TTB
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

เจาะลึก TTB: ผลประกอบการ Q3/2568 โอกาสและความท้าทายในโลกการเงินยุคดิจิทัล

Oppday ของ TTB ในปี 2568 ไตรมาส 3 ได้สรุปผลกระทบทางธุรกิจ โอกาส ความเสี่ยง แนวทางแก้ไขปัญหา แนวโน้มในอนาคต และช่วงถาม-ตอบไว้อย่างครอบคลุม

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

TTB ยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์เดิม โดยให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น และยังคงทำเรื่อง Buyback อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันทำไปแล้ว 5 พันล้านบาท และยังมีส่วนที่เหลืออีก 2 พันล้านบาทที่จะดำเนินการต่อไป

ธนาคารยังคงยึดโยงแกน 3 ด้านในการส่งมอบ Bottom Line ได้แก่ การ Manage Cost, การบริหารจัดการ Funding Cost, และการบริหาร Risk Cost ซึ่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

คุณภาพของสินทรัพย์ในภาพรวมค่อนข้างมีเสถียรภาพ และ TTB ค่อนข้าง Fight for Quality ทำให้ Loan year to date หดตัว โดยเน้นการเติบโตของ Loan ที่จะช่วย Sustain NIM ได้ดี

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

TTB เน้นการเติบโตของ Top-Up Loan โดยในไตรมาส 3 จะเห็น Balance ของ Loan ที่โตขึ้นมาจาก Mortgage ซึ่งเป็นผลจาก Strategy ของ TTB ในการออกแคมเปญ Refinance รอบสุดท้าย โดย Offer ต้นทุนให้ลูกค้าที่ถูกกว่าหากเป็นลูกค้าชั้นดี ทำให้ Refinance Loan ของ Mortgage กระโดดโตสูงขึ้นมาก

ธนาคารเน้นโตตรงช่วงนั้น ในขณะที่ Top-Up ในไตรมาส 3 ก็เติบโตได้ค่อนข้างดี ซึ่งเป็นตัว Contribution หลักที่ทำให้ Yield สามารถยืนอยู่ได้

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

Margin ค่อนข้างมีความกดดัน เพราะเมื่อเทียบ Year on Year ดอกเบี้ย Policy Rate ลงมา 1% แล้ว

NIM ณ ปัจจุบันในไตรมาส 3 อยู่ที่ 2.97 ซึ่งต่ำกว่าขอบที่ให้ไว้ที่ 3.1 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาถึง 4 รอบเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้ว

Cost of Fund จะ Lag Behind Policy ที่ปรับลดลงแรง ทุกครั้งที่ปรับ ตัว M Rate กระดาน Board จะปรับทันที ทำให้มาช้ากว่าผลประโยชน์ของการปรับพอร์ตฝั่ง Deposit

C/I ก็เลยจะมีความกดดัน ซึ่ง Interest Margin ค่อนข้างที่จะ Challenge ในการที่จะ Achieve เป้า

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

ธนาคารพยายามที่จะไปโตในส่วนของ Top-Up Loan ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ TTB ก็มีการปรับ Investment Yield ให้สูงขึ้นมาโดยตลอด โดยพยายามบริหารพอร์ต Investment ให้ได้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า Policy Rate ที่ต่ำลง

ธนาคารได้คืน Sub Bond และ AT1 ทำให้แนวโน้ม Cost of Fund ลดลงต่อเนื่อง

TTB พยายามปรับลดตัวเงินฝากที่มีราคาแพงให้ลดลง เพื่อที่จะช่วยลดความกดดันจากตัว Loan Yield ที่ลดลงแรงจาก Policy Rate

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

TTB มองว่าหลายปัญหาที่กำลังเจออยู่ น่าจะเป็น Medium to Long Term และเชื่อว่าดอกเบี้ยขาลงจะยัง Continue ต่อไป

ธนาคารยังคง Continue ที่จะ Carry on เรื่อง Ecosystem โดยมีโฟกัสในการ Target ลูกค้าที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้รถ คนมีบ้าน มนุษย์เงินเดือน และกลุ่มลูกค้า Wealth

TTB พยายามที่จะ Drive Migration อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนสาขาและปรับ Workforce ให้สอดคล้องกับธุรกิจมากขึ้น

TTB มองว่า Digital ไม่ใช่แค่ Low-Cost Channel แต่เป็น Channel ที่ทำ Complex Transaction ได้ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ การขายของกลุ่มลูกค้า Retail ประมาณ 48% Initiate ผ่านช่องทาง Digital

