บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

TAE รายงานรายได้รวมปี 2567 ที่ 2,360.91 ล้านบาท ลดลง 11.88% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ทำได้ 2,679.17 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 22.46 ล้านบาท ลดลง 25.83% จาก 30.28 ล้านบาทในปีก่อนหน้า โดยมีกำไรต่อหุ้นลดลงจาก 0.030 บาท เป็น 0.022 บาท สาเหตุหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายเอทานอลที่ลดลง

• รายได้: รายได้จากการขายลดลง 14.47% หรือ 382.74 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจเอทานอลที่ลดลงถึง 390.80 ล้านบาท เนื่องจากการจำหน่ายที่ลดลง 15.49% แม้ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
• ค่าใช้จ่าย: ค่าใช้จ่ายรวมลดลง 11.72% หรือ 310.44 ล้านบาท โดยต้นทุนขายลดลงตามปริมาณการจำหน่ายเอทานอลที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลงจากค่าขนส่งที่ต่ำลง
• กำไรขั้นต้น: ถึงแม้รายได้จะลดลง แต่บริษัทฯ ยังมีกำไรขั้นต้น 213.18 ล้านบาท คิดเป็น 9.42% ของรายได้จากการขาย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาจำหน่ายเอทานอลโดยเฉลี่ย และต้นทุนขายเอทานอลโดยเฉลี่ยที่ลดลง

• สินทรัพย์: สินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2,900.68 ล้านบาท ลดลง 6.19% จากปีก่อนหน้า โดยสินทรัพย์หมุนเวียนและไม่หมุนเวียนลดลง
• หนี้สิน: หนี้สินรวมลดลง 14.86% มาอยู่ที่ 1,224.53 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว
• ส่วนของผู้ถือหุ้น: ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 1.36% เป็น 1,676.15 ล้านบาท ทำให้มูลค่าหุ้นตามบัญชีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
• อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E): อยู่ที่ 0.73:1 เท่า แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ดี

TAE คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและเอทานอลเฉลี่ยในปี 2568 จะทรงตัว หากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการใช้เอทานอลจากผลผลิตทางการเกษตรที่ชัดเจน จะส่งผลให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบในฤดูกาลผลิต 2567/68 จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กากน้ำตาลมีปริมาณเพิ่มขึ้นและราคามีแนวโน้มลดลง

โดยสรุป ผลประกอบการปี 2567 ของ TAE ได้รับผลกระทบจากการลดลงของปริมาณการจำหน่ายเอทานอล อย่างไรก็ตาม ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง และยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากู้ยืมเงินได้ อนาคตของบริษัทฯ ขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐและการเพิ่มขึ้นของผลผลิตอ้อย