OR Oppday Summary

P/E 12.96 YIELD 3.03 ราคา 13.20 (0.00%)

## OR โชว์ผลงาน Q2/2568: ทิศทางสดใส พร้อมลุยธุรกิจ Lifestyle และ Global

Opportunity Day ใน session ของ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) นำเสนอผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีผู้บริหารและทีมนักลงทุนสัมพันธ์เข้าร่วมนำเสนอ

โดยมี คุณวิไลวรรณ กาญจนกanti รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO), คุณปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์, และคุณสันวิช รุจิวิพัฒน์ นักการเงินฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์

การนำเสนอแบ่งเป็น 2 session คือ ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 และช่วง Q&A

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ

*

รายได้รวม 349,000 ล้านบาท ลดลง 2.5% จากกลุ่มธุรกิจ Mobility และ Global ที่ราคาขายเฉลี่ยต่อลิตรลดลงตามราคาน้ำมันโลก แต่ปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้น

*

EBITDA 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากธุรกิจ Lifestyle ที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง และกลุ่มธุรกิจ Global ที่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรดีขึ้นในประเทศลาว รวมถึงมาตรการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของ OR

*

กำไรสุทธิ 6,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน และกำไรจากตราสารอนุพันธ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น

รายได้หลักยังคงมาจากกลุ่ม Mobility (88%) ตามด้วย Global (8%) และ Lifestyle (3%) ในขณะที่ EBITDA หลักมาจาก Mobility (60%) Lifestyle (32%) และ Global (9%) OR ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดน้ำมันด้วย Market Share 40.1% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568

PT Station มีจำนวน 2,768 สถานี เพิ่มขึ้น 14 สถานี (ในประเทศ 2,345 สถานี, ต่างประเทศ 423 สถานี) EV Station PluZ มี 1,285 แห่ง เพิ่มขึ้น 91 แห่ง (2,576 หัวชาร์จ DC) ครอบคลุม 77 จังหวัด Cafe Amazon มี 4,944 สาขา เพิ่มขึ้น 93 สาขา (ในประเทศ 4,511 สาขา, ต่างประเทศ 433 สาขา) ยอด Cup Sales เติบโตต่อเนื่อง โดย 6 เดือนแรกมียอดขาย 227 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 11 ล้านแก้วจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ Jiffy และ 7-Eleven มี 2,436 สาขา เพิ่มขึ้น 41 สาขา (ในประเทศ 2,339 สาขา, ต่างประเทศ 97 สาขา)

การขยายสาขาและการเสริมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้ธุรกิจ Lifestyle ส่งผลให้ PT Station มีผู้ใช้บริการกว่า 3.9 ล้านคนต่อวัน

2. โอกาสทางธุรกิจ

*

การขยายสถานีบริการ PT และ EV Station PluZ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค

*

การเติบโตของธุรกิจ Lifestyle โดยเฉพาะ Cafe Amazon และร้านสะดวกซื้อ

*

การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ

*

ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีความผันผวน

*

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดน้ำมันและธุรกิจ Lifestyle

*

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศและต่างประเทศ

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ

*

การบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

*

การสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ

*

การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และความต้องการของตลาด

5. แนวโน้มและอนาคต

*

OR มุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจ Lifestyle และ Global มากขึ้น

*

OR ให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม

*

OR ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานทางเลือก

OR ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีกระแสเงินสดที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและการขยายการลงทุนในอนาคต

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [01:16:46]

* **เป้าหมาย EBITDA ต่อลิตรปีนี้และปีหน้า** * ปีที่แล้ว OR มี EBITDA ค่อนข้างต่ำลงมาอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท * ปีนี้คาดว่าจะกลับไปที่เดิมคือประมาณ 20,000 ล้านบาท * หวังว่า Bottom Line จะกลับไปที่ Normal คือระดับกำไร 10,000 ล้านบาท ขึ้นกับปัจจัยในครึ่งปีหลัง * **ประเมินรายได้ในไตรมาส 3 และทั้งปีนี้** * รายได้โดยหลักมาจากธุรกิจน้ำมันหรือ Mobility ซึ่งผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาด * ราคาน้ำมันในไตรมาส 3 เฉลี่ยประมาณ 70 เหรียญ เทียบกับไตรมาส 2 ที่ประมาณ 60 กว่าเหรียญ * คาดว่ารายได้น่าจะสูงขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ทั้งปีน่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว * Volumn จะปรับเพิ่มขึ้น 1-2% ทำให้ First Line น่าจะเพิ่มขึ้นในระดับ 1-2% * **สถานการณ์ปั๊มและอเมซอนในกัมพูชา** * Impact น้อยมาก * แนวจังหวัดที่ติดกับกัมพูชามีบางปั๊มที่ได้รับผลกระทบ * ดูแลใกล้ชิดกับดีลเลอร์ เยียวยากันไป * มี PT Cambodia เป็นรูปของ OR 100% * EBITDA จากกัมพูชาประมาณ 5% ของทั้งปี แต่ครึ่งปีแรกค่อนข้างดี * พอเกิดเหตุการณ์ที่ชายแดน Volume ลดน้อยถอยลง * เกิดกระแสชาตินิยม สินค้าแบรนด์ไทยยอดจะปรับลง รวมถึง PT Station * มีธุรกิจทั้ง Mobility และ Lifestyle * ถ้าเทียบสัดส่วนกับเมืองไทยแล้วจะน้อยกว่า * Impect ในไตรมาส 2 น้อยมากเพราะเหตุการณ์เกิดปลายไตรมาส * ไตรมาส 3 คาดว่ายอดขายในกัมพูชาจะลดลง * บางดีลเลอร์อยากจะ Rebrand ไปเป็น Station ที่ดูเป็น Local * จำนวนไม่เยอะ * ดีลเลอร์ที่เข้ามาหารือว่าอยากจะขอเปลี่ยนไปแบรนด์อื่น * ลดทอนกระแส * Pattern การดำเนินธุรกิจ คล้ายๆ เมืองไทย * OR ดำเนินการเอง(COCO) เทียบกับ(DODO) ที่ให้ Franchise * Or ดำเนินการ 10% ที่เหลือปล่อย Franchise * Long Term คาดว่าครึ่งปีหลังผลกระทบยอดขายจะลดลง * Exit จากแบรนด์ต้องมีการฟ้องร้องหรือไม่ * ดูแล Treatment ดีลเลอร์ ไทย และกัมพูชา หลักการเดียวกัน * ดำเนินงานในสัญญา เค้าจะมีบอก * อยู่กับเรากี่ปี * ถ้าไม่ผิดอะไรก็ทำได้ * ต้องชดเชยค่าเสียหายหรือไม่ * ดูว่าต้องชดเชยค่าความเสียหายหรือไม่ * โดยรวมผลกลับมาโดยรวม OR กัมพูชา OR มีผลกระทบแต่ภาพรวมไม่ได้กระทบมากนัก * เฝ้าดูเหตุการณ์ หวังว่าจะกลับมาปกติ * ความตั้งใจของ OR คง Maintain Existing business และปรับตามสถานะการณ์ * รโมเดลใหม่ ควรเป็นอย่างไร

โดยสรุป OR ยังคงเติบโตได้ดีในหลายธุรกิจ แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ บริษัทมีแผนรับมือและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์

โพสต์ล่าสุด