TOP
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

สรุป Oppday Thai Oil ไตรมาส 4 ปี 2567: มองอนาคตธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ

ความต้องการใช้น้ำมันของโลกเติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์เนื่องจากความกังวลทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ทำให้ Energy Aspect ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันโลกลง

OPEC+ มีมติเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตและขยายการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ (voluntary cuts) ออกไปอีก 3 เดือน

ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในไตรมาส 4 ลดลงมาอยู่ที่ 73.6 เหรียญต่อบาร์เรล ในขณะที่ Marine Premium ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากความกังวลต่อความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง

บริษัทคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2568 จะทรงตัวถึงปรับลดลงเล็กน้อยเนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบนอกกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้นและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง

Refinery Margin ปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 จากความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียเหนือ

ค่าการกลั่นในสิงคโปร์ในไตรมาส 4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4 เหรียญต่อบาร์เรล แต่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในปี 2568 จากแรงกดดันของอุปสงค์ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

ปัจจัยที่ต้องจับตามองในปี 2568 ได้แก่ นโยบายต่างๆ ของทรัมป์, การคว่ำบาตรที่ทำให้อุปทานน้ำมันดิบตึงตัวขึ้น, และอุปทานน้ำมันดิบนอกกลุ่ม OPEC ที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

2. โอกาสทางธุรกิจ

  • การดำเนินงานที่เป็นเลิศ (Business Excellence) สนับสนุนผลประกอบการของ Thai Oil ให้ดี
  • การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่น (Refinery Utilization Rate) ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 113%
  • การเพิ่มสัดส่วนการผลิตน้ำมัน Middle Distillate (น้ำมันดีเซลและอากาศยาน)
  • การดำเนินโครงการบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อลดต้นทุนของบริษัท
  • การลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP)
  • การลงทุนในธุรกิจ Olefins ในอินโดนีเซียผ่าน Chandra Asri
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี
  • การขยายตลาดไปยังประเทศเป้าหมาย (ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, อินเดีย)
  • การพัฒนาธุรกิจใหม่ที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ

  • ความกังวลทางเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
  • สงครามการค้า (Trade War) ที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์
  • การคว่ำบาตรที่ทำให้อุปทานน้ำมันดิบตึงตัวขึ้น
  • อุปทานน้ำมันดิบนอกกลุ่ม OPEC ที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ
  • การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ

  • การรักษาความสมดุลของตลาดน้ำมันดิบ (OPEC+ Balance)
  • การบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับราคาตลาดและการขาย
  • การหาพันธมิตรในการขยายตลาดในภูมิภาค
  • การทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อขยายฐานลูกค้า

5. แนวโน้มและอนาคต

  • ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะทรงตัวถึงปรับลดลงเล็กน้อย
  • Crude Premium มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • Refinery Margin มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย
  • บริษัทมุ่งเน้นการขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [01:09:11]

  1. แผนการออก Perpetual Bond

    บริษัทพิจารณา Perpetual Bond เป็นเครื่องมือทางการเงินในการหาเงินทุนเพิ่มเติม แต่จะพิจารณาใช้เงินทุนภายในก่อน และจะพิจารณาเรื่อง Funding เพิ่มเติมอีกครั้งช่วงปลายปี

  2. ผลกระทบของโครงการ CFP ต่อ Cash Cost

    Cash Cost ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 เหรียญต่อบาร์เรล คาดว่าจะเพิ่มเป็น 4.8 เหรียญหลัง CFP แล้วเสร็จ Depreciation จะเพิ่มจาก 1.4 เป็น 2.8 เหรียญต่อบาร์เรล

  3. IRR ของโครงการ CFP

    ผลตอบแทนของโครงการลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังสูงกว่าต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WACC) ของบริษัท

  4. แผนการใช้ Capex นอกเหนือจากโครงการ CFP

    บริษัทมีแผนใช้เงินประมาณ 87 ล้านเหรียญนอกเหนือจาก CFP ซึ่งอาจเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมี Major Turnaround ของบริษัท

  5. ความร่วมมือกับพันธมิตรนอกกลุ่ม ปตท.

    บริษัทมีการทำสัญญาทั้งระยะสั้นและระยะยาวกับพันธมิตรทั้งในและนอกกลุ่ม ปตท. โดยหลักๆ เป็นตลาดในประเทศ

สรุป

Thai Oil เผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและอุปทานที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับตัวและคว้าโอกาสใหม่ๆ โดยเน้นการดำเนินงานที่เป็นเลิศ, การบริหารจัดการต้นทุน, การลงทุนในโครงการใหม่, และการขยายตลาด เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต