Medeze Group OPPDAY Q2/2025: ผ่ากลยุทธ์สเต็มเซลล์ สู่ BioPharmaceutical Company

P/E 26.26 YIELD 2.52 ราคา 6.35 (0.00%)

Medeze Group OPPDAY Q2/2025: ผ่ากลยุทธ์สเต็มเซลล์ สู่ BioPharmaceutical Company

สรุปผลการดำเนินงานและแผนธุรกิจล่าสุดจากงาน Oppday ของ Medeze Group ประจำไตรมาส 2 ปี 2568 โดยเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ, โอกาส, ความเสี่ยง, แนวทางแก้ไข, และแนวโน้มในอนาคต รวมถึงช่วงถาม-ตอบที่เจาะลึกทุกประเด็น

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

  • รายได้รวมไตรมาส 2 อยู่ที่ 198 ล้านบาท, กำไรขั้นต้น 145 ล้านบาท (75%), EBITDA 77 ล้านบาท (39%), และกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท (28%)
  • ครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 408 ล้านบาท, กำไรขั้นต้น 305 ล้านบาท (76%), EBITDA 167 ล้านบาท (41%), และกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท (32%)
  • รายได้รวมลดลง 6% QoQ และ 11% YoY, แต่รายได้ครึ่งปีแรกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน
  • ผลกระทบหลักมาจาก Thaleip Effect ทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
  • ต้นทุนบริการเพิ่มขึ้น 7% QoQ และ 6% YoY, เนื่องจากการเพิ่มจำนวนพนักงานฝ่ายปฏิบัติการและบุคลากรทางการแพทย์
  • ค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้นเป็น 19% จาก 16% เนื่องจากการเพิ่มทีมขายและการตลาด
  • ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 21% จาก 17% เนื่องจากการเพิ่มจำนวนพนักงาน, ค่าเสื่อมราคาอาคารใหม่และโซลาร์เซลล์, และค่าใช้จ่ายในการเข้าตลาดหลักทรัพย์
  • กำไรสุทธิไตรมาสนี้ 55 ล้านบาท (28%), ครึ่งปีแรก 129 ล้านบาท (32%) ลดลงเล็กน้อยจาก 36% ในปีก่อน เนื่องจาก Fix Cost ที่เพิ่มขึ้น
  • สินทรัพย์ลดลงจากไตรมาสก่อน 32 ล้านบาท, หนี้สินไม่เปลี่ยนแปลง, ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 32 ล้านบาทเนื่องจากการจ่ายเงินปันผล
  • กระแสเงินสดรับ 1,010 ล้านบาท, จ่าย 1,290 ล้านบาท, กระแสเงินสดสุทธิติดลบ 230 ล้านบาทเนื่องจากการลงทุนใน Private Banking และการจ่ายเงินปันผล
  • ROE, ROA และ EPS ลดลงเนื่องจาก Asset และ Equity ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์
  • Asset Turnover ลดลงเนื่องจาก Asset ที่เพิ่มขึ้น, Liquidity สูงเนื่องจากมีเงินสดมาก, DE Ratio อยู่ที่ 0.18 เนื่องจากไม่มีการกู้ยืมเงิน

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

  • การเติบโตของรายได้การจัดเก็บสเต็มเซลล์รากผม (Hair Follicle Stem Cell Banking) หลังจากเปิดบริษัทใหม่
  • การขยายธุรกิจด้านการจัดเก็บ Hair Follicle Stem Cell Bank อย่างต่อเนื่อง
  • การติดตั้ง Robot เพื่อช่วย Process Stem Cell เพิ่มความแม่นยำและลดต้นทุน
  • การขยาย Partner ของโรงพยาบาลและคลินิก, รวมถึง Partner ด้านการใช้งาน (หลัง ATMPSandbox สำเร็จ)
  • โครงการ Jump Plus ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วยลดภาระภาษีและสนับสนุนการเติบโต
  • โครงการ ATMP Sandbox เพื่อพัฒนาและผลิตยา ATMP ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

  • ความเสี่ยงจาก Thaleip Effect ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  • ความเสี่ยงด้าน Regulation ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อบังคับ
  • ความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมโครงการ ATMP Sandbox
  • ความเสี่ยงจากการพึ่งพาบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
  • ความเสี่ยงจากการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

  • การเพิ่มทีมขายและการตลาดเพื่อตอบโจทย์รายได้และขยายตลาด
  • การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และโครงการ ATMP Sandbox
  • การเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและสถานที่เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
  • การ Align มาตรฐานการผลิตตาม FDA ยุโรปและปฏิบัติตามมาตรฐาน AABB/NETCORD
  • การใช้ระบบหุ่นยนต์ Robotic เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาบุคลากร

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

  • มุ่งสู่การเป็น BioPharmaceutical Company โดยการผลิตยา ATMPS
  • การใช้ Medeze Plus (AI) เพื่อ Social Listening และปรับปรุงการบริการ
  • การขยายกำลังของทีมเซลล์เพื่อรองรับเคสที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังการขึ้นทะเบียนยา ATMP
  • การวิเคราะห์มูลค่าตลาด ATMP ซึ่งมีศักยภาพสูงถึง 287,000 ล้านบาท
  • การซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานผลิตยา (อยู่ระหว่างการหาพื้นที่สีม่วง)

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 45:22]

  1. แนวโน้มผลประกอบการ Q3 และ Q4/2025
    • Thaleip Effect คาดว่าจะลดลงใน Q3
    • ลูกค้ากัมพูชา คาดว่าจะกลับมาในระยะยาว เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาในไทยยังคุ้มค่า
  2. เป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาท ปี 2568
    • มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ เนื่องจาก Q3 และ Q4 เป็น Peak Season
    • ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น
  3. SGA ที่สูงขึ้น
    • ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะยังคงมีอยู่
    • ตั้งใจทำ ATMP Sandbox ให้มากขึ้น เพราะเป็นประโยชน์ต่อMedeze และ ประชาชนชาวไทย
  4. Partial Tender Offer ของ CORDLIFE
    • ถึงแม้ไม่สำเร็จ แต่ Cordlife ได้เห็นความตั้งใจที่จะร่วมงานด้วยจริง
    • เดอร์ของCordlife มีการนัดMedeze เจรจา พูดคุยเพิ่มเติมในวันที่ 15 สิงหาคม
  5. ยาที่ Medeze ทำการวิจัยอยู่ ต่างประเทศมีการวิจัยมาก่อนหรือไม่
    • โรคข้อเข่าเสื่อมและAnti-aging มีการวิจัยมาก่อนแล้วในเฟส1และ2 ผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่ดี
    • ต่างประเทศใช้สำหรับโรคเฉพาะ แต่ Medeze เน้นโรคทั่วไป เช่น ข้อเข่าเสื่อมและชะลอวัย
  6. ATMP ดีกว่าการรักษาปัจจุบันอย่างไร
    • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าราคา2แสนถึง4แสนบาท ATMP ประมาณ2.5แสนบาท
    • การใช้ Stemcell เป็นการสร้างใหม่ ลดผลข้างเคียง
  7. ความมั่นใจในการวิจัย 5 โรคนี้
    • มั่นใจมาก โดยเฉพาะโรคข้อเข่าเสื่อมที่ทำเฟส1เรียบร้อยแล้ว
    • พยายามเดินตามงานวิจัยที่สำเร็จไปแล้ว
  8. ความมั่นใจว่าคลินิกและโรงพยาบาลจะซื้อและร่วมมือกับMedeze
    • การใช้ATMP เป็นMega Trend ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า
    • โรงพยาบาลหรือว่าคลินิก จะต้องวิ่งมาหาเรา เพราะลูกค้าเรียกร้อง
  9. นอกเหนือจาก5 โรคนี้ Medeze มีแผนพัฒนาATMP อะไรอีกบ้าง
    • สนใจโรคไตเสื่อมจากเบาหวาน ตับแข็ง และหัวใจตีบ
    • โรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของร่างกาย
  10. ปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งใหม่มีผลกระทบต่อMedeze หรือไม่
    • ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งใหม่ เพราะทำสัญญา Sandbox กับกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว
    • สมาชิกของสภาชุดเดิมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับMedeze
  11. มองภาพตลาดLongevity เป็นอย่างไร
    • เทรนด์ Longevity ทั้งในไทยและต่างประเทศ เป็นเทรนด์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    • ปัจจุบันตลาดLongevity ของไทยอยู่ที่2หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ปี2030 จะเพิ่มขึ้นไป7-8 หมื่นล้านบาท เพราะไทยเข้าสู่Aging Society และคนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

โดยสรุป, Medeze Group กำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ ATMP Sandbox ที่จะผลักดันให้บริษัทก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาด BioPharmaceutical

โพสต์ล่าสุด