สรุป OPPDAY หุ้น SCGP

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุป OPPDAY
สรุป Oppday SCGP: กลยุทธ์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดบรรจุภัณฑ์
สวัสดีครับท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้เข้าร่วมรับชมทุกท่าน SCGP มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Set Opportunity Day ในวันนี้
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):SCGP สรุปผลประกอบการปี 2024 โดยมียอดขาย 132,000 ล้านบาท เติบโต 3% YoY หลักๆ มาจาก Volume ของสายบรรจุภัณฑ์ครบวงจร รวมถึง Fiber โดยเฉพาะ Downstream ที่เป็น Polymer เติบโตได้ดี แต่ Cost of Goods Sold (COGS) ก็เพิ่มขึ้น 1% เป็น 83% EBITDA ปิดที่ 16,337 ล้านบาท ลดลง 9% เนื่องจากราคาขายลดลงและต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น
Profit ปิดที่ 3,699 ล้านบาท Margin ประมาณ 3% กำไรลดลงมีผลมาจาก Financial Cost ที่ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยในต่างประเทศ
Business Portfolio ในสายบรรจุภัณฑ์ครบวงจร, สายไฟบัส, และสาย Recycle ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2023-2024 บรรจุภัณฑ์กระดาษและพลาสติกรวมกัน 37% ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของ Portfolio เป็นไปตาม Strategy ที่ Go Downstream และเติบโต Downstream
Revenue From Sale by Destination ตัว Export ไปที่อื่นๆ นอกอาเซียนลดลงเหลือ 17% หลักๆ คือส่งออกไปจีนลดลงในเรื่องของกระดาษบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก แต่ส่งออกไปอเมริกาประมาณ 3% ของ Portfolio ซึ่งไม่เยอะ
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):SCGP มุ่งเน้นการสร้างการเติบโตใน Domestic ASEAN Market โดยเห็นว่าถึงแม้ Export จะลดลง แต่ Domestic เติบโตถึง 10% ในแง่ของ Volume การขาย การ Transform Port จากจีนมาขายในประเทศมากขึ้น ทำให้ Maintain และ Grow ธุรกิจได้
China เอง Demand ของกระดาษก็ Soft ลงและมีการย้ายฐานออกมา การที่ย้ายฐานใน ASEAN ทำให้ Catch โอกาสตรงนี้ได้ ในแง่ของ Fiber Packaging (กล่องบรรจุภัณฑ์) ASEAN เติบโต 4% ในแง่ Volume Export ก็เติบโตไปด้วย Polymer Packaging ASEAN โต 9% Export ก็โต 9% เช่นเดียวกัน
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):ความเสี่ยงหลักคือราคาขายที่ลดลง, ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น (โดยเฉพาะเศษกระดาษ), และการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):SCGP แก้ปัญหาโดยลดต้นทุนด้านพลังงาน, ปรับ Port ไปยังตลาด Domestic มากขึ้น, เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, และเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Consumer Link
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):GDP ของ ASEAN ยังเติบโตได้ดี ทำให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยังไปได้ดีและล้อกับ GDP อย่างต่อเนื่อง SCGP ตั้งเป้า Downstream Packaging ที่ Link กับ Consumer ให้เป็นครึ่งหนึ่งของการดำเนินธุรกิจทั้งหมด Customize Made to Order หรือ B spoke Consumer Packaging จะเป็น High Growth และโตพร้อมกับ GDP รายได้ที่มาจากนอกเมืองไทย 2 ใน 3 น่าจะโตจากเมืองไทยการ Diversify Port และ Geography จะทำให้ลดความเสี่ยงลงได้ Consumer Link ปีนี้ 74-75% ตั้งเป้า 3 ใน 4 ที่ 75% และจะขยายต่อไป SCGP จะโต Downstream จาก 41% เป็น 50% โดยเน้น Packaging Paper กล่อง Packaging ที่เป็นกระดาษ Polymer, Food Service และ Healthcare