ธนาคารมี Loyalty Program ให้ลูกค้าอย่างชัดเจน และ Assign Personal Mission ให้ลูกค้าตาม Behavior และ Persona เพื่อ Optimize พฤติกรรมและสร้าง Win-Win Situation

ธนาคารเอาความสามารถของ TTB Touch มาทำเป็น Tool ให้พนักงานใช้ในการ Service ลูกค้าได้ Effective มากขึ้น และมี Productivity ที่ดีขึ้น โดยใช้ TTB Enterprise เป็น Unified Platform

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 21.32]

  1. เป้าหมายทางการเงินปี 2568
    • คำถาม: เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ในปีนี้มีตัวไหนบ้างที่จะถึงเป้า และตัวไหนบ้างที่จะต่ำกว่าเป้า พร้อมเหตุผล
    • คำตอบ:

      กำไรสุทธิ 9 เดือนอยู่ที่ 15.4 พันล้าน ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

      ความต้องการสินเชื่อค่อนข้างอ่อนตัว แม้ TTB จะเป็น Retail Focus แต่ก็มีสัดส่วน Large Corporate ถึง 30% ในช่วงเศรษฐกิจยังเปราะบาง Large Corporate ที่มีเงินอยู่แล้วจะมา Repay Debt ทำให้ความต้องการสินเชื่ออ่อนตัว

      Loan Growth Target จะเป็นไปได้ยาก

      Deposit จะ Align กับ Loan Growth อยู่แล้ว

      Net Interest Margin เป็นไปได้ยากที่จะ Achieve Target ในสถานการณ์ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง

      Non-NII คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะทำได้ดีทั้ง Mark to Market และค่าธรรมเนียมที่ไม่ใช่ Loan Related รวมถึง Mutual Fund ที่ฟื้นกลับมาได้

      C/I จะกลับมาอยู่ที่ Low 40s แต่ในไตรมาสก่อนอยู่ที่ 42 ทำไมไตรมาสนี้กระโดดขึ้นมาที่ 45 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย แต่มาจากความกดดันทางฝั่งรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย

  2. แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569
    • คำถาม: แนวโน้มเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารในปี 2569 จะเป็นอย่างไร แนวโน้มของไตรมาสถัดไปจะเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับไตรมาสนี้
    • คำตอบ:

      CEO ให้ภาพว่าหลายปัญหาที่เจอเป็น Medium to Long Term ใน Short Term ก็ประคองกันไป

      การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะกลับมา Overnight คงไม่ใช่สิ่งที่กลับมาได้รวดเร็ว

      ดอกเบี้ยขาลงจะยัง Continue ในปีหน้า

      Volatility ของตลาด Geopolitics ต่างๆ จะ Carry on ไปในปีหน้า

      ปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายในระดับหนึ่ง

      Direction ที่จะ Take คือการ Prepare สำหรับเศรษฐกิจที่อาจจะไม่แข็งแรงมาก

      ความพร้อมในเชิงของ Quality ของ Portfolio และการระมัดระวังในการเติบโตสินเชื่อยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

      Bank พยายามที่จะทำใน Area ที่ Within Control ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

      พยายามบริหารจัดการ Balance Sheet และ Cost ผ่าน Digital Capability

      ปีหน้าจะค่อนข้างอยู่ในโหมดของการพยายามเติบโตอย่างระมัดระวัง และ Control Risk มากกว่าการ Show การเติบโตอย่างก้าวกระโดด

  3. มาตรการรัฐบาลและการจัดตั้ง JVMC
    • คำถาม: มาตรการรัฐบาลที่ออกมา ทั้งการแก้หนี้และการจัดตั้ง JVMC จะมีผลต่อภาคธนาคารอย่างไร และธนาคารมีแผนจัดตั้ง JVMC หรือไม่
    • คำตอบ:

      TTB ไม่ได้มีแผนจัดตั้ง JV กับใคร แต่มี AMC ของตัวเองชื่อว่า Pamco

      JVMC เป็นแผนของรัฐบาลเพื่ออนุมัติโครงการแก้หนี้ให้คนตัวเล็ก ครอบคลุมหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งจะเป็น Unsecure Loan

      JVMC จะมาช่วย Facilitate ให้กับลูกค้าที่มีหนี้อยู่กับหลายสถาบัน

      TTB สนับสนุนโครงการของรัฐบาล

      แน่นอนว่า JVMC จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการบริหารจัดการ NPL ที่มีอยู่

      รัฐบาลเชื่อว่าการทำ Study แล้วว่ากลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นคนตัวเล็กที่มีหนี้ Unsecure Loan ต่ำกว่า 100,000 บาท Represent หนี้ของ Household ไม่ได้ใหญ่มากแต่ Represent by Account ค่อนข้างเยอะ

      การช่วยคนกลุ่มนี้ได้ จะทำให้พวกเขาสามารถออกมามีชีวิตได้ปกติและกลับมาขอ Facility กับ Bank ได้อีกครั้ง

      เป้าหมายหลักคือต้องการเร่งปรับตัวหนี้ที่เป็นลูกหนี้รายย่อย เพื่อที่จะให้ฟื้นกลับคืนมาจากการเป็น NPL

  4. การซื้อหุ้นคืนของบริษัท
    • คำถาม: การซื้อหุ้นคืนของบริษัทจะเริ่มอีกเมื่อไหร่ และกรอบครั้งหน้าจะเป็นเท่าไหร่
    • คำตอบ:

      Medium Term มีแผนทั้งหมด 21 Billion เป็นระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570

      ปี 2568 เรียบร้อยแล้ว และจะต้องเว้น 6 เดือนจากกรอบของตัว Buyback ตามกฎหมาย

      จะไปเริ่มอีกทีได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2569

      Size จะต้องไปขออนุมัติจาก Board อีกทีว่าจะกลับมาด้วย Size เท่าไหร่ แต่จะยังอยู่ใน Budget ของ 3 ปี ว่าตั้งใจจะอยู่ในกรอบ 21 Billion

      ขอให้ผู้ถือหุ้นรอการประกาศที่จะ Submit ไปที่ตลาดหลักทรัพย์อีกทีในตอนเดือนกุมภาพันธ์

  5. นโยบาย Pay Out Ratio
    • คำถาม: มีแนวโน้มจะเพิ่ม Pay Out Ratio หรือไม่ และธนาคารคิดเห็นอย่างไรกับการเลือกที่จะจ่าย Pay Out เป็น Dividend หรือทำหุ้นซื้อคืน แบบไหนจะมีประโยชน์กับผู้ถือหุ้นมากกว่ากัน
    • คำตอบ:

      Pay Out ณ ปัจจุบันจ่ายอยู่ที่ 60%

      ธนาคารมีการทำหุ้นซื้อคืนด้วย

      แบบไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน ถ้าเอาเป็นในเชิงตัวเลขก็แน่นอนว่าต้องเป็นตัวหุ้นซื้อคืน เพราะตอนนี้ซื้อในราคาที่ต่ำกว่า Book

      Book TTB ณ ปัจจุบันนี้อยู่ที่ราวๆ 2.3-2.4 ถ้าจำไม่ผิด ซึ่งตอนนี้ราคา TTB อยู่ที่ประมาณ 1.8 ดังนั้นทุกวันนี้ซื้อต่ำกว่าราคา Book แปลว่าเงิน 100 บาทที่ซื้อไป ซื้อหุ้น TTB ได้ถูกกว่าที่มันควรจะเป็น

      ดังนั้นมันก็สร้าง Economic Value ให้กับ Shareholder มากกว่า

      แน่นอนว่าผู้ถือหุ้นแต่ละคนก็อาจจะมี Objective ที่ต่างกัน บางท่านต้องการ Cash Flow ดังนั้นธนาคารมองว่าจริงๆ แล้วมันก็ต้อง Strike Balance ในการที่จะคืนผลประโยชน์ตอบแทนกลับไปสู่ผู้ถือหุ้น

      TTB เลยยังมี Cash Dividend Pay Out อยู่ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ระดับ 60% และก็มี Buyback อีกประมาณ 7 Billion

      บวกกัน 12+7 = 19 เกือบจะ 100% เลยของกำไรที่ทำได้ก็คืนกลับไปที่ผู้ถือหุ้นหมดเลย

      แทบจะไม่ได้ Roll in เข้าไปเป็น Capital เลย เพราะ Capital สูงอยู่แล้ว 20% Tier 1 อยู่เกือบ 18% ซึ่งถ้าไปเทียบกับต่างชาติแล้วแทบจะเป็นคนที่สูงที่สุดในโลกเลยด้วยซ้ำ

      ธนาคารไทยมีศักยภาพอีกเยอะในเรื่อง Capital ถ้าสมมติว่าเศรษฐกิจมันฟื้น ตัวนี้ก็สามารถที่ปรับมาดูได้ว่าจริงๆ แล้วมันสามารถลดลงมาได้ไหม

  6. ผลกระทบโครงการคุณสู้เราช่วย
    • คำถาม: สิ้นสุดโครงการคุณสู้เราช่วย จะมีผลให้ NPL เพิ่มขึ้นและการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นไหม
    • คำตอบ:

      โครงการคุณสู้เราช่วย ออกมา 2 เฟสแล้ว มีคน Adopt มาประมาณ 44% ของคนที่สามารถ Adopt ได้

      หลักๆ คนที่ Adopt คือลูกค้ากลุ่มบ้านและ SME Represent ประมาณ 60% ของคนที่มา Adopt ทั้งหมด

      คนกลุ่มนี้คงไม่อยากที่จะให้หนี้ก้อนนี้หลุดลอยไป เพราะอยากมีบ้านอยู่ อยากมี Business ทำต่อไป

      Succession Rate ของคนที่ยังคง Continue ที่จะ Pay ธนาคาร ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง Level ประมาณสัก 80-90% ที่เป็น Succession Rate ของการจ่ายอยู่

      จะยังเห็นแนวโน้มการจ่ายที่ค่อนข้างดี

      ไปจนสุดทาง 3 ปี กลุ่มนี้จะมีกลุ่มคนที่จ่ายไม่ได้ครบ 3 ปีไหม แล้วจะหลุดร่วงลงมาเป็น NPL แน่นอนมันต้องมีอยู่แล้ว เพราะกำลังพูดถึงคนกลุ่มที่มีความเปราะบาง และสร้าง Program นี้ขึ้นมาเพื่อให้เขาสามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้

      ทำอย่างไรในการป้องกัน เราก็มีการใส่สำรองผ่าน Management Overlay เข้าไปแล้ว และเราเองก็มีความ Conservative ด้วย

      ในการจัดชั้นลูกหนี้ ถ้าเข้ามาแล้ว 3 เดือนก็สามารถขยับขึ้นได้ จาก Stage 3 ที่เคยเป็น หรือ Stage 2 ที่เคยเป็น กลับขึ้นมาเป็น Performing แต่เราก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะจะรอหลังจากที่ Step Up ผ่านมา 1 ปีแล้ว จ่ายเพิ่มขึ้นจาก 50% ไปเป็น 75% จาก 75% เป็น 90% นั้น สามารถทำได้จริง ตรงนั้นเราค่อยขยับ Stage เพราะฉะนั้นเราค่อนข้าง Conservative เชื่อว่าไม่น่าจะไปขยับตัว NPL Uptick อะไรมากมายจากในเรื่องนี้

  7. เป้าหมาย C/I
    • คำถาม: C/I ตั้งเป้าเท่าไหร่คะ หลังจากการเพิ่ม AI Adoption
    • คำตอบ:

      พยายามที่จะบริหารจัดการตัว OPEC ของธนาคารมาโดยตลอด

      จำนวนสาขาก็ลดลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง

      Head Count ลดลงไปประมาณ 30%

      OPEC ที่เคย Peak ในประมาณปี 2020 ที่ผ่านมาก็ Trending Down มาโดยตลอด

      เชื่อว่า Pathway ประมาณนี้ยังเป็น Pathway ที่ไปได้ต่อ

      ก่อนหน้านี้การลดสาขาหรือลดคนมาจาก Concept ที่เป็นเรื่องของ Duplication ซะเยอะ ซึ่งมาผลจากการควบรวม

      การปรับเปลี่ยน Business หรือ Operating Model ต่างๆ ของธนาคารจะช่วยให้การเพิ่ม Productivity ทำได้เพิ่มมากขึ้นอีก

      บางเรื่องอาจจะเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ยกตัวอย่างง่ายๆ ปัจจุบันธนาคารก็มีการ Operation ของการส่ง Physical Document ไปให้ลูกค้า ซึ่งถามว่าบน Capability ของ TTB Touch ที่ลูกค้าสามารถดูอะไรเองได้แทบจะทุกอย่างแล้วนั้น ยังมีความจำเป็นที่จะต้องส่ง Physical Document ออกไปหรือเปล่า

      กำลัง Monitor Behavior ของลูกค้า เริ่มเห็น Area ที่เป็น Legacy Area เก่าๆ ทยอย Sunset ในเรื่องที่ไม่จำเป็นออกไป

