์เจลลี่

  • คาดว่าจะมีสินค้าใหม่ออกมาอีกหลายตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 หรือ 4 เป็นต้นไป
  • บริษัทตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 30-32% โดยจะไม่ต่ำกว่า 30% แม้จะมีผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น

  • คาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาส 1 จะออกมาดีตามเป้าหมาย
2. อัตรากำลังผลิต
  • มีการขยายกำลังการผลิตของสินค้าสำหรับธุรกิจคาเฟ่ที่โรงงานบ้านบึงในปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการเติบโตค่อนข้างมาก
  • ในปี 2025 ได้มีการเสริมสายการผลิต (Line) เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าในประเภท (Category) อื่นๆ และขนาดบรรจุภัณฑ์ (Pack Size) ใหม่ๆ ได้มากขึ้น

  • การเปิดโรงงานที่ 3 และการปรับปรุงสายการผลิตใหม่ของ All Café ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 30%
  • ปัจจุบัน ยอดการผลิตส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่โรงงานบ้านบึง โดยใช้กำลังการผลิตไปประมาณ 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
  • ในปี 2025 จะมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อทำสายการผลิตสำหรับสินค้าใหม่ที่จะนำไปลงตลาด
3. กำไรขั้นต้น
  • บริษัทได้รับผลกระทบจากราคาเมล็ดกาแฟที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทั้ง Arabica และ Robusta โดยเฉพาะ Robusta
  • บริษัทมีการบริหารจัดการผลกระทบดังกล่าวโดยร่วมพัฒนากับลูกค้าในการปรับสูตร หาวัตถุดิบสำรอง ล็อคราคา และบริหารปริมาณการขาย เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติของผลิตภัณฑ์ในขณะที่ควบคุมต้นทุน
  • แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ให้อยู่ที่ประมาณ 30-32%
4. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์
  • ราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกเพิ่มขึ้นสูงมากในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคา Robusta
  • บริษัทได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อรับมือกับราคาเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้น เช่น การล็อคราคาล่วงหน้า การปรับสูตรร่วมกับลูกค้า และการหาแหล่งวัตถุดิบสำรอง
  • มีการสต็อกเมล็ดกาแฟไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่อาจสูงขึ้นอีก ซึ่งทำให้สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น
5. ค่าใช้จ่ายโรงงานใหม่
  • มีการลงทุนในการขยายโรงงานที่บ้านบึงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับธุรกิจคาเฟ่
  • ได้มีการเปิดโรงงานที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2567
  • ในปี 2568 จะมีการลงทุนเพิ่มเติมในโรงงานใหม่เพื่อรองรับการผลิตสินค้าใหม่ในประเภทอื่นๆ
6. แผนการเติบโต
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่: เน้นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างๆ เช่น สินค้าที่สดชื่นสำหรับตลาดกัมพูชาและลาว ... เมนูพิเศษสำหรับคาเฟ่ และผลิตภัณฑ์ที่เน้นสุขภาพ รวมถึงการพัฒนาสินค้าพร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ของตนเองในอนาคต ...

  • ขยายตลาดต่างประเทศ:
    ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าสำหรับตลาดกัมพูชาและลาว ... และมองหาโอกาสในการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศอื่นๆ หลังจากการนำเสนอสินค้าในงานที่ดูไบ ...

  • ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย:
    นอกจากการจำหน่ายผ่าน 7-Eleven ซึ่งยังคงเป็นช่องทางหลัก ... บริษัทได้ขยายช่องทางไปยัง Makro ในกัมพูชา ช่องทางออนไลน์ และธุรกิจคาเฟ่ต่างๆ

  • ธุรกิจลิขสิทธิ์:
    มีแผนที่จะนำคาแรคเตอร์ไทยไปประชาสัมพันธ์ในระดับนานาชาติ (Go Inter) เพื่อสร้างให้เป็น Soft Power ของประเทศ และส่งเสริมคาแรคเตอร์ทั้งไทยและต่างประเทศในตลาดต่างๆ ...

  • ความยั่งยืน (Sustainability) และต่อต้านการทุจริต (CAC):
    ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และกำลังดำเนินการเพื่อเข้าร่วมโครงการ CAC ในปีนี้

  • Syrup (น้ำเชื่อม):
    มองว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมเพื่อเพิ่มความครบวงจรในการนำเสนอสินค้าให้กับร้านค้าต่างๆ มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่เน้นยอดขายจำนวนมาก

  • การร่วมทุน (Joint Venture):
    มีความสนใจในการหาโอกาสร่วมทุนเพื่อการเติบโตและกระจายความเสี่ยง แต่จะพิจารณาถึงความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักก่อน
7. ความผิดพลาดในอดีต
  • มีการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วม (TCI) ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาเป็นจำนวน 30 ล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

  • มีการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทลูก (HIP) ที่ทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (แบรนด์ BROS) เป็นจำนวน 50 ล้านบาทในปี 2567 เนื่องจากผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย  ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และเป็นการด้อยค่าเพียงครั้งเดียวในปี 2567

  • ได้มีการย้ายแบรนด์ BROS มาบริหารจัดการภายใต้ TACC โดยตรง ... และมีแผนที่จะปรับกลยุทธ์เน้นช่องทางออฟไลน์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Mass มากขึ้น

  • มีการซื้อเครื่องหมายการค้าของบริษัทลูก (BROS) มาดำเนินการเองด้วยมูลค่า 18 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะพยายามทำให้คุ้มค่า
  • มีการด้อยค่า Goodwill จำนวน 7.8 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการของ Brash Beauty ไทยในปี 2566 เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและย้ายแบรนด์มาอยู่ภายใต้ TACC
ข้อมูลนี้สรุปจาก งานประชุมผู้ถือหุ้น TACC
ขอบคุณ คุณ Moji สำหรับข้อมูล 


โพสต์ล่าสุด