สรุปงบล่าสุด TOP

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บทสรุปผลประกอบการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ปี 2567 และแนวโน้มในอนาคต (อัปเดตข้อมูลล่าสุด)
ไทยออยล์ (TOP) ในปี 2567 เผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกหลายประการ แม้ว่าปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้จากการขายกลับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 466,777 ล้านบาท จาก 469,243 ล้านบาทในปี 2566 สาเหตุหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ลดลงจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 79.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 (82.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566) อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แม้จะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์กลับมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ในขณะที่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีกำไรลดลง รวมถึงธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมีกำไรลดลงจากแรงกดดันของอุปสงค์ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กำไรสุทธิของไทยออยล์ในปี 2567 อยู่ที่ 9,959 ล้านบาท ลดลงจาก 19,443 ล้านบาทในปี 2566 โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 4.46 บาท
สำหรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคต ไทยออยล์ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการ Clean Fuel Project (CFP) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น แนวโน้มราคาน้ำมัน ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และสภาวะเศรษฐกิจโลก
การพิจารณาว่า TOP เป็นโอกาสในการลงทุนหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลายด้าน แม้ว่าผลประกอบการปี 2567 จะลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่งในธุรกิจหลักคือการกลั่นน้ำมัน และมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลายที่ช่วยกระจายความเสี่ยง อีกทั้งการลงทุนในโครงการ CFP จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาน้ำมันและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
**โอกาส:**
* การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น (ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, อากาศยาน/ก๊าด, ดีเซล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้)
* โครงการ CFP ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
* ธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลายช่วยกระจายความเสี่ยง (ธุรกิจอะโรเมติกส์มีแนวโน้มดีขึ้นจากส่วนต่างราคาเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่เพิ่มขึ้น)
**ความเสี่ยง:**
* ความผันผวนของราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน (ราคาน้ำมันดิบผันผวนตามสถานการณ์โลกและนโยบาย OPEC+)
* ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว (เศรษฐกิจจีนยังคงเป็นปัจจัยกดดัน)
* การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม
* แรงกดดันจากอุปทานใหม่ในตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีบางชนิด (เช่น น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน และ โอเลฟินส์)
**ข้อมูลการเงินเพิ่มเติม:**
* ลักษณะธุรกิจ: ผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
* P/E ล่าสุด: 5.42
* P/BV ล่าสุด: 0.33
* YIELD ล่าสุด: 13.82
* D/E: 1.39
* อัตรากำไรสุทธิ: แสดงข้อมูลกำไรย้อนหลัง
* วงจรเงินสด: แสดงข้อมูลย้อนหลัง
* อัตราการใช้กำลังการกลั่น: 111% ในปี 2567 (112% ในปี 2566)
* Product-to-feed Margin: 50 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน (อะโรเมติกส์), 97 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน (น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน)
* อัตราการผลิตสารอะโรเมติกส์: 80%
* อัตราการผลิตสาร LAB: 124%
* อัตราการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน: 80%
* TOP SPP EBITDA: 3,008 ล้านบาท
* ธุรกิจโอเลฟินส์: ขาดทุนสุทธิ 374 ล้านบาท (จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง)
* ธุรกิจเอทานอล: ขาดทุนสุทธิ 74 ล้านบาท (จากการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือและปริมาณขายที่ลดลง)
**สรุปเพิ่มเติม:**
* ธุรกิจการกลั่นน้ำมันยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ แต่กำไรลดลงเนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
* ธุรกิจอะโรเมติกส์มีแนวโน้มดีขึ้นจากส่วนต่างราคาเบนซีนที่เพิ่มขึ้น
* ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเผชิญแรงกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น
* ธุรกิจโอเลฟินส์และเอทานอลยังคงขาดทุน
(1.21%)
(5.87%)
(202.25%)
(93.49%)
(201.07%)
(105.75%)
(17.23%)
(1.49%)
(165.60%)
(6.03%)
(314.57%)
(146.24%)