SCGP
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

SCGP เผยกลยุทธ์ปี 2568: เน้นขยายลงทุนในอาเซียน รักษา Cash Flow และมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

  • ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2568:
    1. รายได้จากการขาย: 94,000 ล้านบาท ลดลง 7% YoY เนื่องจากราคาขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษปรับตัวลดลงตามแนวโน้มของภูมิภาค
    2. ปริมาณการขาย (Volume): โต 3% จากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในอาเซียน
    3. EBITDA: 12,643 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว แต่คง EBITDA margin ที่ 13%
    4. กำไรสุทธิ: 2,863 ล้านบาท EBITDA margin ลดลงเล็กน้อยเหลือ 3% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนปีที่ผ่านมา
    5. ค่าเงินบาทที่แข็งค่า: ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่มาจากอินโดนีเซียและเวียดนามเมื่อแปลงเป็นเงินบาท

SCGP ดำเนินธุรกิจโดยเน้น 3 กลยุทธ์หลัก:

  • Flexibility: ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ
  • การรักษากระแสเงินสด: เพื่อพร้อมลงทุนและขยายการลงทุน
  • การขยายการลงทุน: ในส่วน Downstream หรือ Packaging
  • การเป็นผู้นำด้าน Sustainability

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

บริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดอาเซียนและมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในภูมิภาคนี้

  • การร่วมทุนกับ Howa Printing: สำหรับบรรจุภัณฑ์ Flexible Packaging ชนิดเปียกสำหรับ Food เป็นหลัก
  • การปรับโครงสร้างในเวียดนาม: เพื่อการเติบโตในอนาคต
  • ตลาดในประเทศอาเซียน: เป็นตลาดที่เติบโตและรองรับการย้ายฐานการผลิตจากจีนและยุโรป

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจากราคาขายที่ลดลงเนื่องจากการแข่งขันและแนวโน้มของภูมิภาค

  • การแข็งค่าของเงินบาท: ส่งผลกระทบต่อรายได้จากต่างประเทศ
  • การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด E-commerce และ Food Delivery
  • การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

บริษัทใช้วิธีการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบ:

  • การจัดการต้นทุนอย่างเข้มข้น: และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • การใช้ Automation: เข้ามาช่วยลดต้นทุน
  • การเพิ่มสัดส่วนการใช้ Local RCP: ในประเทศอินโดนีเซีย
  • การมุ่งเน้นตลาด Domestic: มากขึ้นในอินโดนีเซีย
  • การ Diversification: ไปยังตลาด South Asia (อินเดีย) เพื่อรองรับการ Move จากประเทศจีน

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

SCGP คาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 4 ปี 2568 จะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว

บริษัทจะเน้นการลงทุนและขยายธุรกิจในอาเซียนต่อไป

  • การฟื้นตัวและการขยายฐานในอาเซียน: และการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานจะเป็นตัวช่วยเร่งการเติบโต
  • เศรษฐกิจจีน: จะยังคงชะลอตัว แต่จะยัง Maintain ประมาณ 4-5% GDP ได้
  • การย้ายฐานการผลิต: จากจีนมายังอาเซียนเนื่องจากกำแพงภาษีจาก USA
  • เศรษฐกิจโลก: ในปีหน้าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 52:57]

  1. ปัจจัยที่มีผลต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 3 และแนวโน้มยอดขายไตรมาส 4:
    • ดีมานด์สินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียนยังดีอยู่
    • ส่งออกไปเวียดนามดีใน segment อาหารแช่แข็ง
    • มีปัจจัยด้านฤดูกาล เช่น เข้าพรรษาในไทยทำให้การดื่มแอลกอฮอล์ลดลง
    • Volume ดีขึ้น ไทยฟื้นจากไตรมาส 2 ที่มีวันหยุด ส่วนเวียดนามและอินโดนีเซียยังดีอยู่
    • ราคาลดลงเล็กน้อย แต่มีเรื่องต้นทุนมา Offset ทำให้ Margin ในไตรมาส 3 ดีกว่าไตรมาส 2
    • ไตรมาส 4 volume น่าจะยังดีอยู่ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐก็มีส่วนช่วย
    • การเตรียมการผลิตสินค้าสำหรับช่วงสิ้นปีและตรุษจีนปีหน้าก็มีผลดี
    • Margin ในไตรมาส 4 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3
  2. แผนงานปี 2569 จะมีการเสนอ Board หรือสรุปได้ช่วงไหน:
    • Kick off การทำแผนตั้งแต่เมษายนของต้นปี
    • สิงหาคม: นำเสนอ Medium Term Plan (แผนงานระยะกลาง 3-5 ปี)
    • กันยายน-ตุลาคม: Laydown ทำแผนงาน
    • 25 พฤศจิกายน: นำเข้า Board เพื่ออนุมัติแผนงานปีหน้า
    • แผนงานต่อเนื่องจากปีนี้ คือการ Transform ธุรกิจ (จาก Manufacturing เป็น Product และเป็น Services)
    • Services: เน้นเรื่อง Solution, Market Service และ Branding (Customer Centricity)
    • 4 เรื่องหลักที่ทำ:
      1. Business Model Transformation (Value Growth และ Expansion เน้น Downstream)
      2. People Empowerment (สร้าง People capability และ Mindset ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า)
      3. Digital Transformation หรือ Intelligent Manufacturing (ขยายผลต่อเนื่อง)
      4. Circular Economy และ Sustainability Transformation (ลด Green House Gas ลง 25%)
  3. การนำเข้าวัตถุดิบกระดาษ Recycle (RCP) จากอเมริกาเป็นสัดส่วนเท่าใด:
    • เมื่อก่อนใช้ในประเทศครึ่งหนึ่ง นำเข้าครึ่งหนึ่ง ปัจจุบันเพิ่มสัดส่วนการใช้ในประเทศขึ้นเรื่อย ๆ
    • ไตรมาสล่าสุด RCP ที่ใช้เป็น Local Source ในไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมกันเพิ่มขึ้นเป็น 65%
    • Import จากยุโรปประมาณ 50-60% ส่วนที่เหลือจากอเมริกา
    • พยายาม Manage Source ของ Supply ให้เข้าใกล้จากแหล่งมากที่สุด
    • ในไทยมีการตั้ง Recycling Center และ Recycling Partner
    • ต่างประเทศก็พยายามสร้าง Supply Chain ให้แข็งแกร่ง
    • มีสำนักงานอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ (Sourcing Arm) และบริษัท Jordan Trading (หา AOC จากอเมริกา)
    • แนวโน้มราคาวัตถุดิบนำเข้าจากอเมริการะยะสั้นลดลง
    • ระยะกลางต้องดู Demand Supply ในช่วงฤดูหนาว และการ Run Paper Mill ในอเมริกา
  4. การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด E-Commerce และ Food Delivery ในจีน จะส่งผลต่อราคาวัตถุดิบและปริมาณการขายที่เกี่ยวข้องกับ SCGP อย่างไรบ้าง:
    • ราคาวัตถุดิบ (Short Fiber) อยู่ใน Trend ที่ Downward Trend
    • แบ่งพอร์ตสินค้าหลากหลาย ถ้าเป็น Street Food อาจมีผลกระทบเรื่องราคาบ้าง แต่ถ้าเป็น SME และโรงงานต่าง ๆ จะสามารถดำเนินการต่อได้
    • Food Delivery ในจีนมีการแข่งขันสูง ทำให้ต้องลดต้นทุน
    • ต้องลดต้นทุนการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์ (ใช้ถุงพลาสติกและ Bubble แทน)
    • การใช้กล่องจะลดลง แต่ Demand อื่น ๆ ยังโตขึ้น
    • SCGP ได้เปรียบในส่วนของ Fiber Business (Food Service Packaging ในไทย)
    • ราคาขายขึ้นกับ Global Demand เป็นหลัก
    • Supply (การขยายกำลังผลิตเยอะทำให้ Over Supply)
    • ราคาวัตถุดิบ (มีผลต่อต้นทุนและราคาขาย)
    • SCGP ปรับจาก Manufacturing เป็น Product และเป็น Services (Customer Centricity มากขึ้น)
    • การนำเสนอ Solution ทำให้ลูกค้าพร้อมที่จะจ่ายมากขึ้น
    • SCGP ทำ Value Proposition (ลูกค้าแต่ละรายต้องการสินค้าและคุณภาพแตกต่างกัน)
  5. การมี MyPack จะช่วยเรื่องการดำเนินงานของ Fajar และ SCGP ในประเทศอินโดนีเซียในภาพรวมอย่างไรบ้าง:
    • สอดคล้องกับ Strategy ระยะยาวที่จะเพิ่มตลาดในอินโดนีเซียที่เป็นประเทศหลัก
    • เพิ่ม Market Share ให้กับ SCGP ได้
    • เพิ่ม Integration Level (สัดส่วนผลิตภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์ของ Fajar)
    • Integration Level เพิ่มจาก 18% เป็น 26%
    • ตาม Model ของเมืองไทยและเวียดนามที่เพิ่ม Integration ไปให้ได้ถึงระดับเกิน 50%
    • Cross Selling ได้ (ลูกค้าของ MyPack อยู่ในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่เป็น Brand Owner ทั้ง Multinational และ National Champion)
    • MyPack มี Asset ที่ดี มีเครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ผลิตเกรดได้ดีขึ้น
  6. ผู้ถือหุ้นอยากทราบว่าโครงการคนละครึ่ง มีสถิติที่จะช่วยเรื่องของยอดขายของเราได้เป็นอย่างไรบ้าง
    • ขอบคุณรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ก็พยายามจะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฝั่งของ Consumer และวันนี้เราเห็น Inflation เริ่มเริ่มติดลบนะครับ
    • โครงการคนละครึ่งมีส่วนดีที่ช่วย โดยเฉพาะในส่วนของที่เรียกว่าเป็น Fast Moving Consumer Goods และก็รวมถึง Process Food ต่าง ๆ
    • ตรงนั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยและให้ Packaging เนี่ยมีการใช้มากขึ้น แต่ต้องอย่าลืมว่าของ STCP เองส่วนหนึ่งเราก็มีเลยว่า เป็น Industrial Packaging ก็คือ Consumer Derivate Goods ต่าง ๆ แต่ยังไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่าอันนี้ก็จะเป็นประโยชน์ แล้วก็ดีมาก ๆ ในการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้วก็ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายพอช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายก็จะทำให้มีการใช้ตัว Packaging เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในมกราคมปีหน้า ตอนเรามาเจอกันอีกครั้งนึง สุขปีหน้าก็จะมาหลุดยอด ให้ฟังว่าคนละครึ่งเนี้ยมีผลต่อ Packaging อย่างไรครับ

โดยสรุป, SCGP มุ่งเน้นการเติบโตในตลาดอาเซียน, การจัดการต้นทุน, การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, และการสร้างความร่วมมือกับลูกค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก, SCGP ยังคงมองหาโอกาสในการเติบโตและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก