สรุป OPPDAY หุ้น SCC
Oppday
สรุป OPPDAY
## SCC โชว์ผลงาน Q3 ปี 2568 ท่ามกลางความท้าทาย พร้อมปรับกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจผันผวน
สวัสดีท่านนักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่งาน Opportunity Day ของ SCG สำหรับงวดรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่ SCG ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือการควบคุมและลดหนี้สิน เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินของบริษัท
- Deleverage: พยายามควบคุมหนี้สินไม่ให้เพิ่มขึ้นและลดลง เพื่อให้ Balance sheet มีความมั่นคง
- Cash Flow: ให้ความสำคัญกับการจัดการกระแสเงินสด แม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย
- สินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร: หยุดดำเนินการสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร และขายสินทรัพย์ที่ไม่สอดคล้องกับธุรกิจหลัก
นโยบายเงินปันผลยังคงอยู่ที่ 40-50% ของกำไรสุทธิ แต่จะพิจารณาให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่ทำมาหาได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกจ่ายเงินปันผลไป 2.50 บาท ซึ่งคิดเป็น 90% ของกำไรสุทธิ
สถานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วน Net debt to EBITDA ลดลงจาก 6.3 เท่า เหลือ 4.7 เท่า หนี้สินสุทธิลดลงต่อเนื่อง 32,000 ล้านบาท เหลือ 279,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน ต้นทุนทางการเงินลดลง 193 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปีก่อนหน้า Working capital ลดลง 21,000 ล้านบาท เหลือ 83,000 ล้านบาท และมีเงินสดคงเหลือ 56,600 ล้านบาท
การลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 21,700 ล้านบาท โดย 1 ใน 3 เป็นการลงทุนในธุรกิจ Packaging ที่เวียดนาม และ 1 ใน 4 เป็นการลงทุนในธุรกิจ Chemicals ในโครงการ LSP
EBITDA ในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 14,191 ล้านบาท ลดลง 19% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเงินปันผลรับลดลงและการแข่งขันที่รุนแรง แต่ EBITDA from operation ยังถือว่าทำได้ดี กำไรในไตรมาสที่ 3 ติดลบ 669 ล้านบาท แต่หากปรับรายการ inventory loss ออก กำไรจะอยู่ที่ 774 ล้านบาท
EBITDA ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 44,511 ล้านบาท โตขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า Net profit อยู่ที่ 17,767 ล้านบาท หากถอดรายการ one-time ออก Adjusted earnings จะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า
โดยรวม SCG เน้นย้ำเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน Chemicals ยังคงอยู่ในช่วงที่ท้าทาย LSP กลับมาเดินเครื่องตั้งแต่ 20 สิงหาคม และ Low carbon cement ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตอบรับที่ดี
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
SCG Packaging เข้าซื้อหุ้น 100% ใน Mypack ที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็น Strategic country ที่มีศักยภาพในการเติบโต ช่วยเพิ่ม Integration level จาก 18% เป็น 26% และ Market share จาก 7% เป็น 10%
- SCG Packaging: การเข้าซื้อ Mypack ในอินโดนีเซียช่วยเสริมสร้างธุรกิจปลายน้ำและเพิ่ม Integration level
- Low Carbon Cement: ได้รับการตอบรับที่ดีและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- SCG Cleanergy: ธุรกิจน้องใหม่ที่มีการขยายการติดตั้งไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง
SCG Cleanergy ขยายการติดตั้งไฟฟ้าพลังงานสะอาดจากโซลาร์อยู่ที่ 876 MW และจับมือกับ Rondo Energy ติดตั้ง Heat battery ที่โรงงานปูนซีเมนต์ท่าหลวง จังหวัดสระบุรี เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ
- SCG Cleanergy: ขยายการติดตั้งไฟฟ้าพลังงานสะอาดจากโซลาร์อยู่ที่ 876 MW
