สรุปงบล่าสุด TGH

บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## สรุปผลประกอบการหุ้น TGH: บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปี 2567 (ฉบับปรับปรุง)
**สรุปสั้น:**
บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TGH) รายงานผลประกอบการปี 2567 โดยมีกำไรสุทธิ 430 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 313.5% จากปีก่อนหน้า ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 16.6% เป็น 10,411 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่ายุติธรรมของตราสารหนี้ในธุรกิจประกันชีวิต, กำไรสุทธิ, และกำไรจากการขายที่ดินและอาคารสำนักงานของบริษัทย่อยแห่งหนึ่ง TGH ไม่ได้ระบุค่า NIM, NPL และ Coverage Ratio ในรายงานผลประกอบการฉบับนี้
**เศรษฐกิจ:**
ในปี 2567 ธุรกิจประกันชีวิตโดยรวมมีการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ (First Year Premium) เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ตลาดรถเช่าองค์กรมีการชะลอตัวและการแข่งขันสูง ยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลง 26.2% โดยเฉพาะรถกระบะที่ลดลงถึง 38.3% จากการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ราคารถยนต์มือสองยังคงลดลง
TGH ไม่ได้มีการเปิดสาขาใหม่ในช่วงปี 2567
**การเปลี่ยนแปลงของกำไร:**
* **รายได้:** รายได้รวมของ TGH เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.01% โดยมีรายได้จากธุรกิจประกันชีวิตลดลง 6.1% เนื่องจากเบี้ยประกันชีวิตรับชำระครั้งเดียวผ่านช่องทางสถาบันการเงินลดลง และการรับประกันชีวิตกลุ่มเข้มงวดขึ้น แต่รายได้จากธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้น 3.8% จากเบี้ยประกันภัยรถยนต์และทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากธุรกิจการเงินเพิ่มขึ้น 11.6% จากการขายรถยนต์ที่หมดสัญญาเช่า
* **ค่าใช้จ่าย:** ค่าใช้จ่ายรวมลดลง 2.1% โดยค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยลดลง 12.9% จากค่าสินไหมทดแทนสุทธิของธุรกิจประกันชีวิตที่ลดลง แต่ต้นทุนทางตรงจากการให้เช่าเพิ่มขึ้น 15.9% จากต้นทุนการขายสินทรัพย์ให้เช่าตามสัญญาเช่าดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกำไร: การลดลงของค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัย (โดยเฉพาะค่าสินไหมทดแทน) ในธุรกิจประกันชีวิต และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจการเงิน มีส่วนช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิของ TGH เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
**สินเชื่อและสัดส่วน:**
TGH ไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อโดยตรงในรายงานฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการเงินของ TGH เกี่ยวข้องกับการให้เช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้สินเชื่อ จากข้อมูลที่มีอยู่ สัดส่วนสินเชื่อสูงสุดของ TGH น่าจะอยู่ในธุรกิจการเงิน โดยมีจำนวนรถยนต์ให้เช่าประมาณ 22,000 คัน ณ เดือนธันวาคม 2567
**ปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสการลงทุน:**
* **ความเสี่ยง:** ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การแข่งขันที่สูงในตลาดประกันภัยและตลาดรถเช่า สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัย
* **โอกาส:** โอกาสในการลงทุน ได้แก่ การเติบโตของตลาดประกันชีวิตและประกันภัยในระยะยาว การขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ
**ความยั่งยืนและ ESG:**
TGH ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลและความยั่งยืน โดยมีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน บริษัทได้ลงทุนในผู้ออกตราสารที่ผ่านการพิจารณาด้าน ESG ในสัดส่วนประมาณ 85% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาธุรกิจบริการรถยนต์เช่าแบบสมาชิกรายเดือน (Drive by TGH) การให้เช่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า และการให้สินเชื่อกับธุรกิจที่ใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
**มาตรฐานการรายงานทางการเงินใหม่:**
TGH กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่องสัญญาประกันภัย (IFRS 17) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568
**สรุปสั้นท้ายสุด:**
ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อรายได้และกำไรของ TGH ในปี 2567 ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัย (โดยเฉพาะค่าสินไหมทดแทนของธุรกิจประกันชีวิต) การเติบโตของรายได้จากธุรกิจการเงิน และสภาวะตลาดของราคารถยนต์มือสอง นอกจากนี้ การปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่ายุติธรรมของตราสารหนี้และการขายสินทรัพย์ยังส่งผลดีต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
TGH ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ NIM, NPL และ Coverage Ratio ในรายงานฉบับนี้ ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดเหล่านี้กับผลประกอบการของบริษัทได้
โดยรวมแล้ว TGH แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างผลกำไรในสภาวะตลาดที่ท้าทาย นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงานทางการเงิน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ และติดตามพัฒนาการของบริษัทอย่างใกล้ชิด ก่อนตัดสินใจลงทุน
(35.94%)
(4.59%)
(51.90%)
(5.23%)
(11.74%)
(0.61%)
(40.34%)
(8.06%)
(121.09%)
(112.96%)
(14.37%)
(329.28%)