https://aio.panphol.com/assets/images/community/3456_a9cb8d.png

สรุป Oppday ERW Q4/2024: ผลประกอบการแข็งแกร่งและแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง

P/E 13.57 YIELD 3.85 ราคา 2.34 (0.00%)

สรุป Oppday บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) Q4/2024: ผลประกอบการแข็งแกร่งและแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง

สวัสดีค่ะ ท่านนักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่การรายงานผลประกอบการของบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในวันนี้ผู้บรรยายคือดิฉัน อภิญญา และคุณอังคณา

วันนี้จะเป็นผลประกอบการของบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ในไตรมาสที่ 4 และภาพรวมทั้งปีของปี 2024 Agenda วันนี้มี 4 หัวข้อหลัก ได้แก่:

  1. Recap ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4
  2. ผลประกอบการของโรงแรมแยกตาม Segment: Luxury to Economy และ Budget
  3. ผลประกอบการรวมของบริษัท
  4. Outlook สำหรับปีนี้

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

ผลประกอบการของบริษัทถือว่าทำได้ดีมาก ทั้งในส่วนของรายได้ EBITDA และ Net Profit

  • รายได้อยู่ที่ 2,228 ล้านบาท เติบโต 18% จากปีก่อนหน้า
  • EBITDA อยู่ที่ 841 ล้านบาท เติบโต 35% จากปีก่อนหน้า
  • Net Profit อยู่ที่ 370 ล้านบาท เติบโต 60-65% จากปีก่อนหน้า

อัตราการทำกำไรทำได้ดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ทั้งในส่วนของ EBITDA และ Net Profit ปัจจัยสนับสนุนมาจาก:

  • การเดินทางในประเทศไทย ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและการเดินทางภายในประเทศเอง ซึ่งส่งเสริมในกลุ่ม Budget Segment
  • ในประเทศฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น การเดินทางของนักท่องเที่ยวและการเดินทางภายในประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

Market Outlook ในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา การดำเนินงานยังคงทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าอัตราการเข้าพักจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

ปัจจัยที่อาจกดดันผลประกอบการคือการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนที่ได้รับผลกระทบจากข่าวความไม่ปลอดภัยในการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของบริษัทคือการ Diversify ไปในตลาดอื่นๆ เพื่อให้จำนวนผู้เข้าพักเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่จะถึงนี้ จะมี Corporate Demand ที่เข้ามาเสริมให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในโรงแรมมากขึ้น

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

บริษัทเน้นในการ Diversify ไปในตลาดอื่นๆ เพื่อให้จำนวนผู้เข้าพักเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

บริษัทจะเน้นการเติบโตในส่วนของอัตราห้องพัก ซึ่งสามารถทำได้เติบโตถึง 11% จากปีก่อนหน้า และ RevPar เติบโต 9% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ Occupancy ต่ำกว่าปีที่แล้วเล็กน้อยที่ 2% การที่ RevPar เติบโตได้ถึง 9% เป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุนจากกลุ่ม Mid-Scale, Economy และ Budget Segment เป็นหลัก

6. ผลประกอบการของโรงแรมราย Segment

Luxury to Economy Segment

ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตหลักๆ คือการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวในประเทศไทย ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยถึง 9.5 ล้านคน คิดเป็นการเติบโต 18% จากปีก่อนหน้า และคิดเป็นการฟื้นตัวจากระดับก่อนโควิดในระดับ 84% แล้ว

การเดินทางเข้ามาทั้งปี นักท่องเที่ยวสูงถึง 35 ล้านคน ซึ่งเกิน Target ที่ทาง ททท. ได้ตั้งไว้ หากมาดู Detail ของเชื้อชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ จะเป็นประเทศจีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 4 นี้

ความเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าคือ นักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้ามาเป็น Top 5 แทนที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่อยู่ใน Top 5 ในไตรมาสที่แล้ว

สำหรับโรงแรมเอราวัณ นักท่องเที่ยวเป็นเชื้อชาติ Top 5 คือ อเมริกา จีน ไทย สิงคโปร์ และอินเดีย แต่ในไตรมาสนี้มีการเปลี่ยนแปลงคืออเมริกาเข้ามาเป็นอันดับที่ 1 ที่เดินทางเข้ามาใช้บริการในโรงแรมของเรา

สาเหตุที่ประเทศอเมริกาและประเทศอื่นๆ มี Contribution ที่หลากหลายขึ้น และสัดส่วนของประเทศจีนลดลง เป็นความตั้งใจในการ Diversify เชื้อชาติของบริษัท นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจาก Seasonality ที่ทำให้ชาวอเมริกาและชาวยุโรปเดินทางเข้ามาใช้บริการในโรงแรมของเรามากในไตรมาสที่ 4

เมื่อเทียบผลประกอบการของ Top 5 Market นี้กับช่วงก่อนโควิด รายได้ของทั้ง 5 เชื้อชาตินี้ทำได้เกินปี 2019 แล้ว ถึงแม้ว่าการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของประเทศจีนจะยังเข้ามาได้ไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด แต่รายได้ที่ทางเอราวัณสามารถทำได้จากกลุ่มชาวจีนก็ทำได้ดีกว่าในช่วงก่อนโควิดเรียบร้อยแล้ว

Operating Stats ของ Luxury to Economy Segment

  • Occupancy Rate สามารถทำได้สูงถึง 85% เติบโต 2% จากปีก่อนหน้า
  • อัตราค่าห้องพักเติบโตได้ถึง 12% จากปีก่อนหน้า
  • RevPar ของโรงแรมในกลุ่มนี้เติบโตได้ถึง 15%

ปัจจัยสนับสนุนหลักๆ มาจากกลุ่ม Economy และ Mid-Scale

ผลประกอบการราย Segment

Luxury: Occupancy อยู่ที่ 79% โดยมีช่วงที่ลดลงในไตรมาสที่ 3 แต่กลับมาที่ 79% ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นผลจาก Performance ของโรงแรม Grand Hyatt Erawan ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ Incident ที่เกิดขึ้น แต่ในไตรมาสที่ 4 Performance ของโรงแรมกลับมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทำให้ Occupancy ปรับตัวสูงขึ้น

  • Room Rate เติบโตถึง 11% จากปีก่อนหน้า
  • RevPar ในกลุ่มนี้เติบโต 9% จากปีก่อนหน้า

Mid-Scale:

  • Room Rate ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า
  • Occupancy สามารถทำได้สูงถึง 83% เติบโต 4% จากปีก่อนหน้า
  • RevPar สามารถเติบโตได้ถึง 20%

สาเหตุหลักๆ มาจากการกลับมาเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรม Holiday Inn พัทยาในไตรมาสที่ 4 อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากการปิด Renovate ไป

Economy: สามารถทำ Room Rate เติบโตได้ถึง 16% Occupancy Rate สูงถึง 88% ซึ่งเป็นการเติบโต 1% จากปีก่อนหน้า ทำให้ RevPar ของกลุ่มนี้เติบโตถึง 18% Year-on-Year

การกลับมาเปิดให้บริการของโรงแรม Holiday Inn พัทยา

โรงแรมได้เปิดให้บริการในส่วนของ Bay Tower ที่ปิดให้บริการไป Scope ของการ Renovate คือการทำในส่วนของห้องพัก Lobby และ Facility ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Fitness และ Spa หลังจากที่เปิดให้บริการหลัง Renovate แล้ว สามารถ Drive Room Rate ให้เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าได้ถึง 22% Room Rate สามารถทำ New Record High อยู่ที่ 4,300 บาทในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา

ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ในเชิงของ Occupancy และ Room Rate ทำให้ Financial Performance ของโรงแรมในกลุ่มนี้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ในส่วนของรายได้เติบโตถึง 10% จากปีก่อนหน้า และ EBITDA เติบโต 25% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนมาจากการเติบโตของรายได้ และการ Control ค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ EBITDA Margin เติบโตขึ้นมาจากปีก่อนหน้า

ภาพเดียวกันก็สะท้อนไปที่ Full Year Performance เช่นกัน ทางโรงแรมในกลุ่มนี้สามารถทำการเติบโตทั้งในส่วน รายได้ EBITDA และ Margin ให้ดีกว่าปีก่อนหน้าได้

7. โรงแรม Budget ภายใต้แบรนด์ Hop Inn

บริษัทอยากให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Customer Profile หรือกลุ่มลูกค้าของ Hop Inn เริ่มจากกราฟด้านซ้ายมือ เป็นการแบ่งลูกค้าว่า Domestic หรือ Foreign และวัตถุประสงค์การเข้ามาใช้บริการในโรงแรม จะเห็นได้ว่า 90% ของลูกค้า Hop Inn เป็นลูกค้าภายในประเทศ ซึ่งเป็นความตั้งใจของบริษัทในการที่จะ Diversify ลูกค้าในกลุ่ม Budget ให้เป็น Domestic ในขณะที่ Luxury to Economy ลูกค้าหลักๆ ก็จะเป็นลูกค้าต่างชาติ

การ Diversify ของลูกค้าใน 2 กลุ่มนี้จะช่วยให้ความต้องการมาใช้บริการของโรงแรมค่อนข้าง Stable เนื่องจากมีความต้องการจากในประเทศและความต้องการจากในนอกประเทศ นอกจากนี้ ด้วยข้อมูลที่ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นลูกค้าที่มาใช้บริการในเชิงธุรกิจ ลูกค้ากลุ่มนี้จะไม่มีความขึ้นๆ ลงๆ เทียบตาม Seasonality เท่ากับลูกค้าที่มาใช้บริการเพื่อการพักผ่อน

จะเป็นอีกหนึ่งจุดที่มาช่วยในการ Balance ตัว Portfolio ทั้งหมดของบริษัทเอราวัณ กรุ๊ป กราฟทางด้านขวามือ เป็นการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามเชื้อชาติ จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่กว่าเกือบ 70% เป็นลูกค้าชาวไทย และ 22% เป็นลูกค้าชาวฟิลิปปินส์ นอกจากนั้นก็จะเป็นลูกค้าเชื้อชาติอื่นๆ

ประเทศไทย: ลูกค้าหลักๆ ที่มาใช้บริการ 95% จะเป็นชาวไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเดินทางมาในเชิงธุรกิจ ดังนั้นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตหลักๆ จะมาจาก 2 เรื่อง คือการเดินทางภายในประเทศ ซึ่งในปี 2024 นี้เติบโตได้ถึง 8% จากปีก่อนหน้า อีกส่วนหนึ่งคือ GDP Growth ของประเทศ ซึ่งในไตรมาสที่ 4 เติบโตถึง 3.2%

ฟิลิปปินส์: Profile ของลูกค้าค่อนข้างใกล้เคียงกับในประเทศไทย 80% เป็นลูกค้าภายในประเทศ คือชาวฟิลิปปินส์เอง ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าในกลุ่มนี้คือ GDP ภายในประเทศที่เติบโตได้ 5.2% จากปีก่อนหน้า

ญี่ปุ่น: กลุ่มลูกค้าจะมีความแตกต่างจากประเทศไทยและฟิลิปปินส์ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มหลักๆ จะเป็นลูกค้ากลุ่มต่างชาติ หากมาดูเจาะ Detail ของคนที่เดินทางมาใช้บริการในโรงแรม Hop Inn ญี่ปุ่น จะเป็นลูกค้าจากชาวไทย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และจีนเป็นหลัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแบรนด์ Hop Inn ที่สามารถที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักกับชาวไทยและฟิลิปปินส์ในตลาดที่เรามีอยู่แล้ว และสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ให้เข้ามาใช้บริการได้ด้วย

จากการที่ Profile ของ Hop Inn Japan เป็นลูกค้าต่างชาติ ทำให้ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตคือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ซึ่งของประเทศญี่ปุ่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็สามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี ในไตรมาสที่ 4 ในทั้งปี เราเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาถึง 36.9 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่ทำได้ดีกว่าในประเทศไทยและเติบโตถึง 47% จากปีก่อนหน้า

Hop Inn มีการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมามีการเปิดโรงแรมใหม่อีก 2 แห่ง คือ Hop Inn ประจวบคีรีขันธ์ และ Hop Inn พยาม

จำนวนการขยายยังคงต่อเนื่อง ทำให้จำนวนห้องพักเติบโต 12% จากปีก่อนหน้า สำหรับในส่วนของรายได้ อยากจะแบ่งการรายงานรายได้เป็น 2 กลุ่ม คือ รายได้เป็น Total Hotel Revenue ซึ่งรวมปัจจัยที่เราเปิดโรงแรมเข้ามา ซึ่งเป็นโรงแรมทั้งหมด ตอนนี้มีโรงแรมในประเทศไทยทั้งหมด 61 โรงแรมแล้ว รายได้ใน Total Revenue ในรายได้ทั้งหมดของประเทศไทย สามารถเติบโตในไตรมาสที่ 4 ได้ถึง 19%

หากว่าเราไม่ดู ไม่รวมรายได้จากที่มาจากตัวโรงแรมใหม่ที่เราเปิด จะเป็นการเปรียบเทียบแค่เฉพาะโรงแรมที่มีอยู่เดิม จำนวน 54 โรงแรม เราก็จะเห็นว่าจำนวนตัวรายได้ในกราฟทางด้านขวาสุด ในไตรมาสที่ 4 ก็เติบโตได้ดีถึง 8% ทางประเทศไทย สามารถทำการเติบโตทางรายได้ทั้งแบบ Organic และแบบที่รวมการเปิดโรงแรมใหม่ได้ ทั้ง 2 ด้านเลย

ในประเทศฟิลิปปินส์ เปิดโรงแรมใหม่ทั้งหมด 3 โรงแรม ทำให้ตอนนี้มีโรงแรมรวมทั้งหมด 10 โรงแรม ถ้ามาดูจำนวนห้องที่เติบโต เติบโตได้ดีถึง 38% จากปีก่อนหน้า รายได้รวมของทั้ง 10 โรงแรมนี้เติบโตถึง 21% จากปีก่อนหน้า สำหรับตัว Organic Growth ของโรงแรม 7 โรงแรม มีการปรับตัวลดลง 7% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากการที่ทางรัฐบาลได้มีการแบน การ Operate ของการทำ การพนันที่เปิดให้ชาวต่างชาติมาใช้บริการ

ผลกระทบจากการแบนนี้ทำให้ลูกค้ากลุ่ม Corporate ที่ ที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจนี้มาใช้บริการใน ใน Hop Inn ลดลง แต่ทางบริษัทก็มองว่าใน ในระยะยาวทางบริษัทจะเน้น เพิ่มลูกค้าในกลุ่ม Domestic มากขึ้น เพื่อมา Offset กับตัว ตัวลูกค้ากลุ่มนี้ที่มีความลดลง นอกจากนีบริษัทก็จะมีการ Control ตัวอัตรากำไรอย่างต่อเนื่อง ผ่านการ เน้นในการ ให้มา ให้มาจองใน ในกลุ่มที่เป็น ช่องทางของบริษัท และก็ทำให้ตัว Margin สามารถ Control ได้ดีอย่างต่อเนื่อง และก็มีการใช้ ตัว OTA หรือว่าการจองที่เป็น Local มากขึ้น

ญี่ปุ่น: เปิดโรงแรมใหม่ในปีนี้ 3 โรงแรม ซึ่งตัวผลประกอบการก็ทำได้ดีเป็นอย่างมาก ในปีนี้สามารถทำตัวกำไรในส่วนของ EBITDA ได้แล้ว และคาดการณ์ว่าในปีนี้จะสามารถทำกำไรในส่วนของ Net Profit ได้

ด้วยผลประกอบการที่ดีของ Hop Inn ตัว Revenue เติบโตถึง 56% จาก จากปีก่อนหน้าในไตรมาสที่ 4 ในส่วนของ EBITDA เติบโตถึง 76% จากปีก่อนหน้า ทำให้ตัว Margin เติบโต 43% ทำให้ตัว Margin อยู่ที่ 43% เติบโตจาก 38% จากปีก่อนหน้า ซึ่งภาพรวมทั้งปีก็สอดคล้องกัน สามารถทำความเติบโตทั้งในส่วนของรายได้ EBITDA และตัว Margin EBITDA Margin ได้

8. ผลประกอบการรวมของบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป

ทั้ง Luxury to Economy Segment และในส่วนของตัวที่เป็น Budget ภายใต้แบรนด์ Hop Inn สามารถทำผลประกอบการได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นผลประกอบ ผลประกอบการรวมของบริษัทก็เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของรายได้เติบโต อย่างที่กล่าวไป เติบโต 18% ตัว EBITDA เติบโต 35% และตัว Net Profit เติบโตถึง 65% จากปีก่อนหน้า ซึ่ง Dimension ในทุกๆ อันก็เป็น New Record High ของบริษัทเลยทีเดียว

สะท้อนความสำเร็จของบริษัทในส่วนของ Strategy ที่จะขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง และ Drive Performance ของโรงแรมเดิม ด้วยการเพิ่มกลยุทธ์การเพิ่มราคาของบริษัท ทั้ง ในส่วนของไตรมาสที่ 4 และ Full Year Performance สามารถทำได้ อย่างดี ในส่วนของภาพรวมทั้งปี บริษัทสามารถทำกำไรในส่วนของ Net Profit แบบที่ไม่รวม Extra Gain รายการ Extra Gain อื่นๆ ทำให้ Net Profit อยู่ที่ 906 ล้านบาท เติบโต 23% จากปีก่อนหน้า และเป็น New Record High Net Profit ของบริษัทเช่นกัน

สถานะทางการเงินของบริษัท ในส่วนของ Leverage Ratio หรือว่า ตัว เงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสูง ต่อ ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ก็มีการพัฒนาอย่างแข็งแกร่ง ในช่วงปลายปีนี้ Interest Bearing Debt to Equity อยู่ที่ 1.1 เท่า ปรับตัวลดลงจาก 1.7 เท่า เมื่อปี 2023 ซึ่งสาเหตุหลักที่ ตัว Leverage Ratio ของเรามีการปรับตัวที่ดีขึ้น สาเหตุหลักก็มาจากส่วนของผู้ถือหุ้น ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากตัวความสามารถในการทำกำไรของบริษัท และก็มาจาก ตัว Warrant ที่ทางบริษัทได้ ได้เงินทุนเข้ามาถึง 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ก็จะมีเงินทุนที่ได้มาจาก ตัว Private Equity เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน Hop Inn จำนวน 7 700 ล้านบาท และก็มีในส่วนของ Land Revaluation ในการ Revaluate ตัวที่ดินของโรงแรมที่มีอยู่ ที่เราได้เกณฑ์มาถึง 5 580 ล้านบาท ในส่วนนี้ก็ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตขึ้น และทำให้ Leverage Ratio ของเราดีขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทมี Room ที่จะ กู้เงินเพิ่มเติมขึ้นไป เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต

ถ้ามาดูตัว Facility ที่จะ Support ตัวการเติบโตในอนาคต เราก็มีเงินสดอยู่ในมือและก็มีตัว Credit Facility อยู่กว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการเติบโตต่อไปในอนาคต

9. Outlook ของบริษัทในปีนี้

บริษัทจะ ใช้กลยุทธ์ในการ Drive Rate Room Rate อัตราห้องพักอย่างต่อเนื่อง และ ตัว Occupancy ก็น่าจะอยู่ในระดับ 80% ใน ในปีนี้ ซึ่ง เราก็จะใช้ Strategy ในการ Drive Room Rate แล้วก็เพิ่มรายได้ในส่วนอื่นๆ นอกจากห้องพัก ได้แก่ รายได้จาก ค่า ค่าอาหารและก็เครื่องดื่ม ซึ่งเราก็จะ สนับสนุนการเข้ามาใช้บริการ ของลูกค้าในกลุ่ม MI เพื่อ เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนนี้นะคะ นอกจากนี้เราก็จะ Control ตัว Cost อย่างต่อเนื่องผ่านการเพิ่มตัว Productivity ของการดำเนินงาน ในส่วนต่างๆ ซึ่งในปีนี้เรามองว่าตัว Revenue Growth ของทั้งกลุ่มจะอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งในตัวกลุ่ม โรงแรมกลุ่ม Economy to Luxury จะมี จะสามารถทำการเติบโตของ รายได้อยู่ที่ประมาณ 5-7% แล้วก็ในส่วนของ Budget เนี่ย จะสามารถทำการเติบโตของรายได้อยู่ที่ประมาณ 23%

ในส่วนของปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโตนี้ก็มาจากการเติบโต การ ของการท่องเที่ยวของทั้งในประเทศไทยและก็ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่เรามีการดำเนินงานอยู่นะคะแล้วก็ปัจจัยสนับสนุนที่ทางรัฐบาลของในแต่ละประเทศเนี่ยจะมีแคมเปญเพื่อที่จะ Support การเดินทางเข้ามาในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาตินะคะแล้วก็เป็นดีมานด์ของการเดินทางภายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนะค ะ อย่างไรก็ตามบริษัทก็จะ มีการมอนิเตอร์ปัจจัยที่อาจทำให้กระทบตัวผลประกอบการนะค ะซึ่งก็ได้แก่ความ การ Political Uncertainty ของการ ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศต่างๆนะคะซึ่งก็อาจจะมีปัจจัยผลกระทบต่อค่าน้ำมันทำให้การเดินทางมีราคาสูงขึ้นน ะคะนอกจากนี้ก็จะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจนะคะในประเทศต่างๆนะคะโดยเฉพาะในประเทศจีนทำบริษัทก็จะมีการ มอนิเตอร์อย่างต่อเนื่องนะคะ

สำหรับการลงทุนในปีหน้านี้นะคะทำบริษัทมองไว้ว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ3000ล้านบาทนะคะซึ่งก็จะแบ่งเป็น Segment Budget จะใช้ Budget ก็จะใช้เงินประมาณ2000ล้านบาทนะคะซึ่ง 1,000 ล้านบาทเนี่ยจะเป็น การขยายที่แน่นอนแล้วนะคะแล้วก็หลักๆก็จะเป็นการขยายในประเทศไทยนะคะสำหรับในอีก 1,000 ล้านบาทของตัว Budget Segment เนี่ยจะเป็นการ Reserve ไว้นะคะสำหรับการเติบโต การขยายไปใน เอเชีย แปซิฟิกนะคะซึ่งบริษัทก็มีการทำการศึกษาอยู่นะคะแล้วก็จะมา สื่อสารให้กับทางนักลงทุนทราบเมื่อมีความชัดเจนในส่วนของต่างประเทศมากขึ้นน่ะคะสำหรับในส่วนของกลุ่ม Economy to Luxury เนี่ยก็จะใช้เงิน ตัว ประมาณ 1,000 ล้านบาทนะคะซึ่งหลักๆก็จะเป็นการทำ Renovate นะคะของโรงแรมในกลุ่มนะ คะหลักๆก็จะเป็นโรงแรมแกรนด์ไฮแอร์วันนะคะซึ่งเรามองว่าก็จะทำการ Renovate ในช่วงของไตรมาสที่ 4 ของปีนี้นะคะนอกจากนั้นก็จะเป็น อ่าเป็น อ่าเป็นในส่วนของการขยายโรงแรมใหม่นะค ะซึ่งถ้ามาดู แทนของการขยายนะคะในปี ในปีนี้เนี่ยของเริ่มจากในส่วนของกลุ่ม Budget Segment ก่อนก็จะมีการขยายโรงแรมในประเทศไทยทั้งหมด10โรงใน ปีนี้นะคะในส่วนของ Luxury to Economy Segment ทางด้านขวาเนี่ยของเราก็มีการประกาศแล้วนะคะว่าเราจะเข้า อ่าได้มีการทำเข้าทำสัญญาเช่านะค ะกับ อ่ากับทางผู้ให้เช่านะคะโดยเป็นอ่าพื้นที่ในส่วนของอ่าใกล้ BTS พรหมพงษ์นะคะแล้วก็ แพลนของบริษัทเนี่ยจะทำเป็นโรงแรมใน Segment Mid-Scale นะ คะซึ่ง อ่าตัว อ่าConcept ก็จะเป็นคร่าวๆเป็น Combo นะ คะซึ่งเป็น Combo Concept ในที่นี้หมายถึงการทำ อ่า2 แบรนด์ใน 1 โรงแรมนะค ะซึ่งสาเหตุที่บริษัทเลือกที่จะทำเป็น Combo Concept เนี่ยเนื่องจากบริษัทก็ได้ อ่าเห็นถึงความสำเร็จของการทำ Combo โรงแรมในลักษณะ Combo 3 แห่งที่บริษัทได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้วนะคะซึ่ง อ่าตัว Room Rate ที่บริษัท อ่าคิด ว่าจะได้จากโรงแรมนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณ3,000-4,000บาทนะค ะมีจำนวนห้องประมาณ 400 ห้องแล้วก็คาดการณ์ว่าจะเปิดในปี 2029 ค่ะ

สุดท้ายเลยนะคะจะเป็นแพลนการเปิด Hop Inn นะคะอย่างที่กล่าวไปเบื้องต้นนะคะแพลนการเปิด Hop Inn เนี่ยก็จะเปิดทั้งหมด10โรง ในปีนี้นะคะซึ่งในไตรมาสที่ 1 เนี่ย ตอนนี้เราก็ได้เปิดไปทั้งหมด 2 โรงแรมแล้วนะคะโรงแรมแรกก็จะเป็นโรงแรม Hop Inn พัทยากลางนะคะซึ่งเป็นโลเคชั่นที่ สะดวกต่อการเดินทางมากๆเลยนะคะอีกอันนึงก็จะเป็น Hop Inn สงขลานะคะซึ่งก็เปิดให้ทำการไปแล้วในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานะคะ

ทั้งหมดนี้ก็จะเป็น การรายงานผลประกอบการแล้วก็ภาพรวมทั้งหมดของบริษัทนะคะตอนนี้บริษัทก็จะเปิดให้ทุกท่านได้ได้สอบถาม Q&A เข้ามาได้เลยนะคะ

สรุป: บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 และมีแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยเน้นการเติบโตในกลุ่มโรงแรม Budget ภายใต้แบรนด์ Hop Inn และการ Diversify ตลาดนักท่องเที่ยวเพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงต่างๆ

Q&A Session

เริ่ม Q&A นาทีที่ 41:35

  1. ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง

    • ถาม: นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมีผลกระทบอย่างไร?
    • ตอบ: ยอด Cancellation มีบ้าง แต่ไม่มากนัก นักท่องเที่ยวจีนยังคงใช้บริการต่อเนื่อง บริษัทมี Strategy Diversify ไปยังลูกค้ากลุ่มอื่น
    • ช่วง Chinese New Year นักท่องเที่ยวจีนอ่อนตัวลง แต่คาดว่าลูกค้า Corporate จะเข้ามาเสริมในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม
  2. ความคืบหน้าการต่อสัญญาโรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ

    • ถาม: ความคืบหน้าการต่อสัญญาโรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณเป็นอย่างไร? คาดว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด?
    • ตอบ: อยู่ในกระบวนการพูดคุยกับผู้ให้เช่าพื้นที่ และสามารถดำเนินกิจการโรงแรมได้ตามปกติ ผู้ให้เช่าเป็นภาครัฐ จึงไม่สามารถบอกเวลาที่ชัดเจนได้ แต่มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทำสัญญาเช่าได้เร็ววัน
**ชื่อหัวข้อที่ถามและคำตอบที่ผู้บริหารตอบในคลิป**
  1. ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง
  2. ความคืบหน้าการต่อสัญญาโรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ

โพสต์ล่าสุด