- Heat Battery: ติดตั้ง Heat battery ที่โรงงานปูนซีเมนต์ท่าหลวง จังหวัดสระบุรี เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
สถานการณ์ปิโตรเคมียังคงผันผวนและมีความท้าทายจากอุปทานส่วนเกิน เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ Demand ชะลอตัว ราคาแนฟทาที่เป็นต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น
- Chemicals: สถานการณ์ปิโตรเคมียังคงผันผวนและมีความท้าทายจากอุปทานส่วนเกิน
- เศรษฐกิจโลก: เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ Demand ชะลอตัว
- ราคาแนฟทา: ราคาแนฟทาที่เป็นต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น
ใน Q4 ยังคงมีความไม่แน่นอนจากเรื่องภาษีการค้าและ Transshipment เศรษฐกิจไทยเองก็ยังถือว่าต่ำสุดในอาเซียน
- Q4: ความไม่แน่นอนจากเรื่องภาษีการค้าและ Transshipment
- เศรษฐกิจไทย: เศรษฐกิจไทยยังถือว่าต่ำสุดในอาเซียน
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
SCG มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ วัตถุดิบในการผลิตที่โรงงาน LSP โดยสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้โพรเพนได้ถึง 70% เพื่อบริหารต้นทุน
- LSP: มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ วัตถุดิบในการผลิต
SCG มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ใช้พลังงานทางเลือก เช่น Biomass และขยะมูลฝอย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
- เสถียรภาพทางการเงิน: มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
- ลดต้นทุน: ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
- พลังงานทางเลือก: ใช้พลังงานทางเลือก เช่น Biomass และขยะมูลฝอย
- ประสิทธิภาพ: เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
SCG ให้ความสำคัญกับ Innovation และ HVA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร โดยมีสัดส่วน HVA ในกลุ่มธุรกิจ Chemicals ประมาณ 60% ของ Total portfolio
- Innovation & HVA: ให้ความสำคัญกับ Innovation และ HVA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
SCG เตรียมพร้อมสำหรับมาตรฐานความยั่งยืน ISB โดยจัดทำ ESG Data Platform รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและประเมินความเสี่ยงโอกาสและผลกระทบทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
- ความยั่งยืน: เตรียมพร้อมสำหรับมาตรฐานความยั่งยืน ISB
SCG วางแผนที่จะเน้นการลงทุนในประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและมีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก
- เวียดนาม: เน้นการลงทุนในประเทศเวียดนาม
SCG มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Smart Value Product และ HVA เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคต
- Smart Value Product & HVA: มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Smart Value Product และ HVA
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 41:57]
คำถามและคำตอบในช่วง Q&A Session:
Q: นานเท่าไหร่ spread ปิโตรเคมีจึงจะกลับมาเป็นปกติ
A: ต้องดูเรื่อง Supply ว่าจะมี New supply เข้ามามากน้อยแค่ไหน Demand น่าจะโตตาม GDP ปีนี้ยังมี supply ใหม่เข้ามา 2569-2570 เรายังจะเห็น Supply ใหม่ที่ยังเข้ามา 2571 เป็นต้นไปเราจะเริ่มเห็นตัวนี้ที่น้อยลงเราไม่ได้คิดว่า Spread มันจะแย่ไปกว่าช่วงนี้ ถ้าแย่ไปกว่าช่วงนี้ก็จะเห็นเหมือนอย่างที่เกิดมาในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา ผู้ผลิตหลายรายก็ประกาศที่หยุดกิจการ ประเทศต่างๆ เองเช่นประเทศเกาหลีเองก็ต้องออกมาดูเรื่องของการลด Capacity ลงเอาอย่างง่ายๆ 2569-2570 เรายังเห็นธุรกิจปิโตรเคมีอาจจะยังไม่ได้ฟื้น อาจจะมีการฟื้นตัวบ้าง แต่อาจจะเป็นลักษณะ Sideway แต่เราคิดว่าเราเริ่มจะเห็นธุรกิจเนี่ยกลับมาดีได้ Industry แล้วกันนะคะ กลับมาได้ในปี 2571
Q: โครงการ LSP ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอนาคต มีความคืบหน้าตามแผนอย่างไรบ้าง
A: ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เคยเรียนไป เรื่อง Free stock supply นี่เซ็นไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องของการก่อสร้างถังก็เป็นไปตามแผน เรื่องของการปรับปรุงแพลนเพื่อที่จะรับอีเทนก็ดำเนินไปตามแผนเช่นเดียวกัน เรื่องของเรือซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการนำอีเทนเข้ามาก็เรียกว่าทุกอย่างเรียกว่า on plan ทั้งหมด
Q: ใช้ก๊าซอีเทนแล้ว SCC มั่นใจแค่ไหนว่าราคาขายของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะมีราคาที่แข่งขันได้กับจีน หรือคู่ผลิตรายใหญ่อื่นๆ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม
A: การที่นำตัวอีเทนเข้ามาใช้เนี่ยมันมีต้นทุนถ้าเทียบกับแนฟทาแล้วกันนะคะส่วนต่างสัก 250 200-250 เหรียญต่อตันก็เข้ามาช่วยแน่นอนเรื่องของต้นทุนเรื่องของราคาขายเนี่ยต้องบอกว่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเนี่ยราคาขายเรียกว่าเป็นราคา ราคาโลกแล้วกันเป็น Global price นะคะเพราะนั้นจริงๆ สิ่งที่เราโฟกัส ของเวียดนามก่อนนะคะวันนี้เรื่องของต้นทุน เรื่องของอีเทนในฝั่งสินค้า ถ้ามองกลับมาที่เมืองไทยแล้วกันว่าสินค้าเนี่ย ฝั่งที่เป็นราคาเนี่ยก็จะถูก Drive ด้วยตัว HVA นะ ซึ่งเราก็จะ Roll out ตัว HVA เนี่ยเข้าไปที่ประเทศเวียดนามเช่นเดียวกันค่ะ
Q: ผู้บริหารคิดว่า EBITDA จะมีโอกาสขึ้นมาเท่าช่วงก่อนโควิดที่ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทหรือไม่
A: มีโอกาสแน่นอน เพราะว่า ณ วันที่ SCG เรามี EBITDA 5-6 หมื่นล้านเนี่ย ณ วันนั้นเรามี 2 แครกเกอร์ เรามี ROC เรามี MOC จากนี้เราจะ เรามีแครกเกอร์ตัวที่ 3 ก็คือ LSP ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตมา 70% นะคะเพราะนั้น ณ วันที่ Cycle ของธุรกิจปิโตรเคมีกลับมาเนี่ยเราเห็น EBITDA ของ SCG กลับมาที่เกิน 5 หมื่นล้านแน่นอนค่ะ
Q: New S Curve ของ SCG ได้มองหาธุรกิจอะไรที่จะมาช่วย stabilize ผลประกอบการไม่ให้เหมือนในปัจจุบันหรือไม่
A:เอาเอาขึ้นหลังก่อนแล้วกันนะคะว่าวันนี้เรามีธุรกิจอะไรที่ช่วย stabilize เรื่องผลการดำเนินงานเนื่องจากวันนี้ เคมีคอลเรียกว่าเป็นพี่ใหญ่แล้วกันนะคะแต่ว่า พระเอกของเราอย่างที่เปิ้ลเรียนไปวันนี้ก็คือ ธุรกิจซีเมนต์นะคะ ธุรกิจซีเมนต์เนี่ยเป็นธุรกิจที่ด้วยสถานการณ์ เศรษฐกิจแบบนี้ผลประกอบการดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วเขาก็ยังคงเป็น Cash cow ของ SCG เพราะฉะนั้นเนี่ยแน่นอนธุรกิจซีเมนต์ เรื่องของ Low carbon cement ซึ่งวันนี้ ในประเทศไทยเรียกว่าเป็น Low carbon ซีเมนต์เกือบทั้งหมดแล้วนะคะ เราก็มีการ Roll out ไปใน ประเทศอื่นๆ ด้วยนะคะ ก็ตัวนี้แหละค่ะ จะเป็นตัวที่เข้ามาช่วย stabilize เรื่องของผลประกอบการนะคะ New curve เนี่ยก็อย่างที่น้องวินีเล่าให้ฟังนะฮะ ก็เรื่องของธุรกิจจี้นะคะก็ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น Clean Energy เป็นสิ่งที่มาแน่นอนในวันนี้แล้วก็ในอนาคตนะฮะ เรื่องของ Data Center ทุกคนนี่เข้ามาลงทุนเนี่ยถามหาแต่เรื่องของ Clean Energy เพราะฉะนั้นเนี่ยเอิ่มเราเริ่มธุรกิจนี้มาตั้งแต่สักประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว แล้ววันนี้ธุรกิจต้องเรียกว่าก็เติบโตไป in terms of ตัวเมกะวัตต์ที่เราทำได้เนี่ย เอ่อถือว่าไปได้ดีเลยค่ะ
Q: ตลาดปูนซีเมนต์ในต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม
A: เมื่อกี้เรามีขึ้นตรงตาราง เอิ่ม Demand ของแต่ละประเทศ Demand Growth ก็จะเห็นว่า เอ่อถ้าใน ภูมิภาคนี้พระเอกก็ยังคงเป็นเวียดนามนะคะ เติบโตเป็นเรียกว่าเป็น 2 หลักนะคะ เอิ่มในช่วง 3-4 ไตรมาสติดกันแล้วนะคะก็ เอ่อเป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องของการลงทุนอ่าในประเทศเวียดนามนะคะ เอิ่มกัมพูชาเองเนี่ยเอิ่มถึงแม้จะมีความขัดแย้งเอิ่มระหว่างเรื่องของชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาเองเนี่ยแต่ว่าเอิ่มภายในประเทศเขาเรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะจากประเทศจีนก็ยังมีอยู่นะคะก็ทำให้เอิ่มความต้องการการใช้ปูนซีเมนต์ก็ยังเพิ่มขึ้นนะคะ อินโดนีเซียเนี่ยต้องเรียกว่าค่อนข้างแฟลตแล้วกันนะคะอาจจะมีบวกบ้าง ลบบ้าง เค้ามีสะดุดไปในช่วงของการที่เปลี่ยนรัฐบาลแต่ก็เชื่อว่าเดี๋ยวเรื่องของการที่การลงทุนพวกอินฟราสเจอร์ก็จะกลับมาก็ก็เชื่อว่าอินโดนีเซียก็ยังมีโอกาสในการเติบโตอีก
Q: ธุรกิจ SCG investment ปัจจุบันมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง
A: เล่าให้ฟังเป็นแบบนี้แล้วกันว่าธุรกิจเราเรียกการลงทุนนะฮะหรือ Investment เนี่ย 3 ตัวเอิ่มที่เป็นเรียกว่าเป็น เป็น Contributor ให้กับเราเนี่ยเอิ่มตัวแรกเลยก็คือทางเอิ่มธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร หรือทาง Kubota นะฮะก็ Kubota เองเนี่ยอยู่ในประเทศไทยมา 40 กว่าปีแล้วแล้วก็เรียกว่าวันนี้ธุรกิจเขายังถือว่าไปได้ดีนะคะเอิ่มMarket share ของ ทาง Kubota เองเนี่ยรถแทรกเตอร์เขาก็อยู่หลักประมาณสัก 85% นะคะเอิ่มก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไปได้ดีถึงแม้ปีนี้อาจจะมีผลกระทบบ้างจากราคาพืชผลที่ลดต่ำลงนะคะแต่ภาพรวมแล้วก็ยังถือว่าเป็นธุรกิจที่ไปได้ดีมากๆ นะคะตัวที่ 2 จะเป็นธุรกิจเอิ่ม เหล็กรูปพรรณเหล็กโครงสร้างรูปพรรณก็คือตัวสยามยามาโตะ นะฮะจริงๆ อันนี้เราไม่ได้ถือหุ้นเยอะ ถือหุ้น 4% ก็เอิ่มธุรกิจนี้เองเนี่ยได้รับผลกระทบจากเหล็กนำเข้าจากประเทศจีนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นะฮะแต่ข่าวดีที่เพิ่งได้รับก็คือว่าเอิ่ม ได้รับเรื่องของตัว Anti dumping นะคะเอิ่มสำหรับ เหล็กที่นำเข้าจากประเทศจีนเหล็กโครงสร้างรูปพรรณนะคะก็เอ่อเป็นระยะเวลา 5 ปีด้วยอัตราเอิ่ม Duty เนี่ยอยู่ที่ Range ประมาณเนี่ย 31% ถึง 54% นะคะ อีกธุรกิจนึงก็คือเอิ่ม Toyota อันนี้เรามีเอิ่ม หุ้นอยู่ 10% นะคะเอ่อถ้านักลงทุนท่านอาจจะมองว่า เอ๊ะธุรกิจรถยนต์ก็ยังดูอาจจะติดลบด้วยซ้ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานะคะแต่ต้องบอกว่า Toyota เองเนี่ยกลยุทธ์เขามาถูกทาง นะคะเขายังไม่ได้ทุ่มตัวเองไปทาง EV 100% นะคะเขายังเชื่อในเรื่องของ Hybrid นะคะโดยเฉพาะอย่างประเทศไทยเองเนี่ยเอิ่มเรื่องของ infrastructure Charging Station ต่างๆ ต้องเรียกว่ายัง ยังไม่ได้มีความพร้อมมากนักนะคะเพราะฉะนั้นรถ Hybrid เองวันนี้ยังไปได้ดี นะคะแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้สนใจ EV EV ก็แล้วแต่ความพร้อมของ ของแต่ละตลาดด้วยนะคะถ้าเห็นว่าตลาดเอิ่ม ออโต้ในประเทศไทย หดตัวลงเนี่ยแต่ต้องบอกว่า แชร์ของ Toyota เองไม่ได้หดตัวลงเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำค่ะเพราะนั้นโดยรวมเอิ่มธุรกิจการลงทุนที่เราเอิ่ม มีหุ้นอยู่ตัวใหญ่ๆ ทั้ง 3 ตัวเนี่ยต้องเรียกว่าก็ยังโดยรวมไปได้ดีค่ะ
Q: แนวโน้มไตรมาสที่ 4 (ปี2568) จะเป็นอย่างไร จะมีปัจจัยอะไรหนุนและบริษัทวางแผนกลยุทธ์การเติบโตในอนาคตอย่างไร
A: ความท้าทายคือเศรษฐกิจโลกถูก Disrupt ในเรื่องของภาษีการค้า ภาคการเมือง (ในไทย) ต้องติดตาม รัฐบาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มที่ ภาคท่องเที่ยวชะลอตัว แต่คาดนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา ท่องเที่ยวเป็นแรงหนุนที่ดีต่อเศรษฐกิจไทย
Q: สถานการณ์น้ำท่วม ส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่
A: ภาคใต้ ผู้แทนจำหน่ายที่สงขลา หาดใหญ่ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย แต่โรงงานและสถานที่ต่างๆ ไม่ได้รับผลกระทบ
โดยสรุป SCG ยังคงมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการขยายธุรกิจไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน