TAN
บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

TAN : สรุป Oppday Q4/2024 - ฝ่าวิกฤตผลกำไร ปรับกลยุทธ์สู่การเติบโตยั่งยืน

สวัสดีครับ ท่านผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่สนใจ ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN กลับมาพบกันใน Oppday Q4 และปี 2024 โดยคุณ ธนพงศ์ จิราพิสุทธิ์กุล CEO และคุณ ศิวพร VP ของ Finance & Accounting จะมาให้ข้อมูล และคุณ เอกชัย ช่วยตอบคำถาม

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

ผลประกอบการในไตรมาส 4 และทั้งปีน่าผิดหวัง มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ยังอ่อนประสบการณ์ในการจัดการและเตรียมตัว ซึ่งจะรับผิดชอบและทำให้ดีขึ้นในปีนี้

ปัจจุบัน TAN แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

  • Fashion Group: มีแบรนด์ใหม่ MMC6 เปิดดำเนินการขายช่วงปลายไตรมาส 1 ที่สยามดิสคัฟเวอรี่
  • Lifestyle Group: มีแบรนด์ Pandora และ Cath Kidston
  • Beauty & Wellness: แบรนด์ Panpuri เป็นหลัก
  • F&B: Gordon Ramsay Brands เป็นเรือธง

กิจกรรมสำคัญในไตรมาส 4 คือการเปิดสาขาใหม่ Pandora ที่สุราษฎร์ธานี และ Central Pattaya Beach, Marimekko ที่ Takashimaya Singapore, และร้านอาหาร Residence Kitchen ที่ Icon Siam รวมถึง Pandora ครบ 50 สาขา

แม้จะยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานในยอดขายที่เติบโตแบบ 2 หลักได้ แต่เป็นการเติบโตที่มาจาก Same Store Sales Growth เพียง 4% โดยไตรมาส 1 ติดลบ 1% สาเหตุหลักมาจากการปรับราคาสินค้า Pandora ในช่วงปลายพฤศจิกายนต่อเนื่องถึงธันวาคม ซึ่งเป็นการปรับราคาในรอบหลายปี เนื่องจากการมีต้นทุนการซื้อสินค้าสูงขึ้น

การปรับราคาสินค้าครั้งนี้สูงขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 27% ต่อ 1 SKU ซึ่งมีผลกระทบทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าในช่วงปลายปี หากมองกลับไป ควรจะปรับเป็น 2 รอบ เพื่อลดทอนความรู้สึกว่าแพงเกินไป

โดยภาพรวมทั้งหมด ไตรมาส 4 มียอดขายบวก 17.7% และทั้งปีบวก 22.8% หากรวม Other Income, Total Year Net Revenue Growth คือ 24%

กำไรที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมีผลทางตรงจากการลงทุนที่เกิดขึ้นในรอบปี และเป็นเรื่องของ One-Time Adjustment ในส่วนของงานบัญชี ซึ่งเป็นการปรับให้เข้ากับ Standard ของ Thai GAAP หรือ IFRS ไทย

การเตรียมพร้อมในการทำกิจการต่างประเทศยังไม่แม่นยำพอ ทำให้การ Audit ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นบริษัท Non-Public ปรับตัวไม่ทัน จึงมีการปรับรายการค่อนข้างมากและอยู่ในไตรมาส 4 เกือบทั้งหมด ส่งผลให้ไตรมาส 4 มีกำไรที่เปลี่ยนแปลงและเหวี่ยงเกินไป

กำไรที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 67%, และลดจาก Q ก่อนหน้า 13% ทั้งปีสรุปคือ กำไรลดลงจากปีก่อนหน้า 22% ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 23%

ถึงแม้ว่าตัวรายได้จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องมาจากหลัง COVID มี Chart ที่สูงขึ้นตามลำดับ มาอยู่ที่ยอดขายรวมประมาณ 1,737 ล้านบาท แต่เส้นสีเหลืองที่เป็น Quarterly Earning ควรจะหงกหัวขึ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งหมายถึง Net Profit Margin ควรจะเป็นตัวเลข 2 หลักในไตรมาสนี้ แต่ก็ทำไม่ได้

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

รายได้ของ TAN เติบโตมากขึ้นจาก Concept Shop ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเลือกที่จะมียอดขายจากสาขาที่ได้เปรียบในเรื่องของอัตรากำไรมากกว่าการแบ่งสัดส่วนรายได้กับ Department Store โดยมี Share จาก Concept Store เพิ่มขึ้น 73% จาก 69%, Department Store ลดลงจาก 16% มาเป็น 13%

มีตัวเลขจากกลุ่มใหม่คือ Food and Beverage เพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 6%, Fashion Group เติบโตขึ้นจาก 19% เป็น 23% และลดการพึ่งพิงของกลุ่ม Lifestyle ที่มี Pandora เป็นแบรนด์หลักจาก 61% มาเป็น 52%

ความโดดเด่นของกลุ่ม Fashion มาจากการเติบโตที่ดีของ Marimekko และมีแบรนด์ใหม่เข้ามาใน Port เช่นแบรนด์ Ganni และ Palm Angels ที่ช่วยส่งเสริมให้ยอดขายไปข้างหน้า

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

Lifestyle Group ไม่ได้แย่ เพียงแต่ Pandora อาจจะเติบโตลดน้อยลงเพราะฐานใหญ่ ส่วน Cath Kidston มีปัญหาต่อเนื่องจากการที่สินค้าไม่ได้เข้า

Beauty and Wellness ยังคงที่อยู่ที่ประมาณ 19%

หารไปได้ดี มีการเจริญเติบโตประมาณ 27% แต่ก็ใกล้เคียงกับภาพรวมของทั้งกลุ่ม

ด้าน Fashion มีการขาดทุนจากการลงทุนเบื้องต้นของร้านใหม่ๆ เช่นในสิงคโปร์ และในสิงคโปร์มีการ Adjust Accounting ค่อนข้างเยอะให้ Align ไปเดียวกับ Gap ไทย

Beauty and Wellness ยังเห็นการขาดทุนจาก Loss น้อยๆ จากหารในต่างประเทศที่เป็น Concept Shop ของตัวเอง และใช้ค่าการตลาดในการสร้างแบรนด์หารในจีนประมาณ 26 ล้าน

F&B เป็นผลจากการขยาย Residence Kitchen แต่ Gordon Ramsay จริงๆ ขาดทุนอยู่ประมาณ 9 ล้าน และอีก 11 ล้านที่ขาดทุนมาจากพวกกลุ่มคาเฟ่ที่เริ่มไม่ทำกำไร เพราะหมดค่านิยม ซึ่งจะทยอยปิดจนครบทั้งหมด

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

ตั้งเป้าให้กิจการต่างประเทศเติบโตได้ดีและเป็นแรงสำคัญในการสร้างกำไรในระยะยาว

ปีนี้จะเน้น Performance ที่ดีขึ้น แต่บางประเทศยังอาจจะไม่สามารถ Break Even ได้ บางประเทศน่าจะเห็นเป็นกำไร โดยเฉพาะประเทศจีน

เป้าหมายคืออยากจะให้สัดส่วนโตไปมากพร้อมๆ กันกับตัวรายได้ที่เติบโต โดยสัดส่วนจะมีมากขึ้น เพราะเราเค้าในเรื่องของ Portion ใหญ่จากหารในประเทศจีนเป็นหลัก ซึ่งมั่นใจว่าน่าจะอยู่แถวๆ ประมาณ 15-16% ของ Revenue ในปีนี้จากต่างประเทศ ล่าสุดอยู่ที่ 8% ของทั้งปี

International Business มี Loss ค่อนข้างเยอะ แต่ในประเทศเองกำไรได้ค่อนข้างดี

มีกำลังฐานของการรักษาผลตอบแทนจาก Resource เดิมในการจะสร้างธุรกิจใหม่ในประเทศได้อย่างค่อนข้างเข้มแข็ง แต่ต่างประเทศต้องแก้ไข

Net Profit Loss ประมาณ 90 ล้านจาก 139 ล้านมันไม่ Make Sense และในปีนี้จะมี One-Time Adjustment ซึ่งก็จะไม่เกิดขึ้นอีก

ต้องมีการ Focus มากขึ้น มีความสนใจโดย CEO เป็นแกนนำหลักในการไปดูในเรื่องของการเพิ่มยอดขายให้ต่างประเทศ เพื่อจะให้ Break Even ได้ไวขึ้น, แผนงานต้องชัดเจน, ไม่ลงทุนอะไรใหม่ในกิจการในปีนี้ที่มันไม่สร้างรายได้ให้เร็ว หรือต่างประเทศต้องหยุดลงทุนก่อน

มีความชัดเจนในการคุม Cost โดยเฉพาะธุรกิจใหม่ๆ อย่าง F&B ต้องแม่นยำมากขึ้นในเรื่องของการคุม Raw Materials Waste หรือแม้กระทั่ง People Cost ที่จะต้องสมดุลกับรายรับที่จะเกิดขึ้น

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

ตั้งเป้าเติบโตใน Revenue ประมาณ 20% โดยจะลดค่าใช้จ่ายลงให้มีความชัดเจนในการสร้างกำไรกลับมาให้มากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า และอาจจะต้องแซงปี 2566 ไปด้วย มีการลดค่าใช้จ่ายทางตรงจากการลงทุนใหม่ โดยไป Focus ในเรื่องของ Project ที่สร้างกำไรในระยะสั้นได้เร็ว และมีการ Revise ตัว Investment Budget ให้เหลือแค่ 4% จาก Revenue จากเดิมปี 2567 ใช้ประมาณ 6.4%

ควบคุมค่าใช้จ่ายของทุกแผนกอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะธุรกิจที่เกิดใหม่อย่าง F&B

การลดการขาดทุนจะดำเนินเป็น Step ดังนี้:

  1. ปิด Cath Kidston สาขาที่ไม่ Perform หรือเป็น Negative Cash Flow
  2. ปิด Cath Kidston Tearoom และคาเฟ่ Marimekko
  3. เพิ่มยอดขายจากกลุ่มธุรกิจ Inter
  4. หยุดการลงทุนใหม่ในต่างประเทศ ยกเว้นส่วนที่มี Partnership กับจีน

ปรับปรุงโครงสร้างทีมงานเพื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ International ให้มี Pattern การทำงาน เรื่องของ Reporting Format ที่มีความเป็น Standard มากขึ้น ทำให้มีความสามารถในการมีความแม่นยำในการอ่านแผนงาน และประกอบมาเป็นร่างของตัว Financial Report ที่ไม่ต้องมีเรื่องของการปรับรายการในอนาคต

F&B มีการวางแผนที่จะต้องควบคุมค่าใช้จ่าย, ลด Waste, Improve Procurement Efficiency, ลดทุน เพื่อให้ Gross Margin ได้เพิ่มมากขึ้น หรือหาช่องทางรายได้ใหม่ๆ เช่น Corporate Sales ในการ Utilize Space ของสาขาที่เปิดแล้วมันสามารถใช้งานได้มากกว่าแค่ Walking Customer

ปรับแผนในการใช้งบการตลาดมาสู่การสร้าง Digital Transformation, เพิ่ม Line CRM ทำให้ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับแบรนด์เราโดยทางตรง ทราบว่ากิจการมีความหลากหลาย สร้างความเชื่อมโยงทางปฏิบัติในการใช้ประโยชน์ระหว่างแบรนด์ A กับแบรนด์ B, ใช้ Marketing Automation จริงจังในการ Engage และ Shape Profile ของ Customer ให้กลับมาซื้อซ้ำ และหมุนเวียนอยู่ใน Ecosystem ของกลุ่มแบรนด์ธนจิรา

มีความสนใจในการที่จะเพิ่มยอดขายและลดการพึ่งพิงการใช้ค่าการตลาดที่ไม่มีความชัดเจนในการรับผลตอบแทน ซึ่งจะเป็นส่วนที่จะสร้างกำไรกลับมาและยั่งยืนได้ยาวนานต่อไป

สรุป โดยรวมแล้ว TAN กำลังเผชิญกับความท้าทายในการสร้างผลกำไร โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กร การควบคุมค่าใช้จ่าย การเน้นการลงทุนในโครงการที่สร้างผลกำไรระยะสั้น และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายที่จะกลับมาสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในอนาคต

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) เริ่มต้น นาทีที่ 42:36

ปี 2024 ที่บริษัทเคยตั้งเป้าเติบโต Double Digit แต่ผลการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับเป้าที่เติบโต บริษัทมีแนวทางแก้ไขและดำเนินการอย่างไรในปี 2025? * ยอดขายข้างบนเติบโตสองหลักตามที่ตั้งใจ แต่บริษัทไม่สามารถเติบโตของกำไรไปข้างหน้าได้ ไม่เพียงแค่หนึ่งหลัก กลับกลายเป็นถอยหลังลง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญและต้องมีความสามารถในการแก้ไข Summary อีกนิดนึงคือหนึ่ง มันมาจากต่างประเทศเยอะ เราต้องลดทอนความเสียของกำไรจากต่างประเทศให้น้อยลงไปมากๆ ในขณะที่ใน ต่างในประเทศเนี่ย ก็จะก้าวไปข้างหน้า Cell Gross ในปีนี้เนี่ย ก็ยังเชื่อมั่นว่ายังอยู่ในตัวเลขสองหลักได้ จากสิ่งที่เราเนี่ย มี การตั้งใจทำไว้ในปีที่แล้ว มาเป็นปีนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มขนาดนั้น ส่วนในเรื่องของกำไรข้างล่างเนี่ย ถ้าลดทอนจาก Loss จากต่างประเทศให้มากเท่าไหร่เนี่ย ก็จะเป็นบวกกับภาพรวมใน Consolidate แล้วก็สามารถเติบโตเป็นสองหลักได้ในปีนี้ แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 เป็นอย่างไร มีปัจจัยอะไรเป็นตัวหนุน? * สำหรับไตรมาส 1 ตอนนี้เนี่ยก็เข้ามาสู่ สองในสามเดือน รีเทลปีนี้ยาก ยากมากในการที่จะ Capture ลูกค้าได้เหมือนกับก่อนนะครับ แต่เรายังเห็น Cell Gross อยู่ นะครับ แต่ว่าไม่ได้มากนะครับ โดย ใน Quarter To Date นะครับ สองเดือน Ending สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เรามี Cell Gross อยู่ 3% Same Cell Gross เราลบอยู่ 5% แล้วอันนี้รวมทุกอย่างที่เป็นในสี่กลุ่มธุรกิจรวมถึง F&B ไปด้วย ทิศทางของการเติบโตในไตรมาส 1 ในส่วนที่เราเห็นในเรื่อง Sales Pattern นะครับใน ในเดือนมีนาคมเนี่ย เราคิดว่ามันมีพัฒนาการที่ดีขึ้นนะครับ แล้วก็ส่วนที่มาจากต่างประเทศเนี่ย มีพัฒนาการอย่างชัดเจนในเรื่องยอดขายที่ไปข้างหน้า แล้วก็ไอ้พวก One Time Loss เนี่ย ก็จะไม่เกิดขึ้นในในในไตรมาสที่ 1 อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมาดูรายประเทศว่ามีรายการที่มีค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวข้องกับทางสาขาโดยตรงอย่างไรบ้าง ภาพโดยรวมผมขอให้ประมาณนี้ก่อน ปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้เท่าไหร่ ใช้ลงทุนอะไรบ้างครับ? * ปีนี้มีงบลงทุนอยู่ประมาณ 70-80 ล้านบาท จากปีที่แล้วอยู่ที่ 116 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงประมาณ 30 กว่า% งบการลงทุนใน 70-80 ล้านบาทในปีนี้ จะสามารถทำสาขาใหม่ได้ประมาณ 16-10 Project แล้วถ้าคิดเป็น Total Project เนี่ยคือ 26 อีก 16 Project เนี่ย คือการ ย้ายร้าน ปรับปรุง หมดสัญญาต้องย้ายพื้นที่ โดยส่วนมากเนี่ย เป็น Project อยู่ในประเทศไทยนะครับ อันนี้คือ งบลงทุนในปีนี้ สัดส่วนรายได้จากธุรกิจในประเทศและต่างประเทศเป็นเท่าไหร่ และในปีนี้จะมีการปรับสัดส่วนไหมครับ? * อย่างที่เรียนไปนะครับในสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศตอนนี้อยู่ 8% ในประเทศอยู่ 92 ในปี 2568 ผมตั้งใจว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเนี่ย จะเติบโตมาอยู่แถวๆ ประมาณสัก 15% ถึง 16% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจาก Gross ของจีนนะครับ ของหารในประเทศจีน และธุรกิจต่างประเทศจะเริ่มกลับมามีกำไรประมาณปีไหนครับ? * เราต้องเรียน ท่านผู้ถือหุ้นแล้วก็ผู้ที่สนใจอย่างงี้ว่า ไม่ใช่ทุกประเทศนะครับ จะมี Break Even Line ที่เท่ากัน ถ้ามองจาก ศักยภาพแล้วก็ตัวโครงสร้างธุรกิจเนี่ย เราไม่ควรจะเห็น Loss ของหาร China ในปีนี้ เราไม่ควรจะเห็น Loss ของ หาร Japan ในปีนี้นะครับ Given ในเรื่องของ Cost To Sales ที่เรามี แต่เวียดนามเนี่ย เราอาจจะมี Loss เล็กๆน้อยๆนะครับ จากการที่เค้าอยู่ใน Cycle ที่พึ่งเริ่มเปลี่ยนจากการขาย Cath Kidston ไปสู่แบรนด์อาหาร และธุรกิจของที่หารเวียดนามเนี่ย ส่วนมาก rely on Online ซึ่งมีค่าใช้จ่ายกับ KOL ค่อนข้างเยอะ แล้ว Cath Kidston เนี่ย เราก็ค่อยๆ Unwind ลงเหมือนกับประเทศไทย ส่วนสิงคโปร์เนี่ย ก็คือเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายทั้งเรื่องของมนุษย์กับเรื่องของค่าเช่าสูง แต่ด้วยการจัดการที่ดีเนี่ย Loss มันควรจะเล็กลงมากนะครับ แต่ว่าเราไม่ ไม่สามารถที่จะ Break Even ภายในสองปีแรกนะครับ เพราะว่าเมื่อปีที่แล้วเป็น เป็นปีแรกเต็มตัว ถ้าจะตอบว่า ธุรกิจต่างประเทศจะเป็น Black จะเป็นสีดำทั้งหมดเนี่ย ผมคิดว่าน่าจะเห็นในปี 2569 มากกว่าในปีนี้ครับ Same Store Sales Growth เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 ประมาณเท่าไหร่ครับ? * ขอตอบเป็น Quarter Date ไปเลยนะครับ ก็คือ Quarter To Date ตอนนี้ Same Store Sales Growth -5 ครับ แนวโน้มกำไรไตรมาส 1 เทียบ Year On Year และ Q On Q เอ่อ เป็นอย่างไรครับ? * คำถามนี้คงตอบไม่ได้ตรงๆนะครับ เป็นอะไรที่เป็น การชี้นำมากเกินไปนะครับ แต่ว่าบริษัท มีความตั้งใจจะทำผลการดำเนินงานให้ดีในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าปัญหาการขาดทุนในต่างประเทศจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้เมื่อไหร่ครับ? * อย่างที่เรียนไปเมื่อสักครู่ครับคิดว่าถ้าทั้งหมดเลยก็จะเป็นสองห้าหกเก้า บางส่วนก็จะเห็นน่าจะเป็น ตัวดำในปีนี้ บ้างแล้ว ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะทำกำไรให้เติบโตได้กี่เปอร์เซ็นต์ กำไรประมาณกี่ล้านบาทครับ? * ในส่วนกำไรล้านบาทก็คง คงตอบ ตอบเป็นไม่ได้ใน ใน ในที่แห่งนี้นะครับ แต่ว่า การเจริญเติบโตของเราเนี่ย ผมมองว่า เป็น เป็นภาพที่ควรจะไม่ใช่แค่ กลับไปที่ 2566 ก่อน 67 ที่เราลดลงมานะครับ เราควรจะสามารถเติบโตได้ ตาม ตามโครงสร้างของ Business Model ที่ เรามีรายได้สูงขึ้น Fixed Cost อยู่ที่เดิม มันควรจะมีกำไรที่ดีขึ้นนะครับ โดยปัจจัยหลักตอนนี้ก็คือในประเทศเนี่ย ไม่ได้เป็นประเด็นถึงแม้ว่าเศรษฐกิจก็ดูจะค่อนข้างเปราะบาง มันอยู่ที่ต่างประเทศที่มาๆไม่มาชุดเรา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมจะแก้ต่อไปนะครับ ขอตอบแบบนี้ครับ ข่าวของบริษัทที่ออกสู่หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจมีน้อยมาก ขอให้บริษัทให้ข่าวให้มากกว่านี้ครับ? * อันนี้ผมขอน้อมรับครับ แล้วก็พยายามจะแก้ไขกับทีม Corporate PR แล้วก็ด้วยความเป็น ความตั้งใจของผมที่อยากจะเป็นผู้ ตอบคำถามแล้วก็ นำเสนอข้อมูลกับทุกท่านเอง ก็เลยยังไม่ได้มี IR นะครับ แต่ว่าเรามีทีมงานในการตอบคำถามด้าน เอ่อ อีเมล หรือว่าช่องทางการถามคำถามนะครับ เอิ่ม การแก้ไขเรื่องนี้ก็คิดว่าควรจะทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ว่าโดยส่วนตัวผมคิดว่าข่าวสารที่มี เอ่อ รายละเอียดควรจะถูกส่งมากกว่าการส่งอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าผมจะน้อมรับเรื่องนี้ไปแก้ไขให้ดีขึ้นครับ จากนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบกับ กับบริษัทไหม ทั้งทางตรงและทางอ้อมครับ? * ทางตรงไม่มีแต่ทางอ้อมน่าจะเป็นเรื่องของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนนะครับ ซึ่งตอนนี้เราเป็นผู้นำเข้า ถ้ามันมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของค่าเงิน ไม่ว่าจะเป็นสกุลไหนก็แล้วแต่ เราก็ต้องมีความรอบคอบ การแก้ไขก็คือว่าเราจะ แบงหนี้เนี่ย สกุลต่างประเทศเป็น สกุลไทยให้ ให้ได้ตาม Policy ก็คือไม่สูงกว่า ให้ต้องให้เท่ากับ 80% ตอนนี้เนี่ย หนี้ สกุลไทยเราทั้งหมดอยู่ที่ 90% สกุลต่างประเทศอยู่แค่ 10% ก็ไม่น่ากังวลใดๆ สำหรับต่อไปนะครับเป็นการ พบปะ มี คำถามจากนักลงทุนนะครับ ขอชื่นชมบริษัทที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงนะครับ เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ ขอให้บริษัทให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นแบบนี้ในปีต่อๆไปอีกครับ? * ขอบพระคุณครับก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามทำเต็มที่เพื่อให้ นักลงทุน หรือผู้ถือหุ้นไม่เสียเวลา ถือหุ้นแทน ถึงแม้ว่า Capital Gain จะไม่มีนะครับขอบคุณครับ อาหาร ก่อนจะซื้อกิจการมีกำไร 70 ล้านบาท หลังจากนั้นมีโควิดยอดขายตก แต่ปัจจุบันทำไมแม้ แต่ธุรกิจในประเทศก็ไม่สามารถกลับมามีกำไรได้ใกล้เคียงกับงบปี 2018 ครับ? * ผมขอตอบอย่างนี้นะครับ สำหรับท่านที่ ที่ถามคำถามนี้ ในการซื้อกิจการของอาหาร เราไม่ได้มองแค่กำไรในปีนั้นนั้น เรามองเป็น Cash Flow ที่เรา แล้วก็จ่ายไปในมูลค่า ซึ่งมีคำถามอันนี้ในหลายๆวาระว่าซื้อแพง เห็นไหมครับ จริงๆแล้วมันเป็น PE แค่ 14 เท่า แล้วก็มีโควิด ทีนี้การที่เราไปเทียบกับปี 2018 หรือก่อนหน้าว่าเขากำไรเท่านั้นเท่านี้เนี่ย บุ๊คบัญชีของหารในยุคนั้นเนี่ย เป็นบุ๊คที่เป็น Non Public Accounting Entity นะครับ ไม่ได้มีรายการต่างๆที่เป็นเหมือนกับอาหารที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีการต้องตั้งค่าสำรองหรือเรื่องต่างๆที่ทางผู้สอบให้เราตั้งตามมาตรฐานบัญชี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันเกิดขึ้นอธิบายได้ง่ายเลยนะครับว่า การที่เราเนี่ย มี Cell Growth ที่ไม่สูง ตอนนี้คือยอดขายรวมในบุ๊คหารมันแซงปี 2018 ไปแล้ว แต่มันมีส่วนนึงที่เป็นการขายระหว่างกันซึ่งต้อง Eliminate ออก นะครับ ถ้าเรามี Fixed Cost อยู่ที่เท่าเดิมเสมอเหมือนว่าเท่ากับ 2018 กำไรมันก็ควรจะต้องมากขึ้นนะครับ ทีนี้ผมก็ขอนำเสนองานตัวเนี้ยในปีนี้ให้เห็นภาพชัดเจนเพราะว่าเราไม่มี ความจำเป็น ที่จะต้องสร้างการตลาดที่มีมูลค่าสูงนะครับ แล้วเราจะระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการลงทุน เพื่อไม่ให้มี Cost ที่ไม่จำเป็น แล้วก็ให้เห็นภาพกำไรที่มันชัดเจนมากขึ้นของหารนะครับ เราก็จะได้มีความมั่นใจกับทิศทางว่าทำไมเราซื้อมา ถัดไปนะครับปีนี้ Kitchen จะ Break Even ไหมครับ แล้วธุรกิจยังเป็นไปตามที่คาดหวังไหมครับ? * คือโดย Business Model แล้วธุรกิจร้านอาหาร Break Even ภายใน ใน 24 เดือนยังไม่ได้ครับ มันจะต้องมีเวลาของเค้า ถ้าผมทำตามโมเดลที่นำเสนอแผนงานคือเราอยาก Break Even ก่อน 3 ปี แต่มันเป็นการกดดันตัวเองในการทำ Top Line ที่สูงมากๆ นะครับ ผมคิดว่าถ้าจะเอาชัวร์เนี่ย มันน่าจะ Break Even ในช่วงระหว่างปีที่ 3 กับปีที่ 4 ครับ ถัดไปนะครับหานในจีนจะทำกำไรได้เมื่อไหร่? * น่าจะเห็นในปีนี้นะครับ ถัดไปนะครับใน 5 ปีคิดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจแต่ละด้านเป็นอย่างไรครับ? * ใน 5 ปีเนี่ยเรามองภาพใหญ่ว่าจะมาจากต่างประเทศซักประมาณ 25% แล้วก็ในประเทศที่เหลือ แล้วก็ในประเทศเนี่ยถ้ารวมกันแล้ว Composition เนี่ยมันจะ Even มากขึ้น ก็คือ Lifestyle ไม่ได้ถึงขนาด 50% อย่างวันนี้ก็อาจจะเป็น 40 แล้วก็เป็น Fashion 30 แล้วก็ลดหลั่นกันไป ต่อไปคำถามสุดท้ายนะครับปีนี้จะมีแบรนด์ เพิ่ม เอ่อ แบรนด์เพิ่มด้านไหนบ้างครับ? * เป็น Fashion Group 1 แบรนด์คือ MM6 ซึ่งได้ประกาศไปแล้ว และน่าจะมีอีกแบรนด์นึงในกลุ่ม Lifestyle เป็น Active Ware แล้วก็เป็นพวก Sport ครับ