TKT
บริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

TKT ฝ่าวิกฤติยานยนต์ซบเซา คว้าออเดอร์ใหม่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ดันยอดปี '68 โตต่อเนื่อง

สวัสดีค่ะ ท่านผู้รับฟังทุกท่าน ดิฉันนวลนง สุคณาภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปสายงานทางด้านการเงินและบัญชี และคุณวรพงศ์ พลเมืองราษฎร์ กรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารของบริษัท จะมานำเสนอข้อมูลของบริษัท ที กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวันนี้

บริษัทเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2516 โดยคุณสุเมธและมิสเตอร์คู และเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2546 และเป็นสมาชิกในส่วนของ Thai Private Sector Collective Action Coalition Against Corruption หรือ CAC ในเรื่องของการต่อต้านคอร์รัปชั่นในปี 2559 และในปี 2565 มีพาร์ทเนอร์ชื่อบริษัท แครี่ ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง เราลงทุนเบื้องต้น 350 ล้านบาท ปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมด 700 ท่าน มี 3 โลเคชั่น คือ มีนจุกรี แก้ว กบินทร์บุรี ปราจีน และ สวินทวงศ์ จากเชียงเซา

ที กรุงไทย เป็น One-Stop Service คือมีการผลิตแม่พิมพ์ สำหรับใช้ฉีดขึ้นรูปชิ้นงานพลาสติก และรับฉีดพลาสติกด้วย อุตสาหกรรมหลักๆ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ และไม่ใช่ยานยนต์ มีเครื่องใช้ไฟฟ้า พริ้นเตอร์ เครื่องไม้เครื่องมือในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ เรามีกระบวนการตั้งแต่เริ่มผลิตแม่พิมพ์ เริ่มฉีดพลาสติกขึ้นรูป มีการพ่นสี ทั้งระบบ Manual ที่ใช้มือหรือ Robot และมีการ Printing Host Stamp แผ่น Print และ Sub Assembly

โรงแม่พิมพ์ของเราเป็น One-Stop Service เริ่มตั้งแต่รับแบบ Drawing จากลูกค้า มีการพูดคุยกันกับลูกค้าในส่วนตั้งแต่เริ่มการออกแบบจนกระทั่งผลิตเป็นชิ้นส่วนแม่พิมพ์ แล้วก็เริ่มขึ้นชิ้นส่วนชิ้นงาน เราผลิตแม่พิมพ์ตั้งแต่ 50 ตัน ไซส์เล็กสุด ไปไซส์ขนาดใหญ่สุดประมาณ 1,600 ตัน

ฐานลูกค้าของเรามี 3 โรงงาน เป็นผู้ผลิตทั้งในส่วนของแม่พิมพ์และฉีดชิ้นส่วนเอง ในกลุ่มของลูกค้ามีทั้ง Toyota Ford Isuzu Mitsubishi Nissan และรถมอเตอร์ไซค์คือ Kawasaki พร้อมทั้งส่วนที่ผลิตในส่วนของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และในส่วนของ Air Condition ด้วย

เรามี Certificate ใบรับรองมาตรฐานการรับรอง ISO 9001 และใบรับรองในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ IATF 16949 และ ISO 14000 คือสิ่งแวดล้อม และมี UL certifying ในส่วนของ RBA ที่เป็นมาตรฐานของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ Equal ซึ่งเกี่ยวกับ sustainability ซึ่งบริษัทในยุโรปส่วนใหญ่ใช้กัน ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรม Automotive และในส่วนของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าทางอิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์

ชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ที่เราผลิต มีฝาครอบเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนไฟหน้า กระจังหน้า ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งชิ้นส่วนของรถมอเตอร์ไซค์ด้วย หลักๆ เลยก็คือเป็นชิ้นส่วนของพลาสติก

ลูกค้าใหม่ที่เราเพิ่งได้ ในฝั่งของซ้ายมือคือเป็นชิ้นส่วนในส่วนของคอมพิวเตอร์ ลูกค้าหลักของเราก็คือ HP และอีกฝั่งขวา คือเป็นลูกค้าใหม่ที่เราได้คือในส่วนของ Printer เป็น Luxury Printer ที่ใช้แบรนด์ระดับโลก ซึ่งเราส่งออกไปที่อเมริกา

อัปเดตเทรนด์ แนวโน้มล่าสุดตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนกันยายน มียอดขายทั้งหมด 1.076 ล้านคัน คิดออกเป็นส่งออก 689,000 คัน และผลิตภายในประเทศเอง Domestic เองเนี่ย 478,000 คัน

ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ฝั่งซ้ายมือคือยอดผลิต ซึ่งเราแบ่งออกเป็น 2 ส่วน 2 Segment ใหญ่ๆ คือ รถปิคอัพและ Passenger Car คือรถเก๋ง ในไตรมาส 3 เอง ในส่วนของรถปิคอัพ ยอดขายลดลง 2% ในส่วนของรถเก๋งเองเนี่ยลดลง 12.6% ทีนี้มาดูยอดขาย เมื่อกี้คือยอดผลิต ในส่วนของยอดขายเองเนี่ยในระหว่างยอดขายภายในประเทศคือ Domestic และยอดขายที่เป็นส่งออก การส่งออก ถ้าเป็นผลิตภายในประเทศเองเนี่ยรถกระบะลดลง 13% แต่ในส่วนของรถเก๋งเองคือเพิ่มขึ้นที่ 12% ในส่วนของส่งออก ในส่วนของรถปิคอัพเองเนี่ยลดลงที่ 2.6% ในส่วนของรถเก๋งเองเนี่ยลดลงที่ 29%

อัตราส่วนยอดขายและกลุ่ม Segment ลูกค้าที่เรามี โดยคิดที่ 9 เดือนในปี 2568 Automotive Part เราคิดเป็นร้อยละ 80% ในเรื่องของ Mole หรือแม่พิมพ์เองคิดเป็นร้อยละ 11% และ Electronic Part 2% และอื่นๆ อีก 3%

ผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เปรียบเทียบกับของไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา Q on Q เราจะพบว่าในส่วนของไตรมาสที่ 3 เรามียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 259 ล้านบาท โดยลดลงจากไตรมาส 2 ประมาณ 7.5% ลดลงในส่วนของที่เป็นชิ้นงานพลาสติกและแม่พิมพ์ เนื่องจากปริมาณ Volume การผลิตรถยนต์ ลูกค้ารถยนต์หลักของเราลดลง แต่ถ้าเกิดเราเปรียบเทียบกับ Year on Year ก็คือ ช่วงเวลาของไตรมาส 3 ปีที่แล้วกับปีนี้ ยอดขายเราลดลงประมาณ 9% แต่ยังไงก็ตามถ้าเราดูในเรื่องของอัตรากำไรขั้นต้นกันแล้ว อัตรากำไรขั้นต้น จะเห็นว่าถ้าเกิดเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา Q3 เองเนี่ย เรามีกำไรที่เป็นตัวเงินเนี่ยเพิ่มขึ้น 3.6% ถึงแม้ว่ายอดขายเราจะลดลงก็ตาม แต่ถ้าเกิดไปเทียบอัตรากำไร Year Year on Year เราก็เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจาก Volume ยอดขายเนี่ยเราลดลงค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ กำไรขั้นต้นที่เป็นตัวเงินเนี่ยเราลดลงไปประมาณ 7.6% แต่ยังไงก็ตาม ไอ้สิ่งที่เราเพิ่มขึ้นในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นเนี่ยมันแสดงถึงว่าเรามีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของชิ้นงานพลาสติก เรามีส่วนของของเสียที่ลดลง และประสิทธิภาพการเดินเครื่องจักรของเราดีขึ้น การบริหารในเรื่องของการวางแผนการผลิตดีขึ้น

มาดูในส่วนของกำไรก่อนภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา ถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เราเพิ่มขึ้นประมาณ 15.7% โดยเพิ่มขึ้นจาก 18.5 เป็น 21.4 และในส่วนของที่เป็นกำไรสุทธิ กำไรสุทธิเราเพิ่มขึ้นถึง 400 กว่าเปอร์เซ็นต์ เพราะไตรมาสที่แล้วเรามีผลขาดทุนอยู่ประมาณ 600,000 มาไตรมาสที่ 3 เนี่ยเรามีกำไรอยู่ 2.4 ถึงแม้ว่าเราจะมีการตั้งในตัวล้างในส่วนของสินทรัพย์ภาษีเงินได้เราตัดบัญชีไปแล้วก็ตาม กำไรสุทธิของเราก็ยังเป็นบวกอยู่ที่ 2.4 แต่ถ้าเกิดเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว Ebitda ของเราเนี่ยลดลงไปประมาณ 14% ในส่วนของ Net Profit เราลดลงไปประมาณ 50% ในที่ลดลงไปส่วนนึงเนี่ยมาเกิดจาก ไอ้ตัว สินทรัพย์ภาษีเงินได้เราตัดบัญชีที่เราล้างไปประมาณ 2 ล้าน ถ้าเราไม่ล้างตัวนี้เนี่ยเราก็จะมีกำไรอยู่ใกล้เคียงกับกำไรเมื่อไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

ในส่วนของการเปรียบเทียบ 9 เดือน ยอดขายเราลดลงไป เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว Year on Year ประมาณ 0.3% แต่ยังไงก็ตามถ้าเรามาดูในส่วนของกำไร กำไรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของชิ้นงานพลาสติก กำไรเพิ่มขึ้น โดยรวมแล้วเนี่ย เรามีกำไรเพิ่มขึ้นอยู่ประมาณ 3% เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน 9 เดือนของปีที่แล้ว โดยพลาสติกมีการเพิ่มขึ้น ถ้าเกิดเปรียบเทียบดูในส่วนของ Ebitda หรือว่าตัว Net Profit ก็ตาม เราก็เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ ใน Net Profit Ebitda เราอยู่ที่ 63.25 และในส่วนของ Net Profit เราอยู่ที่ 7 ล้าน

งบแสดงฐานะทางการเงิน Total Asset เรา ขยับลดลงเล็กน้อย เนื่องจากตัว Non Current Asset หรือสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เรามีการลงทุนในเรื่องของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนลดลง เปรียบเทียบกับปีก่อน แต่ในส่วนของ Current Asset เราขยับสูงขึ้น หลักๆ มันมาจากในส่วนของสินทรัพย์ตามสัญญา ที่เกิดจากรายได้ทั้งรักของแม่พิมพ์ ที่รอการออก Invoice เนื่องจากว่าเราสามารถออก Invoice เมื่อถึง Phase ของงานที่เป็น SOP คือ เริ่มต้นนำแม่พิมพ์ไปใช้ในการผลิต Total Asset ของเราเนี่ยเป็น 1,133 ล้าน มาดูในส่วนของ Total liability หรือ หนี้สินรวม หนี้สินรวมเราลดลง ทั้งในส่วนของ Current liability และ Non Current liability คือ หนี้สินหมุนเวียน และก็หนี้สินไม่หมุนเวียน เนื่องจากว่าเรามีการชำระ ทั้งหนี้ระยะสั้น ในส่วนของ ตัวสัญญาใช้เงิน รวมถึงในส่วนของที่เป็น Leasing ที่ถึง แล้วก็ส่วนของ เงินกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี ทำให้ในส่วนของหนี้สินเราเนี่ยลดลงไป มาดูในส่วนของผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นของเราขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากในส่วนของกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 7 ล้าน เป็นผลทำให้ในส่วนของ ตัว DE Ratio เราดีขึ้นเลย DE Ratio เราตอนนี้อยู่ที่ 0.79 เท่า เพราะในส่วนของ หนี้สินเราลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับในส่วนของ Equity ที่เราขยับเพิ่มขึ้น

ในส่วนของงบกระแสเงินสด เรามีกำไรก่อนภาษีอยู่ที่ประมาณ 13 ล้าน บวกกับดอกเบี้ย และก็ส่วนที่เป็น Non Cast ก็คือ ส่วนที่ ไม่ใช่ เป็นเงินสด พวกค่าเสื่อมราคาต่างๆ เนี่ย ทำให้เรามี แคช profit อยู่ที่ประมาณ 79.3 ล้าน ส่วนที่ networking Cap สัดส่วนไอ้ตัว Networking Cap ของเราเนี่ยมีลดลงไปประมาณ 11.75 ก็คือเนื่องจากตัวสินทรัพย์ สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญาเนี่ยเรามีการเพิ่มขึ้น แต่ยังไงก็จามในส่วนของ CFO เราเป็นบวก ได้มาประมาณ 67.56 ล้านบาท ในส่วนของ CFI นะคะ ก็คือ กระแสเงินสดจากการลงทุน นะคะ เรา มีการ ปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์นะคะ เพื่อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นนะคะ แล้วก็มีซื้อเครื่องอุปกรณ์ต่างๆนะคะ มีการใช้ไปประมาณ 16.24 ล้านบาทค่ะ ในส่วนของ กระแสเงินสดจากการจัดหาเงินนะคะ เรามีการใช้คืนในส่วนของ หนี้สินระยะสั้น แล้วก็หนี้สินระยะยาวดังที่เรียนให้ทราบแล้วนะคะ ผลรวมไปอยู่ที่ประมาณ 57.2 ล้านบาทนะคะ สุทธิแล้วเนี่ยเรามี Net Net Cast นะคะ ติดลบไปประมาณ 5.88 ล้านนะคะ บวกกับตัว เอ่อ เงินสดต้นงวดนะคะ 151.72 ทำใ้หเงินสดปลายงวดของเราอยู่ที่ 145.84 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 30 กันยายน มาดูภาพสรุปกันบ้าง ไฮไลท์หลักๆ เลย เราจะเห็นว่าทั้งในส่วนของอัตราส่วนนะคะ ในส่วนของ Liquidity Ratio นะคะ Current Ratio Quick Ratio เราดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ โดยมีสภาพคล่องที่สูงขึ้นนะคะ จากปีก่อนๆ นะคะ เราในปัจจุบัน 9 เดือนนะคะ อยู่ที่ 1.39 นะคะ แล้วก็ Quick Ratio อยู่ที่ 1.1 นะคะ ความสามารถในการทำกำไรเราดีขึ้นนะคะ โดยเฉพาะในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ใน 9 เดือนที่ผ่านมานะคะ เรามีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ จากเดิมปีที่แล้วนะคะ อยู่ที่ 15.63 มา 9 เดือนปีนี้เนี่ยเราอยู่ที่ 16.18% ค่ะ ในส่วนของภาระหนี้ ในส่วนของ Financial leverage นะคะ เราก็ขยับดีขึ้นนะคะ คือลดลงจากปีก่อนๆ นะ คะ จะเห็นว่า DE Ratio เราขยับลดลงจากปีที่แล้ว 0.79 มา 9 เดือนปีนี้เราอยู่ที่ 0.75 นะ คะ Depth Per Asset ก็ดีขึ้นนะคะ อยู่ที่ 42.8% ค่ะ แล้วก็เป็นไปตามกราฟนะคะ เราจะเห็นว่ากราฟค่อนข้าง เอ่อ ดีขึ้นนะคะ ในทั้ง 3 ส่วนเลยนะคะ

สรุปในไตรมาสที่ 3 แม้ยอดขายจะลดลง แต่เรายังสร้างผลกำไรได้ เกิดจากการจัดการบริหารต่างๆ ในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ควบคุมการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ถึงแม้ยอดขายจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 9.1% และต่ำกว่า Projection ที่เราวางไว้ 10.8% ของปีนี้ เกิดจาก Plastic Injection ของเราเองด้วยที่ยอดขายลดลงและทีม Mole เรายังสามารถรักษาระดับกำไรขั้นต้นได้ ซึ่งถ้าเทียบกับปีที่แล้วเราทำได้ดีขึ้น การควบคุมต้นทุนการผลิตทำให้ต้นทุนการผลิตมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการควบคุมการผลิต Direct Labor Overhead Cost STNA Cost ต่างๆ เรามีการควบคุมทั้งในส่วนของกระบวนการผลิต เพิ่ม ผมใช้คำว่า reliability of machine ก็คือสร้างความเชื่อมั่นในตัวของเครื่องจักร ที่สามารถเดินได้ระยะยาวมากขึ้น หยุดน้อย และผลิตงานได้ดีมากขึ้น เรามีการเพิ่มโอกาสตัวของเราเองในส่วนของบริษัท ที กรุงไทย ซึ่ง ตอนนี้ก็คือเทรนด์ในรถของ EV จีนเข้ามา เราเป็นส่วนนึงของลูกค้า BYD โดยลำพรรค์อีก บริษัทอีกเจ้านึง เราได้รับโอกาสที่ดีจากคู่ค้านะครับ ก็คือเป็นชิ้นส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ จริงๆ เราเป็นชิ้นส่วนของ Printer เราได้เริ่ม คุยกันนะครับ แล้วก็มีการ Trial หรือทดสอบตัวชิ้นงานเรียบร้อยแล้ว แล้วก็เริ่มทำการผลิตแล้วไปบ้างบางส่วน เมื่อต้นเดือนนี้ เราได้รับยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากในส่วนของ Printer เอง ซึ่งยอดขายที่จะเข้าเนี่ยหลักๆ ก็จะเข้าในต้นปี 2569 ปรับปรุงกระบวนการผลิตและและการหาลูกค้า และเราก็ไม่ลืมที่จะพัฒนาศักยภาพของพนักงานเราเอง ทักษะความรู้ความสามารถให้ยก ระดับ เพื่อให้เป็นระดับมืออาชีพมากขึ้นในการทำงานกับต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นจีน อเมริกา หรือยุโรปเอง วิศวกรเราเองจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์อย่างดี และต้องการ Run Model การเริ่มผลิตชิ้นส่วน รุ่นใหม่ๆ ร่วมกับลูกค้า นั่นก็คือเราจะพัฒนาตัวนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น

แผนปีนี้ โดยรวมแล้วจากแผนที่เราวางไว้ แล้วก็ Achieved ประมาณ 60-70% โดยหลักเนี่ยเราก็ดูในเรื่องของ Cost หรือต้นทุน เพื่อที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขัน และก็เพิ่มโอกาสในการหา ลูกค้ารายใหม่ๆ ลูกค้าเดิม ที่เรามีอยู่ เราก็เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น ดูเรื่องของต้นทุนการผลิต ให้ถูกลงนะครับ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเรื่องของราคา และก็เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลูกค้าใหม่เองแล้วก็มองโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ในเรื่องของ สงครามการค้า ณ ปัจจุบัน ซึ่งเราก็มีโอกาส ได้รับ ลูกค้าใหม่ๆ ที่เกลื่อนไปแล้วก็คือในส่วนของ Printer เองนะครับ ซึ่ง มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนมาที่ประเทศไทย แล้วก็เรายังคงมองในเรื่องของรถยนต์จีนอยู่ด้วยเหมือนกันนะครับว่าโอเค เราก็จะเป็นส่วนนึงในการผลิตสำหรับรถยนต์จีนในประเทศไทยอีกด้วยเหมือนกัน แล้วก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยที่มุ่งเน้นในเรื่องของเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยที่ลดเวลาในการผลิต ให้เต็มที่ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในเรื่องของการทำงาน เรื่องของการเปลี่ยนรุ่นในการผลิต และก็เรื่องของDefect หรือของเสีย ซึ่ง Trend หรือแนวโน้มของ Defect ของเสียเนี่ย ถ้าเทียบ เมื่อ 2 หรือ 3 ปีที่แล้วเนี่ยเรามีการปรับปรุงไปอย่างมาก ลดลงประมาณ 2.8% ซึ่ง เป็นส่วนนึงที่ทำให้เราเนี่ยมีผลกำไรที่ดีขึ้น เพราะเราควบคุมจัดการต้นทุนการผลิตได้ดีมากขึ้น มีการควบคุม ต้นทุนการผลิตนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เองนะครับ วัตถุดิบที่เราใช้ แล้วก็ในเรื่องของ ฝ่ายผลิตเองนะครับ ซึ่งเราก็มองไว้เหมือนกันว่าในส่วนของ ปลายปีนี้และต้นปีหน้าเองเนี่ย เราก็มองในเรื่องของ Smart Factory Concept ตัวนี้ ซึ่งเราจะเอาเข้ามาเป็นส่วนนึงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เรายังคงมองนะครับในเรื่องของการพัฒนาบุคลากร ทั้งในเรื่องของวิธีการ แนวทางการทำงานร่วมกันกับคู่ค้าต่างประเทศ นะครับ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือจีนเอง พัฒนาศักยภาพคนของเราเองให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นนะครับ แล้วก็ทักษะในเรื่องของความเป็นผู้นำแล้วก็การแก้ไขปัญหา ซึ่ง ทักษะเหล่าเนี้ยจะมีความจำเป็นในการทำงานกับลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งสรุปโดยรวมในปี 2568 เองเนี่ยเราก็ถือว่าเรา ทำได้ตามแผนงาน ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ 100% เต็ม แต่แนวโน้มและทิศทางดีขึ้นนั่นหมายถึงว่า แนวทางวิธีการหรือกลยุทธ์ที่เราวางไว้เนี่ยเรามาได้ถูกทางและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันสำหรับบริษัท ที กรุงไทย

มีคำถามเข้ามานะคะ

  1. ยอดขาย Printer ต่อเดือน: ยอดขายจากลูกค้า Printer โดยเฉลี่ยเริ่มแต่ปีหน้าเป็นต้นไปเนี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10-15 ล้านบาทต่อเดือน

  2. Utilization Rate ปีหน้า: ณ ปัจจุบันเองเนี่ยยอดขายมันลดลง Utilization เราก็ยังใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ณ ตอนนี้เรามีอยู่ประมาณ 60% แต่หลังจากที่เราได้ลูกค้าลายใหม่เข้ามาในส่วนของPrinter เองเนี่ย Utilization Rate เราเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ก็คือตอนเนี้ย คาดการว่าจะวิ่งจาก Utilization Rate จาก 60% จะวิ่งขึ้นไปที่ประมาณ 72% ภายในปี 2569

  3. ของเสียเมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน: ลดลงประมาณ 2.8% จากเดิมประมาณ 5-6% เราลดลงอยู่ประมาณ 2-3% ณ ปัจจุบันนะครับ ซึ่ง ในส่วนของผอมเสียเองเนี่ยเราก็จะปรับปรุงอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เราจะมี Smart Factory เข้ามา เราจะมี Concept ตัวนี้เข้ามาด้วย ซึ่งในปีหน้าเองเราก็จะ สร้างความท้าทายด้วยครับ ในส่วนของทีมงานก็คือ ของสีจะต้องลดลง หลังจากที่เรามีการปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

  4. รายได้ต่อพื้นที่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ vs Automotive: ตัวเลขที่มีนั่นคือ Automotive เป็น 84% อิเล็กทรอนิกส์เป็น 2% หลังจากที่เรามี ลูกค้ารายใหม่เข้ามาในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์เองเนี่ยจะเพิ่มขึ้น โดยเราคาดการณ์ในส่วนของปี 2569 เนี่ย Automotive จะอยู่ประมาณ 71% อิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 20% จากเท่าที่มี Information แล้วก็เท่าที่มี ที่เราได้รับจากทางในส่วนของลูกค้า

  5. โฟกัสปี 2569 นอกจากสภาพคล่องและ HR: HR ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่ เพราะเราก็ยังมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เราเพิ่มขึ้นมานะครับ เพื่อให้สร้าง ขอใช้คำว่าขีดความสามารถ ให้เพิ่มมากขึ้น เราก็จะมองในเรื่องของ Smart Factory นะครับที่ๆเรามองไว้ อีกส่วนนึงก็คือในเรื่องของการจัดการพลังงานนะครับโซลาร์ลูฟ แล้วก็มีโปรเจคที่จะลงโซลาร์ลูฟนะครับ และก็อีกส่วนนึงเองเนี่ย เราก็ยังจะมองหาเนื่องจาก Utilization ยังไม่ได้เต็ม เราก็ยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ กับลูกค้าใหม่ๆ ด้วยซึ่งซึ่ง เป็น 3 คีย์หลักที่เราจะยังคอยโฟกัสแล้วก็จะมุ่งเน้นเพื่อให้ อ่า ตอบโจทย์นะครับ ให้มันมากขึ้นแล้วก็สร้างศักยภาพ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น

การนำเสนอจบลง ขอขอบคุณท่านผู้ฟังทุกท่าน

สรุป: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดยานยนต์จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ TKT ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเน้นที่การบริหารจัดการต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายโอกาสทางธุรกิจไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาช่วยเสริมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2569

หัวข้อคำถามช่วงถาม-ตอบ เริ่มต้นในนาทีที่ 40:00
  1. ยอดขาย Printer ต่อเดือน

  2. Utilization Rate ปีหน้า

  3. ของเสียเมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน

  4. รายได้ต่อพื้นที่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ vs Automotive

  5. โฟกัสปี 2569 นอกจากสภาพคล่องและ HR