KISS เติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดสกินแคร์ มุ่งสู่ผู้นำระดับภูมิภาค ปี 2568

P/E 11.28 YIELD 11.62 ราคา 3.00 (0.00%)

KISS เติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดสกินแคร์ มุ่งสู่ผู้นำระดับภูมิภาค ปี 2568

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

  • ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 เป็นที่น่าพอใจ ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น และสถานะทางการเงินสะท้อนกลยุทธ์ลดสินค้าคงคลังและเพิ่มกระแสเงินสด

  • บริษัททำผลงานได้ดีกว่าเป้าหมายภายในที่ตั้งไว้ และโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ทั้งหมดเป็นไปตามแผน

  • ส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำสถิติสูงสุดที่ 18.2% เพิ่มขึ้นจาก 13.7% ในปีที่แล้ว

  • ยอดขายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า (Moisturizer) ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 5.3% จาก 4.7% ในปีที่แล้ว

  • การเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดเกิดขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางการขาย แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ยังคงมีการเติบโตและขยายตัว

  • อย่างไรก็ตาม ตลาดโดยรวมมีการชะลอตัวลง เนื่องจากการบริโภคลดลงอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย

  • ยอดขายจากร้านค้าปลีกไปยังผู้บริโภค (Sell-out) ยังคงเติบโต โดยในไตรมาส 2 เติบโตขึ้น 34% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ (e-commerce) เติบโตขึ้นถึง 63%

  • ยอดขายให้แก่ร้านค้าปลีก (Semi-credit retailer) ลดลง 50% เนื่องจากบริษัทตั้งใจลดสินค้าคงคลังของร้านค้าปลีกเหล่านี้

  • กระแสเงินสดจากลูกหนี้การค้าและสัญญาเพิ่มขึ้น 83 ล้านบาท

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

  • การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดสกินแคร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า

  • การขยายตัวของช่องทางออนไลน์ (e-commerce) ซึ่งเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง

  • การเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า

  • การสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ C2C ซึ่งเป็นแบรนด์ที่สองของบริษัท

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

  • การชะลอตัวของตลาดสกินแคร์โดยรวม เนื่องจากการบริโภคลดลงอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

  • ความผันผวนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค

  • ความล่าช้าในการอนุมัติผลิตภัณฑ์ในตลาดต่างประเทศ

  • ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริษัท

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

  • การมุ่งเน้นไปที่การเติบโตภายในองค์กรและการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์

  • การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

  • การเร่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศ

  • การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

  • บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายระยะยาวในการสร้างรายได้ 4 พันล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี

  • บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มผลกำไรขั้นต้นเพื่อนำไปลงทุนในการโฆษณาและขยายธุรกิจในต่างประเทศ

  • บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจาก 2% ในปี 2567 เป็น 20%

  • บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไร 15-25% ต่อปี

  • บริษัทมีกลยุทธ์หลัก 6 ประการ ได้แก่ การเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าในประเทศไทย การยกระดับแบรนด์ การเพิ่มผลกำไรและกระแสเงินสด การเสริมสร้างธุรกิจในต่างประเทศ การสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับผู้บริโภค และการเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์และช่องทางการขายใหม่ๆ

  • บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโฆษณาใหม่ ปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ และขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าและผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

  • บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ C2C อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงภาพลักษณ์และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

  • บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [01:08:34]

  1. คำถาม: บริษัทคาดว่าจะเติบโตได้อย่างไรในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่ายอดขายสะสมต้นปีจะไม่สูงนัก?

    คำตอบ: ยอดขายสะสมต้นปี (sell-out) เติบโต 17% แม้ว่ายอดขายให้ร้านค้าปลีก (sell-in) จะติดลบ เนื่องจากการลดสินค้าคงคลัง หากแนวโน้ม sell-out ยังคงที่ sell-in ก็จะเติบโตตามในครึ่งปีหลัง บริษัทได้ปรับปรุงสินค้าคงคลังเสร็จสิ้นแล้ว และจะสามารถจัดส่งสินค้าได้ตามคำสั่งซื้อ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอก เช่น การอนุมัติจาก อย. ในเวียดนามที่ล่าช้า และการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร อาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขได้ แต่บริษัทมั่นใจในความแข็งแกร่งของแบรนด์ และจะสามารถเติบโตได้ในระดับตัวเลขสองหลักในครึ่งปีหลัง

  2. คำถาม: เหตุใด ยอดขายสะสมต้นปีจึงลดลง ในขณะที่ sell-out เติบโต?