SCGP ลงทุนที่สเปน และเข้า M&P กับ WEM Thailand ที่ระยอง เริ่มผลิต Sampling Container และ Tip ต่างๆ เพื่อ Move เข้าสู่ Healthcare และผลิต Medical Component เพิ่ม M&P จะมีกล่องกระดาษที่เวียดนามและอินโดนีเซีย Polymer Packaging ที่เวียดนามและไทย Healthcare จะเป็นระดับ ASEAN เพราะจะเป็น Supply Chain ที่ใหญ่มากขึ้น
เป้าหมายปี 2025 คือTurnaround Indonesia Business ในฝั่ง Packaging Paper การ Expansion จะเน้น Chain Integration และ Long-Term Fundamental Innovation จะเน้น Packaging Solution และ Service Provider
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [54:54]
- เป้าหมายและสภาพตลาดในปีนี้
- ไตรมาส 1 มีพัฒนาการที่ดี Volume เติบโตขึ้น Domestic Market ยังถือว่าไปได้ดี สอดคล้องกับการเติบโตของ GDP ในอาเซียน
- ราคาทรงๆ ตัว แต่ Indonesia ปรับราคาขึ้นได้ในกลุ่ม Packaging Paper
- ต้นทุนไม่ได้มี Volatility สูงเหมือนในอดีต RRP มีขึ้นลงตามสถานการณ์ แต่ภาพรวมยังทรงๆ
- ภาพรวมทั้งปีและการเติบโต
- ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายและ EBITDA ขึ้นไปถึง 18,000 ล้าน
- ปีที่แล้วมี One-Time ในบางรายการ ปีนี้น่าจะไปได้ดีกว่าเดิม
- แผน Turnaround Operation ใน Indonesia
- Capacity 70% ขาย Domestic 30% พึ่ง Export ไป China
- ตลาด Consumption ใน China ลดลง, ผู้ผลิตในจีนย้ายฐานผลิตทำให้เกิดการแข่งขันใน Domestic มากขึ้น
- Action Plan หลักๆ:
- Demand มกราคม-กุมภาพันธ์ ปรับตัวดีขึ้น ปริมาณปรับตัวดีขึ้น ราคาเป็นไปตาม Demand Supply
- Operational Improvement ลดต้นทุน (อยู่ในมือเรา) ใช้วัตถุดิบ Domestic มากขึ้น 60% จากเดิม 55%
- ใช้เกรดกระดาษ/เศษกระดาษหลายๆ เกรดมากขึ้น Combine SKU เพื่อลดต้นทุนการผลิต
- ขายกระดาษเราไปให้กล่องมากขึ้น เพิ่ม Integration Level ให้สูงขึ้น
- Capital Restructure ลดภาระดอกเบี้ย (อยู่ใน Process)
- แผนเพิ่มทุนเพื่อ Financial Improvement ใน Façade
- วางแผนมาล่วงหน้าแล้วและเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของตลาดหลักทรัพย์
- ทำ Right Offering ขนาดและราคาอยู่ในระหว่างยื่นกับทาง OJK
- เล็งไว้ว่าจะช่วยลดผลกระทบทางด้านต้นทุนดอกเบี้ยของ Façade ได้พอสมควร
- Façade มีหนี้ประมาณ 16,000 ล้านบาท (เงินไทย) เพิ่มทุนเข้าไปเพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ย
- คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงกลางไตรมาส 3
- Façade Improvement ในไตรมาส 1 และ Utilization Rate
- ไตรมาส 1 จะดีขึ้นกว่าในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา
- การเติบโตในเรื่องของ Domestic Demand
- ตลาด Export ในช่วงแรกอาจจะไปจีนได้น้อยลงบ้าง
- ผลกระทบจาก Seasonality ในช่วงปลายไตรมาส (มีนาคม)
- Overall มองว่า Utilization Rate จะดีขึ้น
- ผลดีของเงิน Digital Phase 3 ต่อธุรกิจ
- Digital Phase 3 เป็นผลดีต่อ Consumption ของ Consumer แน่นอน
- Easy E-Receipt เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้เยอะ (ลดหย่อนภาษี) จะใช้จ่ายใน Consumer Durable Goods เป็นหลัก
- Digital Phase 3 จะ Drive ในส่วนของ Consumption โดยเฉพาะในฝั่งของรากหญ้าและผู้สูงวัย
- การแข่งขันของธุรกิจ Packaging ใน ASEAN ปีนี้
- การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ เป็นกลไกตลาด Demand Supply