      เรื่อง AI ก็จะสำคัญไม่แพ้กัน หลายๆ เรื่องเริ่มที่จะหยิบตัว AI เข้ามาใช้งานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเข้าผ่าน Application TTB Touch ก็มี Chat Function ที่เริ่ม Deploy ตัว Generative AI Engine อยู่ข้างหลัง เพื่อช่วยให้สามารถตอบคำถามกับลูกค้าในบางเรื่องได้ ปัจจุบัน Contribution อยู่ประมาณ 30% ของ Volume คำถามที่เข้ามา ใช้ AI ตอบ แต่ส่วนที่เหลือ อย่างที่เรียนว่ายังเชื่อว่ามนุษย์ Human Touch ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ ก็ยังอยู่ใน Background อยู่ว่า 70% นั้น เป็นส่วนที่พนักงานตอบเอง

      ตัว Gen AI มันพัฒนาขึ้นเร็วมากๆ เชื่อว่าสัดส่วน 30:70 จริงๆ แล้วควรจะขยับมาในขาที่เป็น AI มากขึ้นเรื่อยๆ

      เรื่อง AI มีเข้ามาใช้มากกว่าเรื่อง Customer Service ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ Underwriting การทำ Personalization และ Routine Task ของธนาคาร ก็มี Ongoing Initiative อยู่ในระดับหนึ่งเลย ในการที่จะเอา AI เข้ามาเพิ่ม Productivity ของพนักงาน

      C/I มองภาพไหน สิ่งที่ Communicate กันมาโดยตลอดคือ Low 40s น่าจะเป็น Target ที่พยายามที่จะ Achieve แต่ถ้ามองภาพเลยไปอีก เชื่อว่าในโลกของ AI ในโลกของ Virtual Bank คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ C/I คงต้องแตะเลข 3 แล้ว

      ทำได้ทั้งสอง Angle ระหว่างการลด Head Count ลดคนต่อไปอีก หรือการพยายามที่จะมองเห็นโอกาสในการที่จะ Generate Revenue เพิ่มเติม ซึ่งพยายามบริหารจัดการทั้งสองขา ทั้งตัว Cost และตัว Income คงต้องทำควบคู่กันไป ในการที่จะ Achieve Productivity หรือ C/I ที่ว่า

      ส่วนเรื่องจำนวน Head Count เป็นเรื่องของการดูในแต่ละปีที่ Go Through แล้วกันว่าตรงไหนที่มี Room ที่จะบริหารจัดการ Head Count ได้ดีขึ้นบ้าง โดยจุดสำคัญอยู่ที่ตัว Business Model กับ Operating Model ของธนาคารที่มันต้องสอดคล้องกัน คงไม่ใช่บอกว่าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วบอกอยากลดพนักงาน คงไม่ใช่ภาพนั้น มันต้องไปตั้งแต่ Business Model ของธนาคาร ว่าอยากจะมี Business Model อย่างไร คนเข้ามา Fit ตรงไหน Add Value ตรงไหน

  8. แผนการขายหุ้นการบินไทย
    • คำถาม: แผนการขายหุ้นการบินไทยเรามีหรือไม่ หลังจากสิ้นสุด Lock-Up Period
    • คำตอบ:

      การบินไทยเริ่มแรกคือ Bond ที่ถือ

      การบินไทยล้มละลาย รอแผนฟื้นฟู จะมีส่วนหนึ่งที่ Convert ไปเป็นหุ้นการบินไทย และส่วนหนึ่งที่ยังถือ Bond อยู่

      น่าจะถามหมายถึงตรง Part ของ Equity ที่ถืออยู่ ซึ่งตอนนี้ Mark อยู่ใน FVOIC

      ในไตรมาสที่ 3 ตรง FVOIC กระโดดขึ้นมาประมาณ 6 พันล้าน คือมาจากการ Mark Up ของการบินไทย

      จะขายไหม เป็นคำถามที่ดี ต้องบอกว่าตั้งแต่แรกถือเป็น Bond อยู่แล้วเพราะต้องการที่จะได้ Cash Flow จากรายได้ดอกเบี้ย ไม่ต้องการ Capital Gain หรืออะไรในภาพนั้น

      หลังจาก Lock Up Period แล้ว จะขายเลยทันทีไหม ก็เป็นเรื่องที่จะต้องกลับมาดูอีกครั้งหนึ่งว่า ณ Moment นั้นราคาเป็นอย่างไร

โดยสรุป TTB ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก โดยเน้นการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น