https://aio.panphol.com/assets/images/community/12785_D3A6D5.png

PLE พลิกกำไร! ไตรมาส 3/68 โกย 11.1 ล้านบาท แม้รายได้หด

P/E -100.00 YIELD 0.00 ราคา 0.18 (0.00%)

บมจ. เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 11.1 ล้านบาท แม้รายได้รวมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 45.5% จากปีก่อนหน้า

ไฮไลท์สำคัญ: พลิกฟื้นท่ามกลางความท้าทาย

  • กำไรสุทธิ 11.1 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 707 ล้านบาทในปีก่อนหน้า
  • รายได้รวม 4.2 พันล้านบาท ลดลง 45.5% จากปีก่อนหน้า
  • กำไรขั้นต้นพุ่ง 14.4% จากปีก่อนหน้าที่ขาดทุนขั้นต้น 4.2%
  • งานในมือ (Backlog) รวม 10.6 พันล้านบาท

ผลประกอบการ: รายได้หด แต่กำไรมา

ในไตรมาส 3/2568 PLE มีรายได้รวม 4.2 พันล้านบาท ลดลง 45.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (7.7 พันล้านบาท) โดยรายได้หลักมาจากสัญญาการก่อสร้าง ซึ่งอยู่ที่ 4.02 พันล้านบาท ลดลง 45.7% จาก 7.4 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ที่ 14.4% ในขณะที่ปีก่อนขาดทุนขั้นต้น 4.2% เนื่องจากควบคุมต้นทุนวัสดุหลักและแรงงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 11.1 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 0.007 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 707 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.519 บาท

วิเคราะห์สถานการณ์: ความท้าทายในอุตสาหกรรม

เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำ และการแข่งขันที่สูงในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ PLE โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการเลื่อนการเปิดประมูลออกไป ทำให้ผู้รับเหมาต้องแข่งขันกันอย่างมากเพื่อให้ได้งาน ต้นทุนงานก่อสร้างลดลงเมื่อเทียบกับรายได้จากงานก่อสร้าง โดยในปี 2568 มีต้นทุนงานก่อสร้าง 3.44 พันล้านบาท คิดเป็น 85.6% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีต้นทุน 7.72 พันล้านบาท คิดเป็น 104.2% ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจาก 329 ล้านบาทในปี 2567 เป็น 458.7 ล้านบาทในปี 2568 (เพิ่มขึ้น 39.4%) ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินลดลงจาก 328.5 ล้านบาท (4.3% ของรายได้) ในปี 2567 เป็น 284 ล้านบาท (6.7% ของรายได้) ในปี 2568 เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน

ภาพรวมบริษัท: สินทรัพย์ลด หนี้สินลด แต่ D/E Ratio ทรงตัว

ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 14.01 พันล้านบาท ลดลง 6% จาก 14.85 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า โดยเป็นการลดลงของสินทรัพย์หมุนเวียน หนี้สินรวมลดลงจาก 13.39 พันล้านบาทในปี 2567 เป็น 12.43 พันล้านบาทในปี 2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดลงของเจ้าหนี้การค้าและเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ในระดับเดียวกับปี 2567 ที่ 7.85 เท่า (ปี 2568 อยู่ที่ 7.87 เท่า) บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนในเดือนมิถุนายน 2568 และลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วในเดือนตุลาคม 2568 เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 บริษัทมีงานในมือรวม 10.6 พันล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปี 2568 และปีต่อ ๆ ไป บริษัทยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจแบบเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

โพสต์ล่าสุด