- การดูการแข่งขันให้ดู Growth ก่อน Indonesia ตั้งเป้า 7-8%, Vietnam เช่นเดียวกัน
- GDP เติบโตขึ้น Consumption ก็จะไปได้ Utilization ที่ต่ำก็จะใช้มากขึ้น
- New Investment (ไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ ไม่มี) จะมีที่มาเลเซีย (APP ลงเครื่องกระดาษ 1 เครื่อง)
- คู่แข่งในธุรกิจ Packaging
- กระดาษบรรจุภัณฑ์:
- ไทย: SCGP เบอร์ 1 (45%), UTP, PTPS
- เวียดนาม: SCGP เบอร์ 1 (23%), Long Thai Van
- Indonesia: SCGP เบอร์ 2, APP เบอร์ 1
- ฟิลิปปินส์: SCGP เบอร์ 1
- กล่อง:
- ไทย/เวียดนาม: SCGP เบอร์ 1
- Indonesia: SCGP เบอร์ 6, APP เบอร์ 1
- Polymer: คู่แข่งคือ PTT Samaki (ใหญ่กว่า)
- ธุรกิจ Recycle
- ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์มีสัดส่วนใหญ่ของธุรกิจ (38%)
- วัตถุดิบหลักคือ RRP (เศษกระดาษ Recycle)
- พยายามเร่งใช้ Domestic/Local ก่อน (55-60%)
- ต้องมีการนำเข้าอยู่พอสมควร (อเมริกา, ยุโรป)
- ควบคุมคุณภาพของสินค้านำเข้าตั้งแต่ต้นทาง
- มีการเพิ่มมาตรการนำเข้า (EU มีกฎหมายต่างๆ)
- ลงทุนในธุรกิจ Recycle ที่เนเธอร์แลนด์
- วัตถุดิบมีความสำคัญกับเรื่องของปริมาณและสภาพ Demand Supply ของตัวกระดาษบรรจุภัณฑ์
- ไตรมาสที่ผ่านมามีการปรับมาตรฐานในการคำนวณต้นทุน (One-Time กระทบ 260 ล้าน)
- Demand เริ่มดีขึ้น การเก็บวัตถุดิบเริ่มเป็นไปได้มากขึ้น สัดส่วน Margin เริ่มขยายขึ้น
- ขยายฐานการตลาด (อินเดีย, อาเซียน)
- เงินลงทุนของธุรกิจ recycle
การลงทุนของเรา เราเน้นทั้งในเรื่องของ MNP แล้วก็ Organic Expansion โดยหลัก ๆ ของเรา ก็คือเรื่องของการเพิ่ม Integration ให้กับธุรกิจ ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ ลงมาถึงกล่องกระดาษนะครับ การเติบโต ไป ใน ธุรกิจที่เป็นดาวน์สตรีม อย่างเช่น กลุ่มที่เป็น โพลีเมอร์นะครับ รวม ถึงการที่ ไปกลุ่มธุรกิจ ที่มี มาร์จิ้น สูง อย่าง เช่น Healthcare ซึ่งอันนี้ จะเห็น ได้ ว่า ในMP ปี ก่อน ๆ หน้า นี้ ก็ จะเป็น ไป ใน แนวทาง เดียว กัน นะครับ ก็คือ ไป ใน กลุ่มธุรกิจ เหล่า นี้ เพราะ ฉะนั้น ใน Indonesia เอง เนี่ย เรา ก็ เล็งเห็น นะ ตอน นี้ เนี่ยintegration ของ เรา เนี่ย เนี่ย ที่ ระดับ ที่ อาจ จะ ต่ำ นิด นึง นะครับ ก็คือ เรา มี โรง กล่อง อยู่ น้อย เทียบ กับ ตัว Façade ที่ มี ขนาด ใหญ่ เพราะ ฉะนั้น อัน นี้ เป็น Strategic Objective ของ เรา อยู่ ตั้ง แต่ แรก และ ที่ เรา ต้องการ ที่ จะ เพิ่ม ตอน นี้ เรา ก็ มี การ คุย กัน อยู่ นะครับ กับ หลาย ๆ ผู้ผลิต เรา ก็ พยายาม Consider ว่า โรง กล่อง ราย ใด เรา ต้อง ดู ทั้ง เรื่อง ของ ขนาด นะครับ อ่า คุณภาพ ของ ลูกค้า ฐาน ลูกค้า นี่ เป็น สำคัญ เลย ซื้อ มา แล้ว เรา ได้ ฐาน ลูกค้า ที่ อ่า เป็น ที่ พอ ใจ หรือ เปล่า Quality ของ เครื่อง จักร ทั้ง หลาย เพราะ ฉะนั้น อัน นี้ เป็น สิ่ง ที่ ต้อง ใช้ ความ ระมัดระวัง ก็ อ่า บอก ตรง ๆ ว่า คุย กัน อยู่ นะครับ อยู่ ที่ 2-3 ราย แล้ว เรา ก็ คาด ว่า ใน ปี นี้ เนี่ย น่า จะ อ่า สามารถ อ่า อาจ จะ บรรลุ ได้ อย่าง น้อย สัก 1 ราย แล้ว กัน นะ ครับ อ่า ส่วน Timing เนี่ย ต้อง ขอ เวลา ดู อีก ที นึง เพราะ ว่า เรา รีบ ไป ก็ ไม่ ดี ช้า ไป ก็ ไม่ ดี คุณ ก็ ขอ เอา เวลา ที่ เหมาะ สม ก็ แล้ว กัน ครับ"
โดยสรุป SCGP มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด, ลดต้นทุน, เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, ขยายตลาดในอาเซียน, และเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคโดยตรง