บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SAFE Opportunity Day: เจาะลึกผลประกอบการปี 2567 และทิศทางธุรกิจปี 2568
P/E 17.01 YIELD 6.63 ราคา 9.35 (-0.53%)
SAFE Opportunity Day: เจาะลึกผลประกอบการปี 2567 และทิศทางธุรกิจปี 2568
SAFE Opportunity Day จัดขึ้นเพื่อแจ้งผลการดำเนินงานประจำปี 2567 โดยมีผู้บริหาร 2 ท่าน คือ นายแพทย์วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ และคุณชนนิดา พัทธโนทัย
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
กลุ่มบริษัท SAFE มีธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ:
- การรักษาผู้มีบุตรยาก (คลินิกการเจริญพันธุ์)
- NGG (การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนและทารกในครรภ์)
- Wellness and Aesthetics (The Fountain Clinic)
SAFE มี 5 สาขา:
- เกษร อัมรินทร์ (ชิดลม)
- รามอินทรา
- ขอนแก่น
- ศรีราชา
- ภูเก็ต
การบริการด้านการเจริญพันธุ์:
- เด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI)
- แช่แข็งไข่ อสุจิ และสเปิร์ม
- ฉีดเชื้อผสมเทียม
- ย้ายตัวอ่อน
- การเจาะอัณฑะเพื่อหาอสุจิ
- การคัดเลือกสเปิร์ม (ไลก้า อิกซี่ และตัว Expert)
ธุรกิจ NGG มีการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน (PGT-SEQ) และการตรวจโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดแม่ (NIPT) ภายใต้แบรนด์ Qualifi และ Clarifi
ธุรกิจ Wellness & Aesthetics ภายใต้ชื่อ The Fountain ให้บริการวิตามิน ตรวจสารในร่างกาย และบริการความงาม
อุตสาหกรรมการทำเด็กหลอดแก้วทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 15% ประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกมีอัตราใกล้เคียงกัน ปัจจัยขับเคลื่อนคือการแต่งงานช้าลง ราคาที่เข้าถึงได้ และอัตราความสำเร็จที่สูง Medical tourism มีส่วนสำคัญในการเติบโตของธุรกิจ
ประชากรไทยลดลง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเพิ่มอัตราการเกิด โดยสนับสนุนด้านการเงิน การลา การรักษาพยาบาล สปสช. บรรจุการตรวจโครโมโซมลูกจากเลือดแม่ (NIPT) ในชุดสิทธิประโยชน์
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
SAFE มี Collaboration กับหลายแห่ง รวมถึงศูนย์เด็กหลอดแก้วที่ใหญ่ที่สุดในพม่า และในไต้หวัน
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
จำนวนรอบการเก็บไข่ลดลงเล็กน้อย 5% ในปี 2567
รายได้ NGG ลดลง 4% ในปี 2567
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
เน้นการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ (PGT-SEQ) พัฒนาแอปพลิเคชันให้ผู้ป่วยติดตามผล พัฒนาด้าน Marketing และ Collaboration กับแพทย์และเอเจนท์ในต่างประเทศ
โครงการ ESG เน้น Governance and Economic เป็นหลัก มีการนำเทคโนโลยี PGT-SEQ มาใช้ เน้น PDPA และ ISO27001 ประเมินความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกองค์กร เน้นความโปร่งใสตาม Code of Conduct และมีระบบการร้องเรียน
พัฒนาพนักงาน นักวิทยาศาสตร์ให้ได้ Certificate ระดับสากล มี Engagement ของพนักงาน 97% Happiness อยู่ที่ 65% ทำ CSR สนับสนุนด้านการศึกษาและโรงพยาบาล ลดขยะติดเชื้อ 6.9% และลดการใช้น้ำ 12% มีโครงการวัดระดับ Carbon Credit
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
รายได้รวมปี 2567 อยู่ที่ 830 ล้านบาท (SAFE 642 ล้านบาท, NGG 170 ล้านบาท) Gross Profit Margin 55%, EBITDA 279 ล้านบาท (Margin 33.1%), Net Profit 167 ล้านบาท (Margin 19.8%)
ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ 15-20% และ Net Profit ใกล้เคียงกันในปี 2568
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 41:06]
คาดการณ์รายได้ปี 2568
ปีที่แล้วเป็นปีมังกร คนตั้งครรภ์กันเยอะ ทำให้ปีนี้การใช้บริการ IVF ลดลง SAFE เสียส่วนแบ่งตลาดในไทยไปพอสมควร ปีนี้คนไข้ที่มาทำปีนี้จะไปคลอดปีม้า ทำให้คนมาทำลูกมากขึ้น เน้นการตลาดเข้มข้นขึ้น มี Project ที่อาจยังบอกไม่ได้ แต่จะเปิดตัวกลางปีนี้ รวมทั้ง M&A หากมีก็จะบุ๊ครายได้ทันที คาดว่ารายได้จะโตขึ้น 15-20% และ Net Profit ล้อตามกัน
การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ของ NGG จะช่วยให้เติบโตอย่างไร
เดิมทีคาดว่าจะใช้ PGT-SEQ ตั้งแต่ไตรมาส 3 แต่ติดขัดจึงเริ่มใช้จริงจังธันวาคมปีที่แล้ว มกราคมปีนี้ใช้ 100% ได้รับการตอบสนองที่ดี ด้วย Scale ที่ดีจะทำให้ Cost ลดลง เทคโนโลยีนี้ช่วยให้คนไข้ได้ตัวอ่อนที่สมบูรณ์ อัตราตั้งครรภ์สูงขึ้น อัตราการแท้งลดลง มีจำนวนตัวอ่อนที่ใส่กลับสูงขึ้น จะดันรายได้ NGG ให้สูงขึ้น ปีนี้จะไปร่วมออกบูธที่งานในยุโรป
ผลกระทบจากสมรสเท่าเทียม
ต่างชาติเริ่มสอบถามเข้ามา คาดว่ากฎหมายลูกจะออกมาประมาณกรกฎาคม ประชากร LGBTQ ในเอเชียสูง (5%) หลายประเทศทำไม่ได้ (จีน อินเดีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย) พวกเขาจำเป็นต้องมาใช้บริการที่ไทย คาดว่าจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป หากกฎหมายให้ทำได้ตั้งแต่กรกฎาคมเป็นต้นไป ปีนี้อาจเห็นหลายสิบเคส ปีหน้าอาจเป็นร้อย ทั้งนี้ขึ้นกับกฎหมายด้วย
คาดการณ์รายได้จากชาวต่างชาติ (รวมจีน)
จีนปีนี้หลายธุรกิจกระทบ คนบินเข้าน้อยลง สายการบิน Loading Factor ลดลง เพราะ Call Center และ Scammer ทำให้คนจีนไม่เข้าไทย คนไข้ย้ายไปทำที่อื่น (มาเลเซียโตขึ้น ไทยลดลง) เศรษฐกิจจีนมีปัญหา โรงงานปิด ภาษีกับอเมริกา อสังหาริมทรัพย์เป็นฟองสบู คาดว่าจีนอาจไม่บูมกลับมา ต้องหาตลาดใหม่ (อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม) เชื่อว่าปีนี้อัตราคนไข้ต่างชาติจะโตได้ 15%
วิเคราะห์อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมเจริญพันธุ์ในไทย
ปัญหาใหญ่คือเรื่องกฎหมาย มีทั้ง พ.ร.บ. กฎกระทรวง กฎแพทยสภา ซึ่งหยุมหยิมไปหมด SAFE ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่บางแห่งไฟเขียวก็โอเค ไฟเหลืองก็ไม่หยุด ไฟแดงก็ฝ่า ทำให้การแข่งขันยาก แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน (มาเลเซีย) ก็ยาก เพราะกฎหมายเขาหลวม ยกตัวอย่าง ผู้หญิงจะบริจาคไข่ให้เพื่อนหรือญาติ ถ้าไม่แต่งงานบริจาคไม่ได้ คนไข้มาฝากไข่แช่แข็ง พอผ่านไป 5 ปี ไม่อยากมีลูกแล้ว อยากบริจาคให้คนอื่น ตามกฎหมายไทยบริจาคไม่ได้ เพราะเขาไม่แต่งงาน กฎหมายคงจะคิดเรื่องห้ามนักศึกษามาบริจาค การออกกฎหมายแบบนี้ทำให้คนดีมีปัญหา ซึ่งพยายามสะท้อนผ่านสมาคมเสมอ
ความคืบหน้าเรื่อง M&A
อยู่ในระหว่าง Process การดูธุรกิจ คุย Commercial Terms กันอยู่ ภายในปีนี้คิดว่าได้ แต่ Quarter นี้อาจไม่ทัน อาจเป็น Quarter 3 ความคืบหน้า 20-30% เรามีความรับผิดชอบที่จะต้องขยาย แต่เงินที่ได้รับมาต้องใช้อย่างระมัดระวัง ต้องมองว่ามีประโยชน์จริง ๆ กับบริษัทและผู้ถือหุ้น โครงการไหนไม่มั่นใจ 100% จะถอยนิดนึง
แผนการลงทุนปี 2568
ไม่ได้ขยายสาขาเพิ่ม Capacity ยังเหลือ Utilization Rate 50-60% จะมี Maintenance CapEx ในส่วนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเน้นนำเงิน IPO ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ดูธุรกิจที่ Synergy กับธุรกิจ IVF (1+1 ต้องมากกว่า 2) อาจเป็นเรื่อง Marketing Collaboration หรือประหยัดจาก Supply Chain ตัวนี้ต้องดูในทุกแง่มุม
อัตราความสำเร็จ 70% คำนวณจากอะไร
คำนวณจากต่อรอบการย้ายตัวอ่อน ถ้าคนไข้ 100 คนมาย้ายตัวอ่อน ท้องกี่คน ถ้าถามว่าคนไข้ 100 คนที่มาให้ SAFE ดูแลรักษา จะมีลูกกลับบ้านกี่คน จะมากกว่านั้น เพราะบางคนย้ายตัวอ่อนมากกว่า 1 ครั้ง ปัจจุบันคนไข้ 100 คนที่เข้ามารักษา จะได้ลูกกลับไป 90 คน
ประมาณการไตรมาส 1
แนวโน้มดีขึ้นแต่ยังไม่ก้าวกระโดด Seasonality ของ IVF คาดว่าจะอยู่ช่วงกลางปี จะเห็น Inquiry มากขึ้น ปีที่แล้วทำการตลาดมากขึ้นจะเริ่มเห็นผล Inquiry จากต่างชาติ (เจาะประเทศ) มากขึ้น จะ Link กับ LGBTQ ที่คุณหมออธิบายไป เรายังทำ Package ICSI ไม่ได้ แต่มีการตรวจสุขภาพของคู่ชายหญิงมากขึ้น อันนี้มีคนสอบถามมากขึ้น จะเป็นจุดเริ่มต้นในการที่พอตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้วพอ กฎหมายทุกอย่างเรียบร้อยก็ดำเนินการทำกระบวนการมีบุตรยากได้เลย Collaboration คิดว่าจะเริ่มเกิดผลมากขึ้น จากการเซ็นสัญญา MOU กับ Agent หรือโรงพยาบาลมากขึ้น จะมี Collaborate เกี่ยวกับการส่งคนไข้หรืออะไรอย่างนี้ ก็เริ่มที่จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น ก็เลยคาดว่าจริง ๆ ไตรมาส 1 เนี่ย แนวโน้ม น่าจะดีขึ้นค่ะ
บทสรุป: ผู้บริหาร SAFE ยืนยันว่าจะดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส พยายามสร้างประโยชน์ให้ทุกฝ่าย (คนไข้ พนักงาน ผู้ถือหุ้น) โดย Balance ในทุกส่วน ตั้งใจจะเป็นบริษัทที่มี Governance ที่ดี มีความยั่งยืน ไม่ต้องการให้หวือหวา แต่เชื่อมั่นว่าปีนี้ด้วยหลายอย่างที่ทำไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว จะเห็นผล รวมถึง Seasonality ปีม้า และกฎหมายที่ปรับเปลี่ยน น่าจะเป็นปีที่เห็นอัตราการเติบโตของ SAFE