สรุป OPPDAY หุ้น SNNP
Oppday
สรุป OPPDAY
```html
SNNP ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ! โชว์ผลงาน Q3/2568 ท่ามกลางความท้าทาย พร้อมมองอนาคตเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP จัดงาน Oppday เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาสที่ 3 และแนวโน้มธุรกิจในอนาคต โดยมีผู้บริหารเข้าร่วมให้ข้อมูล ได้แก่ คุณฐากร ชัยสถาพร (CEO) และคุณวิโรจน์ วชิรเดชกุล (Senior Executive Vice President)
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ธุรกิจของ SNNP เผชิญกับความท้าทาย (Challenge) ค่อนข้างมาก ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก
- ปัจจัยภายนอก:
- สภาพเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกชะลอตัว
- การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว
- กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
- หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น
- จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง
- สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ปริมาณน้ำฝนมากและยาวนานกว่าปกติ
- ตัวเลขทางการเงิน:
- ยอดขายรวมลดลงประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
- ยอดขายในประเทศยังคงเติบโตได้ 2%
- ยอดขายต่างประเทศติดลบ 16%
- GP Margin ใกล้เคียง 30% และมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
บริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตในไตรมาส 4 และปี 2569 จากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
- การคาดการณ์ GDP ที่อาจขยับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4
- นโยบายภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่กระตุ้นกำลังซื้อ
- นโยบายการเงินของภาครัฐที่มีโอกาสปรับให้ดีขึ้น
- การเติบโตของประชากรและกำลังซื้อในประเทศเวียดนาม
- การเติบโตของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Retail Store) ในเวียดนาม
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ:
- ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและในประเทศ
- การแข่งขันที่รุนแรงในตลาด
- ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลต่อการผลิต
- ความเสี่ยงด้านการเมืองในบางประเทศที่ SNNP เข้าไปลงทุน
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
SNNP มีแผนการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนี้:
- ปรับปรุงกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ
- Sourcing วัตถุดิบให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุน
- เพิ่ม Yield และประสิทธิภาพในการผลิต
- ออกผลิตภัณฑ์ใหม่และใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย
- ปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจในต่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
- เน้นการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG)
- ทำ Deep Analysis ความต้องการของผู้บริโภค
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายและแผนการดังนี้:
- โฟกัสที่ Core Brand (เบนโตะ, เจเล่, โลตัส) และต่อยอดสินค้า
- ขยายช่องทางการตลาดให้ตอบรับกับ Event ต่างๆ เช่น คนละครึ่ง
- ติดตามและใช้ประโยชน์จากช่องทางใหม่ๆ เช่น TikTok และ Vending Machine
- พัฒนาธุรกิจในเวียดนามให้กลับมาเติบโต
- ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (Cost Efficiency)
- ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ในทุกมิติ
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 25.30]
- แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2569 และปัจจัยบวก/ลบ
ผู้บริหารตอบ: ไตรมาส 4 เป็น High Season ของธุรกิจ Snack แต่เศรษฐกิจไม่ดีนัก รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้น
- แผนรับมือยอดขายต่างประเทศที่หายไป
ผู้บริหารตอบ: ยอดขายหายไปจากพม่าและเขมร โดยพม่าหายไปชั่วคราวเพราะรัฐบาลต้องการเก็บภาษี คาดว่าปีหน้าน่าจะกลับมาปกติ ส่วนเขมรยังไม่ดีขึ้น จะไปขยายตลาดที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และรัสเซียแทน
- ความเสี่ยงเรื่องต้นทุนภาษีความหวาน
ผู้บริหารตอบ: สินค้าหลักคือ Snack ส่วนเยลลี่ความหวานไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี มีเพียง Magic X ที่อาจโดนบ้างเล็กน้อย
- ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ผู้บริหารตอบ: ธุรกิจมีทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายในประเทศและต่างประเทศใกล้เคียงกัน ทำให้เป็น Natural Hedge ในตัว ไม่ว่าเงินบาทจะแข็งหรืออ่อน ผลกระทบต่อ SNNP น้อยมาก
- ลูกหนี้ค้างชำระ
ผู้บริหารตอบ: ตั้งสำรองครบถ้วนและเหมาะสมแล้ว ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากโมเดลธุรกิจที่เน้น Modern Trade ซึ่งมี Lead Time นานกว่า แต่ไม่มีความเสี่ยงอะไร บริษัทพยายามปรับปรุงกระบวนการให้กระชับขึ้น
- แผนบริหารจัดการ SNNP ที่ผลประกอบการขาดทุนมาตลอด
ผู้บริหารตอบ: การตั้งเป้าธุรกิจแต่แรก กำหนดให้ขาดทุน 3-5 ปี SNNP จึงใช้วิธีผ่าตัด โดย
- ไม่เปลี่ยนทีมบริหาร
- ปรับปรุงหน่วยรถ
- ลด Warehouse
ไตรมาส 3 ขาดทุนลดลงจาก 40 กว่าล้าน เหลือ 20 กว่าล้าน กำไรมาจากค่าฟรีของ Distributor คาดว่าปีหน้าขาดทุนจะลดลงอีก ต้องดูแผนธุรกิจว่าจะกลับมา Break Even เมื่อไหร่
- แผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม
ผู้บริหารตอบ: ไตรมาส 4 น่าจะมีสินค้าใหม่ออกมา 1 ตัว เพื่อกระตุ้นตลาด จะเห็นผล Impact เต็มที่ในปีหน้า
- สัดส่วนรายได้ของเขมรและพม่าเมื่อเทียบกับ Total Portfolio
ผู้บริหารตอบ: 2 ประเทศนี้รวมกันไม่เกิน 3% ของ Total Revenue
- เปรียบเทียบปี 2567 เทียบกับปี 2568
ผู้บริหารตอบ: ปีนี้ยอดขายในประเทศ เติบโต 2% ถ้าโชคดี ปิดปีประมาณ Single Digit ที่โลว์ จะไปปิดปีโตเยอะกว่านี้ ผมคิดว่าค่อนข้างจะลำบาก, ต่างประเทศ ปีนี้มีปัญหาที่ เขมรกับพม่า ตัวเลขเลยไม่โต ถ้าตัดออกไป ตัวเลขถือว่าเติบโตกว่าปี 67
โดยสรุป, แม้ว่า SNNP จะเผชิญกับความท้าทายมากมายในปี 2568 แต่บริษัทก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา
```