    คำตอบ: บริษัทตัดสินใจลดสินค้าคงคลังในร้านค้าปลีก เพื่อเพิ่มกระแสเงินสด Sell-out ที่เติบโตแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริง Sell-in จะเติบโตตาม Sell-out เมื่อสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม

  3. คำถาม: ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อรายได้จะเป็นเท่าใดในปีนี้?

    คำตอบ: บริษัทคาดการณ์ว่า SG&A จะอยู่ที่ 11.7% ถึง 12% ของรายได้ โดยมีปัจจัยหลักคือผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (expected credit loss) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 1-2 ล้านบาทต่อไตรมาส

  4. คำถาม: บริษัทคาดว่าจะตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มขึ้นหรือไม่ในไตรมาสหน้า?

    คำตอบ: บริษัทคาดว่าจะมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญ 1-2 ล้านบาทในแต่ละไตรมาส

  5. คำถาม: บริษัทคาดการณ์สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้ไว้อย่างไร?

    คำตอบ: เป้าหมายเดิมคือ 5% แต่ปัจจุบันทำได้ 7% แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทขอระมัดระวังเนื่องจากมีปัจจัยด้านกฎระเบียบที่ควบคุมไม่ได้ จึงคาดว่าจะทำได้ 7-8% ในปีนี้ และเพื่อลดความเสี่ยง บริษัทกำลังเร่งการเปิดตัวในฟิลิปปินส์

  6. คำถาม: อะไรคือสูตรสำเร็จที่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ KISS เติบโตเร็วกว่าตลาด?

    คำตอบ: นวัตกรรม (Innovation) คือกุญแจสำคัญ บริษัทมีทรัพยากรด้านนวัตกรรมในเกาหลี มีนักวิทยาศาสตร์ และ R&D ที่เชื่อมต่อกับฝ่ายการตลาด ทำให้สามารถระบุแนวโน้มและนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่บ่อยขึ้น และการลงทุนในแบรนด์ รวมถึงการเพิ่มพื้นที่วางสินค้าในร้านค้า และการปรับปรุงการจัดวางสินค้า (In-store placement) และการโฆษณาที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้บริษัทเติบโตได้เร็วกว่าตลาด

  7. คำถาม: นอกจากมาส์กหน้าแล้ว มีผลิตภัณฑ์อื่นใดที่บริษัทคิดว่าจะสามารถเป็นผู้นำตลาดได้?

    คำตอบ: บริษัทต้องการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าทั้งหมด (All face care) มาส์กหน้าคิดเป็น 20% ของตลาด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า (Moisturizer) คิดเป็น 50% ปัจจุบัน KISS เป็นอันดับ 6 แต่คาดว่าจะขึ้นเป็นอันดับ 5 ในปีหน้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า (Face cleanser) คิดเป็น 30% ของตลาด ปัจจุบันบริษัทยังมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย แต่จะเริ่มสร้างแบรนด์ในกลุ่มนี้

  8. คำถาม: บริษัทสนใจที่จะควบรวมกิจการ (M&A) หรือไม่?

    คำตอบ: บริษัทกำลังพิจารณาการควบรวมกิจการที่สอดคล้องกับกลยุทธ์พรีเมียมสกินแคร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า แต่ในระยะสั้น บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร การสร้างเครือข่ายจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และการสร้างกรอบการทำงานที่มั่นคง เมื่อบรรลุเป้าหมายนี้แล้ว บริษัทจะสามารถนำแบรนด์ขนาดเล็กมาผนวกเข้ากับ KISS และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ทันที

  9. คำถาม: บริษัทจะใช้พรีเซนเตอร์ (Brand presenter) หรือไม่?

    คำตอบ: บริษัทได้เซ็นสัญญากับแพทย์ผิวหนัง (Dermatologist) ชาวเกาหลี เธอจะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ และจะปรากฏตัวในการโฆษณาใหม่ที่จะออกอากาศในปีหน้า นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงร่วมงานกับพรีเซนเตอร์คนเดิมสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและลำคอ

โดยสรุป KISS ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดสกินแคร์ โดยมีนวัตกรรมและการขยายตลาดเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก แม้ว่าจะมีปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่บริษัทก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายระยะยาวและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

โพสต์ล่าสุด