KGI ให้คงคำแนะนำ "ถือ" หุ้น SVI แม้คาดการณ์กำไรครึ่งปีแรกยังไม่สดใส

P/E 18.83 YIELD 3.31 ราคา 7.25 (0.00%)


KGI คงคำแนะนำ "Neutral" สำหรับ SVI

KGI Securities (Thailand) คงคำแนะนำ "Neutral" สำหรับหุ้น SVI (บมจ.เอสวีไอ) โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 7.00 บาท แม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่น่าสนใจ แต่ KGI มองว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อาจยังไม่สดใส เนื่องจากฐานกำไรขั้นต้นที่สูงในครึ่งปีแรกของปี 2567

เป้าหมายยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นของ SVI

SVI ตั้งเป้าหมายยอดขายปี 2568 ที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากทำได้ 624 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 โดยคาดหวังการเติบโตจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Networking และ Communication ซึ่งคิดเป็น 40% ของรายได้รวมในปี 2567 บริษัทตั้งเป้ายอดขายจากลูกค้าเดิมที่ 650-660 ล้านเหรียญสหรัฐ และจากลูกค้าใหม่ที่ 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ SVI ยังมี Backlog ราว 600 ล้านเหรียญสหรัฐ KGI ประเมินยอดขายปี 2568 ของ SVI ไว้ที่ 655 ล้านเหรียญสหรัฐ

SVI คาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 ที่ 9.0-9.5% ลดลงจาก 9.9% ในปี 2567 เนื่องจาก SVI มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงเป็นพิเศษในครึ่งปีแรกของปี 2567 จากคำสั่งซื้อพิเศษ KGI ประเมินอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 ของ SVI ไว้ที่ 9.4% ซึ่งอยู่ในระดับบนของช่วงเป้าหมายของบริษัท

แนวโน้มผลประกอบการที่ไม่น่าดึงดูดในระยะสั้น

แม้ว่า KGI จะประเมินยอดขายปี 2568 ต่ำกว่าเป้าหมายของ SVI ประมาณ 6% แต่อัตรากำไรขั้นต้นที่ KGI ประเมินนั้นอยู่ในระดับบนของช่วงเป้าหมายของบริษัท ดังนั้น KGI จึงมองว่ามีโอกาสที่ประมาณการกำไรปี 2568 ของ KGI จะปรับขึ้นได้จำกัด

KGI คาดการณ์ว่าผลประกอบการของ SVI ในระยะสั้นจะไม่น่าดึงดูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งปีแรกของปี 2568 เนื่องจากฐานกำไรขั้นต้นที่สูงในครึ่งปีแรกของปี 2567 แม้ว่าบริษัทจะคาดหวังว่ายอดขายในไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2568 จะดีกว่าไตรมาส 4 ของปี 2567 แต่อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจะทำให้กำไรหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

คำแนะนำและปัจจัยเสี่ยง

KGI แนะนำให้นักลงทุนรอดูสถานการณ์และจับตาดู Momentum ของยอดขายในครึ่งปีแรกของปี 2568 เพื่อยืนยันการกลับมาของคำสั่งซื้อและผลกำไร KGI คงคำแนะนำ "Neutral" โดยมีราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 7.00 บาท อิงจาก PER 13.0 เท่า (-0.25 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าเฉลี่ยในอดีต)

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ ภัยธรรมชาติ, การหยุดดำเนินการของโรงงานโดยไม่ได้วางแผน, ลูกค้าย้ายไปใช้บริการจากผู้ผลิตรายอื่น, การขาดแคลนวัตถุดิบ, ค่าเงินบาทแข็งค่า, และความล่าช้าในกระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์

โพสต์ล่าสุด