TATG เผยกลยุทธ์ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมอัปเดตผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568

P/E 4.82 YIELD 7.45 ราคา 0.94 (0.00%)

TATG เผยกลยุทธ์ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมอัปเดตผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568

สวัสดีค่ะ ท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้ที่สนใจทุกท่าน ในงาน Opportunity Day ไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2568 ของบริษัท ไทยออโต้ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG

บริษัท ไทยออโต้ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2536 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท รับออกแบบและสร้างเครื่องมือแม่พิมพ์โลหะ โดยโรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ที่ถนนริมคลองประปา เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ในปี 2547 ได้ย้ายและมาตั้งโรงงานขนาดใหญ่ที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พร้อมขยายธุรกิจให้ครอบคลุมถึงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในปี 2553 ได้ทำการเปิดบริษัทย่อย 1 แห่ง คือ บริษัท ไทยออโต้ทูล ปทุมธานี จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจออกแบบและสร้างแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ อุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ ในปี 2555 เปิดบริษัทย่อยอีก 2 แห่งในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ได้แก่ บริษัท ไทยออโต้ทูล ชลบุรี จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และชุบเคลือบสีชิ้นส่วนด้วยระบบไฟฟ้า และบริษัท ไทยออโต้ทูล อีสเทิร์น จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และติดตั้งเครื่องจักรควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อรองรับการผลิตที่มีปริมาณมาก

ต่อมาในปี 2566 บริษัทจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเพิ่มทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จากเดิม 300 ล้านบาท เป็น 400 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2567

บริษัทได้กำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ในการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทดังนี้

  1. วิสัยทัศน์: เป็นผู้นำการออกแบบและสร้างแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึด อุปกรณ์ตรวจสอบ และชิ้นส่วนยานยนต์คุณภาพสูงในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในระดับสากล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและบุคลากรที่มีคุณภาพ
  2. พันธกิจ: บริษัทมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพบุคลากร เทคโนโลยี และฐานการผลิตแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ อุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ และฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ให้คุณภาพมาตรฐานในระดับสากล ทัดเทียมกับผู้ผลิตในระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและพึงพอใจให้ลูกค้าทั้งด้านคุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบ

ปรัชญาในการดำเนินธุรกิจ: เติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน

เป้าหมายการดำเนินธุรกิจ: เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า บริษัทมีการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล และมีการส่งมอบให้บุคลากรของบริษัท และห่วงโซ่อุปทานปฏิบัติตามนโยบาย SQCDE อย่างเคร่งครัด

สำหรับข้อมูลหลักทรัพย์ อัปเดตเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 Market Cap 380 ล้านบาท จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 27.75% PE 5.75 เท่า ทั้งนี้ในกลุ่มบริษัทได้รับมาตรฐาน ISO และ IATF ตามที่ปรากฏอยู่ในสไลด์

ลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัท ไทยออโต้ทูล แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 2 ประเภทหลักดังนี้

  1. ธุรกิจออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ออกแบบและผลิตแม่พิมพ์โลหะ, ออกแบบและสร้างอุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ, ออกแบบและสร้างอุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ
  2. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท คือ กลุ่มที่เป็นลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ เช่น บริษัท Toyota, Honda, Isuzu, Nissan, Mitsubishi, Ford เป็นต้น สองลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน เทียร์ 1 ตามที่ปรากฏในสไลด์ประมาณมี 20 กว่าบริษัท นอกจากสองกลุ่มแล้ว บริษัทยังมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น บริษัท Carrier, บริษัท Daikin และก็กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ เช่น Harley Davidson และ Honda เป็นต้น

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปี 2568 อัปเดตจากภาพรวมอุตสาหกรรม รถยนต์ผลิตได้ทั้งหมดในปี 2568 724,715 คัน ขายภายในประเทศ 475,013 คัน และส่งออก 249,702 คัน ภาพรวมลดลงจากปี 2567 ประมาณ 4.80% ทั้งนี้โดยภาพรวม ปริมาณการผลิตรถยนต์ การผลิตรถยนต์ในครึ่งปีแรกมีแนวโน้มที่ลดลง เมื่อเทียบกับปี 2567 เนื่องจากปัจจัยหลัก สถานการณ์การขึ้นภาษีของอเมริกา แล้วก็ สภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังชะลอตัวอยู่ ทำให้เข้มงวด สถาบันการเงินมีความเข้มงวด แล้วก็เรื่องของ ภาระหนี้ครัวเรือนนี้ยังสูงอยู่

ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2568 มีรายได้รวมทั้งหมด 1,376 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 36 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้าจำนวน 1,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 36 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.7 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดจากรายได้ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จำนวน 22 ล้านบาท และรายได้ธุรกิจออกแบบผลิตเครื่องมือจำนวน 14 ล้านบาท เนื่องจากมีคำสั่งซื้อของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มมากขึ้น

กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2568 มีกำไร 43 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.24 โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนขาย ต้นทุนบริการ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด 2,286 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 56 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.51 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากมูลค่างานที่แล้วเสร็จแต่ยังไม่ได้เรียกเก็บของงานบริการ หนี้สินรวมของบริษัทมีทั้งหมด 1,169 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 104 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.18 โดยส่วนใหญ่ลดลงจากการจ่ายคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมีทั้งหมด 1,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 160 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.73 เกิดจากการเพิ่มทุนและกำไรสุทธิของบริษัท

อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ในส่วนของ ROA และ ROE ในไตรมาส 2 ปี 2568 ของบริษัทอยู่ที่ร้อยละ 3.77 และร้อยละ 8.2 จะเห็นว่า ROA และ ROE ของบริษัทมีผลตอบแทนลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เกิดจากการปรับตัวลดลงของกำไรสุทธิ ส่วน DE Ratio ในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 1.05 เท่า เห็นได้ว่า DE Ratio ของบริษัทดีขึ้นจากเดิม เกิดจากกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น มีการเพิ่มทุน และก็การจ่ายชำระหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG)

บริษัท ไทยออโต้ทูล แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความสำคัญในส่วนของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนครบทั้ง 3 มิติ

  1. มิติสิ่งแวดล้อม: ให้ความสำคัญในเรื่องการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  2. มิติสังคม: โครงการนักศึกษาฝึกงาน
  3. มิติด้านการกำกับดูแลกิจการ: การฝึกอบรมพนักงาน ความพึงพอใจของลูกค้า และในการเข้าร่วมแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต หรือโครงการ CAC

ในส่วนที่ 1 มิติทางด้านสิ่งแวดล้อม ทางบริษัทก็ได้มีโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ขนาด 2,033.60 กิโลวัตต์พีค ของกลุ่มบริษัททั้งที่จังหวัดปทุมธานี แล้วก็ชลบุรี รวมกันทั้งหมด 3 แห่ง ทั้งนี้นะคะในส่วนของครึ่งปีแรกนะคะ จะขออนุญาตรายงานนะคะ ผลการประเมินคาร์บอนฟุตปริ้นท์นะคะ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ดังนี้ สำหรับสโคปที่ 1 นะคะ สโคปที่ 1 จะเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงนะคะ ซึ่งได้มาจากการเผาไหม้น้ำมัน หรือการเผาไหม้แก๊สนะคะ ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ก็จะปล่อยอยู่ที่ 657 ตันคาร์บอนนะคะ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ก็ จะมีผลต่าง ที่อาจจะเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 1 ตันคาร์บอนค่ะ สำหรับสโคปที่ 2 นะคะ จะเป็นในส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมนะคะ ก็คือในเรื่องของการใช้พลังงานไฟฟ้า

ดังจะเห็นว่า บริษัทได้ติดตั้ง ตัวโซลาร์รูฟท็อป นะคะ เพราะฉะนั้นในครึ่งปีแรกนี้เนี่ย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสโคปนี้นะคะ จะอยู่ที่ 2,083 ตันคาร์บอนค่ะ ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 2,284 ตันคาร์บอนนั้นจะเห็นว่า ตรงเนี้ย เป็นส่วนต่างที่ลดลงอย่างชัดเจนนะคะ โดยลดลงอยู่ที่ 201 ตันคาร์บอนค่ะ สำหรับสโคปที่ 3 จะเป็น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ นะคะ เช่น การได้มาซึ่งวัตถุดิบ และกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในองค์กรนะคะ ในครึ่งปีแรกนี้ อาจจะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นนิดนึงนะคะ เราปล่อยอยู่ที่ 46,186 ตันคาร์บอนค่ะ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 44,936 ตันคาร์บอนนั้นนะคะ อาจจะมีส่วนต่างนี้เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 1,250 ตันคาร์บอนค่ะ เนื่องจากว่า กิจกรรม หรือว่า วัตถุดิบ นะคะ ที่มีการผลิต ในช่วงครึ่งปีแรก ที่ได้รับงานจากลูกค้ามา มีขนาดใหญ่มากกว่าวัตถุดิบ ที่เราทำการปกตินะคะ

ซึ่งตรงนี้นี่ ทางผู้บริหารและคณะกรรมการพลังงาน ก็จะได้ทำการเข้าดูแล้วก็ควบคุมนะคะ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสโคป 3 ในลำดับถัดไปนะคะ สำหรับ 3 สโคป รวมกันแล้วอ่ะค่ะ ในครึ่งปีแรกนะคะ จะอยู่ที่ 48,926 ตันคาร์บอนค่ะ ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีที่แล้ว 47,876 ตันคาร์บอนเนี่ย ก็อาจจะมีผลต่างที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในส่วนของครึ่งปีแรกนะคะ ที่ 1,050 ตันคาร์บอนค่ะ ในส่วนของมิติทางด้านสังคมนะคะ บริษัท ก็ ให้ความสำคัญนะคะ กับหน่วยงาน แล้วก็สถาบันนะคะ โดยการ เราก็มีโครงการหลับนักศึกษา ฝึกงานมาโดย ตลอดนะคะ ในส่วนของปี 2567 ทั้งปีนั้น ก็มีจำนวนอยู่ที่ 12 สถาบันนะคะ มีผู้เข้าร่วมนะคะ 45 คนค่ะ ในส่วนของครึ่งปีแรก ประจำปี 2568 ก็มีส่งเข้ามาแล้ว 6 สถาบันนะคะ รวมอยู่ที่ 21 คนค่ะ

สำหรับมิติด้านการกำกับดูแลกิจการนะคะ บริษัทก็ให้ความสำคัญในการฝึกอบรมพนักงานมาอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าพนักงานก็เป็นจุดสำคัญ หัวใจสำคัญของบริษัทเลย สำหรับปี 2568 นี้ เราตั้งเป้าหมาย การฝึกอบรมอยู่ที่ 101 หลักสูตรนะคะ ผ่านไปครึ่งปีแล้วค่ะ ก็ได้ 62 หลักสูตรแล้ว คิดว่า จบปีเราก็จะ achieve target เป็นแน่นอนนะคะ สำหรับผลการ สำรวจความพึงพอใจของลูกค้านะคะ ก็เป็นไปตามเป้าหมายนะคะ ว่าเราให้ความสำคัญในส่วนของ SQCDE นะคะ เพราะฉะนั้นในการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า เราจะทำปีละ 2 ครั้ง ในส่วนของครึ่งปีแรกนะคะ ก็ได้อยู่ที่ 9.86 นะคะ ก็ achieve target ก็คืออันนี้เกิน target ที่ตั้งไว้นะคะ ก็ บริษัทก็ยัง ให้ความสำคัญนะคะ ในเรื่องของการทำงานกับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องค่ะ

ในส่วนของ โครงการแนวร่วมต่อ ต้าน คอร์รัปชั่นของภาคเอกชนไทยนะคะ เนื่องจากบริษัท จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์นะคะ ในวันที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมานะคะ ในส่วนของโครงการ CAC นี้ บริษัทก็ ให้ความสำคัญนะคะ แล้วก็ได้ศึกษา ขั้นตอนนะคะ เพื่อที่จะได้รับการ certify นะคะ ขณะนี้บริษัท อยู่ในขั้นตอน ของการ ประกาศเจตนารมณ์นะคะ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมานะคะ เป็นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท นะคะ ครั้งที่ 3 ปี 2568 ทาง คณะกรรมการบริษัท ก็มีมตินะคะ อนุมัติ การเข้าร่วมนะคะ เป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่นของภาคเอกชนไทยนะคะ เพื่อทำการ ยื่นประกาศเจตนารมณ์นะคะ เพราะฉะนั้นตอนนี้บริษัท ก็อยู่ในขั้นตอนการ ส่งยื่นประกาศเจตนารมณ์นะคะ แล้วก็รอการอนุมัติจากทางหน่วยงานค่ะ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า บริษัทก็ให้ความสำคัญนะคะ ในส่วนของ ESG ครบทั้ง 3 มิตินะคะ แล้วก็วันนี้ ทางผู้บริหารก็ได้อัปเดตข้อมูลนะคะ ในส่วนของผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ในลำดับต่อไป ก็จะเป็น ในส่วนของการตอบคำถามนะคะ สำหรับนักลงทุนแล้วก็ผู้ ถือหุ้น หรือผู้ที่รับฟังที่ ได้เข้ามาชมนะคะ เดี๋ยวขออนุญาตดูคำถามสักครู่นะคะ

Q&A Session (เริ่ม นาทีที่ 36:23)

  • แนวโน้มงบไตรมาส 3:
    1. ไตรมาส 3 จะดีเท่ากับไตรมาส 2 หรือไม่ เพราะอะไร
    2. ยอดขายไตรมาส 1 และ 2: ประมาณ 1,376 ล้านบาท
    3. คาดการณ์: ไตรมาส 2 และ 3 จะพอๆ กัน
    4. เหตุผล:
      • ภาพรวมธุรกิจภายนอก: ผู้ผลิตรถยนต์ลดลง
      • กำลังซื้อภายในประเทศ: น้อยลงจากภาวะเศรษฐกิจ
      • ส่งออก: ได้น้อยลงเนื่องจากภาษีของสหรัฐอเมริกา
      • บริษัท: มีลูกค้าหลากหลาย สามารถคงระดับยอดขายได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเล็กน้อย
  • ภาพรวมปี 2568:
    1. รายได้จะอยู่ที่ประมาณเท่าไร
    2. ตั้งเป้า: 3,000 ล้านบาท
    3. ปีที่แล้ว: ทำได้ 2,700 ล้านบาท
    4. ครึ่งปีแรก: ทำได้ 1,376 ล้านบาท
    5. ประมาณการ: ไม่น่าจะต่ำกว่าปี 2567
  • ปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ:
    1. ทุกวิกฤตมีโอกาส
    2. การผลิตรถยนต์ในประเทศชะลอตัว: ดีมานด์น้อยลง แต่ซัพพลายก็น้อยลงด้วย
    3. บริษัทมีความแข็งแกร่ง: ด้านบุคลากรและการเงิน
    4. ลูกค้า: ยังใช้บริการต่อเนื่อง เพราะบริษัทแข็งแรง
    5. โอกาส: นำบริหารจัดการในภาวะวิกฤต ให้ยืนอยู่ได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเป้า
  • ทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลัง:
    1. จะเป็นอย่างไร ดีกว่าครึ่งปีแรกหรือไม่
    2. ต้องดู: สภาพภายนอกไม่ค่อยดี แต่บริษัทไม่น่าจะน้อยกว่าปี 2567 (ตอบไปแล้ว)
  • ปัจจัยภายนอก (เศรษฐกิจ):
    1. จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจครึ่งปีหลังมากน้อยเพียงใด
    2. คิดว่าไม่: คำสั่งซื้อการผลิตเครื่องมือมาถึงสิ้นปีแล้ว
    3. การผลิตชิ้นส่วน: มี forecast ถึงสิ้นปีแล้ว
    4. ประมาณการ: ไม่น้อยกว่าปี 2567 (บอกไปแล้ว)
    5. การผลิตรถ: อาจจะเท่าๆ กับปีที่แล้วหรือน้อยกว่าเล็กน้อย (ข้อมูลจากสถาบันยานยนต์)
  • ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ (อเมริกา):
    1. กระทบหรือไม่ อย่างไร
    2. กระทบไม่มาก: บริษัทรถยนต์ในไทยไม่ได้ส่งรถยนต์ไปอเมริกาเหนือ (รถปิกอัพ)
    3. ส่งออกรถยนต์ของไทย: ไปตะวันออกกลาง, ออสเตรเลีย, ยุโรป, เอเชียแปซิฟิก
    4. ติดตามอยู่: ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ กระทบน้อยมาก
  • สิ่งที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน:
    1. ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ บริษัทมองว่าอะไรสำคัญ และควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นหลัก
    2. การแข่งขันระดับสากล: ในอนาคตต้องแข่งกับจีนหรือเวียดนาม
    3. ประเทศไทย: ต้องพัฒนาบุคลากร
    4. TATG: เน้นพัฒนาบุคลากรมาตั้งแต่เดิม เติมองค์ความรู้ให้วิศวกร/ช่างเทคนิค ให้เป็นนักเทคโนโลยีชั้นสูง สั่งซื้อเทคโนโลยีมาด้วย
    5. บุคลากร: ต้องมีคุณภาพสูง
    6. เทคโนโลยี: ต้องสูง
    7. TATG: มีคนคุณภาพและเทคโนโลยีสูง สามารถทำการแข่งขันเพื่อ productivity ได้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเครื่องมือและผลิตชิ้นส่วน ทำให้ต้นทุนต่ำลง
    8. สุดท้าย: ต้องทำต้นทุนให้ต่ำ เพื่อให้มีกำไรที่มากขึ้น
  • สัดส่วนรายได้:
    1. การประกอบธุรกิจมีสัดส่วนรายได้มาจากส่วนไหนบ้าง (กี่เปอร์เซ็นต์)
    2. แผนธุรกิจปี 2567: ทำไว้ 3,000 ล้านบาท
    3. ผลิตชิ้นส่วน: 2,700 ล้านบาท
    4. ผลิตเครื่องมือ: 300 ล้านบาท
    5. เครื่องมือ: สำคัญ เพราะแม่พิมพ์โลหะที่ผลิต 300 ล้านบาท สามารถไปผลิตชิ้นส่วนได้ในระยะ 4-5 ปี ได้หลายพันล้าน
    6. ผลิตเครื่องมือ: เป็นหัวใจในการแข่งขันธุรกิจระดับนานาชาติ
    7. สรุป: มี 2 แบบคือ ผลิตเครื่องมือ 300 ล้านบาท (เครื่องมือในการผลิตชิ้นส่วน) และผลิตชิ้นส่วนปีหนึ่งประมาณ 2,700 ล้านบาท (ประเมินไว้เมื่อปี 2567, แผนปี 2568) ต้องดูปลายปีว่าผลจะเป็นอย่างไร
  • การลงทุนในปีนี้:
    1. มีความคืบหน้าอย่างไร เน้นไปที่ส่วนใด
    2. สั่งซื้อเครื่องจักรอัตโนมัติ: มาเพิ่มให้โรงผลิตเครื่องมือ (TATP: Thai Autotool and Die Pathumthani)
    3. เครื่อง CNC, เครื่องเลเซอร์: เพื่อเพิ่มเทคโนโลยีการผลิต ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น
    4. ติดตั้งเครื่องจักร Robot: ให้กับไลน์ผลิตในกลุ่มบริษัท TAT เพื่อให้มีการผลิตที่มีจำนวนต่อชั่วโมงสูงขึ้น และลดจำนวนคนลง เพื่อลดต้นทุน
    5. อนาคต: จะเน้นไปที่ซื้อเครื่องจักรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นของบริษัท TAT Thai Autotool and Die Pathumthani เพราะต้องการขยายงานแม่พิมพ์ที่มีขนาดไซส์ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาติดต่ออยู่ อยากจะให้ทำแม่พิมพ์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จะต้องสั่งเครื่องที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาเพิ่มในอนาคต
  • ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ครึ่งปีหลัง:
    1. จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกไหม
    2. ดูจาก: ตอนนี้ผ่านมา 8 เดือนแล้ว
    3. คาดว่า: ปลายปีนี้ (เหลือ 4 เดือน) น่าจะเท่าๆ กับต้นปี เพราะปัจจัยลบยังมีเยอะ
    4. ปัจจัยลบภายในประเทศ: ทุกท่านคงเห็นอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อ
    5. สรุป: ถ้าได้เท่ากับปีที่แล้วถือว่าดีแล้ว เพราะประเทศไทยมีปัจจัยลบหลายด้าน

สรุป Opportunity Day TATG ไตรมาส 2 ปี 2568

จากการนำเสนอผลประกอบการและตอบคำถามในงาน Opportunity Day ไตรมาส 2 ปี 2568 ของ TATG พบว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา แต่ยังคงสามารถรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนได้ ด้วยความหลากหลายของลูกค้าและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยมีแผนที่จะลงทุนในเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคต แม้ว่าทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ในครึ่งปีหลังยังไม่แน่นอน แต่บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับผลประกอบการให้ใกล้เคียงกับปีที่แล้วได้

โพสต์ล่าสุด