สรุปงบล่าสุด PTTEP
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP: ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567
ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การได้รับอนุมัติแผนพัฒนาโครงการอานูดาบี ออฟซอร์ 2 ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายภายในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเพื่อขายตัดสินการลงทุนทั้งหมดในโครงการเม็กซิโก แปลง 29 (2.4) ในประเทศเม็กซิโก ให้แก่บริษัท REPSOL EXPLORACION MEXICO, S.A. DE C.V. โดยการซื้อขายจะมีผลสมบูรณ์เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัท เอ็กซ์พลอร์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital หรือ CVC เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีที่จะเป็นแหล่งพลังงานแห่งอนาคต (Future Energy) เทคโนโลยีลดคาร์บอน และเทคโนโลยีที่ใช้ต่อยอดการดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Deep Tech) ได้เข้าลงทุนในการระดมทุนรอบ Series D สำหรับโครงการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานฟิวชั่นในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา การลงทุนนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในการศึกษาแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่และพัฒนาเป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ให้กับ PTTEP ในอนาคต
แผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคตของ PTTEP เน้นการขยายการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพสูง พร้อมทั้ง มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานแห่งอนาคต เทคโนโลยีลดคาร์บอน และเทคโนโลยีที่ใช้ต่อยอดการดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน บริษัทตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตปิโตรเลียมในระยะยาว และ การรักษาความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการความเสี่ยงและการส่งเสริมการพัฒนาสังคม โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 75-85 ดอลลาร์ สหรัฐ ต่อบาร์เรล
ผลประกอบการของ PTTEP ในไตรมาส 3 ปี 2567 แสดงให้เห็นถึงความท้าทายจากราคาขายเฉลี่ยของน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทและกำไรจากการดำเนินงานปกติลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 โดยหลักจากปริมาณขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 475,078 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปีของโครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ โครงการคอนแทรัค 4 และ โครงการจี 1/61 สุทธิกับโครงการมาเลเซีย แปลง เค ที่มีการขายน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 มาอยู่ที่ 47.07 ดอลลาร์ สหรัฐ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จากราคาขายก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 27,309 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ และ มีหนี้สินรวม 12,134 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ซึ่งเป็นหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 3,780 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ โดยรายงานส่วนของผู้ถือหุ้น 15,175 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับดีที่ 0.25 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงินของบริษัท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 PTTEP มีกำไรสุทธิ 1,688 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่ 1,694 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ โดยหลักจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีกำไรสุทธิ 1,825 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ลดลง 104 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่ 1,929 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ เนื่องจาก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่น มีกำไรลดลง 58 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ โดยหลักจากโครงการซอติกามีปริมาณขายลดลงและค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้น และค่าตัดจําหน่ายเพิ่มชื่นจากสินทรัพย์พร้อมใช้งานที่เพิ่มชื้น นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นและสำนักงานใหญ่ มีขาดทุน 137 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ลดลง 98 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่ 235 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ โดยหลักจากรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากเงินสดคงเหลือเพิ่มขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยรับจากเงินให้ยืมระยะยาวแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกันที่เพิ่มขึ้น
PTTEP ถือเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 สะท้อนถึงภาระหนี้สินที่ต่ำ ช่วยเพิ่มโอกาสที่เจ้าหนี้จะอนุมัติสินเชื่อ หากบริษัทต้องการขยายขนาดของกิจการหรือลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยการกู้เงิน อย่างไรก็ตาม การที่กำไรสุทธิและกำไรจากการดำเนินงานปกติของ PTTEP ลดลงในไตรมาส 3 ปี 2567 อาจทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่ด้วยราคาหุ้นเฉลี่ยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา (3Q2566-3Q2567) อยู่ที่ 160.59 บาท และ P/E ล่าสุด อยู่ที่ 6.28 เท่า สะท้อนว่าราคาหุ้นของ PTTEP อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผล ซึ่ง PTTEP มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Yield) สูงถึง 7.6%
บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน และ การบริหารจัดการด้านความปลอดภัย ความมั่นคง อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (Safety, Security, Health and Environment Management System — SSHE MS) โดยมีการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนเป็นประจำทุกปี ครอบคลุมร้อยละ 100 ของพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมดที่ดำเนินการโดยบริษัท และพื้นที่ปฏิบัติการที่ PTTEP เป็นผู้รวมทุน และ มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บจนถึงขั้นหยุดงาน (Loss-time Injury Frequency: LTIF) อยู่ที่ 0.25 ครั้งต่อหนึ่งล้านชั่วโมงการทำงาน และ อัตราการเกิดอุบัติเหตุที่ มีการบาดเจ็บทั้งหมด (Total Recordable Injury Rate: TRIR) อยู่ที่ 0.67 ครั้งต่อหนึ่งล้านชั่วโมงการทำงาน ซึ่ง เป็นอัตราที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ PTTEP ยังมุ่งมั่นเสริมสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงาน ผ่านการแก้ไขปัญหาบัจจัยมนุษย์ การบริหารจัดการผู้รับเหมา และ การเรียนรู้ถึงสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต บริษัทได้ปรับใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Model for E&P) โดย มุ่งเน้นการเพิ่มการนำทรัพยากรกลับมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่จะสามารถนำโครงสร้างหลักของแท่นหลุมผลิตมาใช้ซ้ำให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2567 และ มีการดัดแปลงส่วนบนของแท่นหลุมผลิต เพื่อนำไปติดตั้งที่แท่นหลุมผลิตใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2567
PTTEP มุ่งมั่นอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศทางทะเล โดยมีการศึกษาข้อมูลสิ่งแวดล้อมพื้นฐาน เพื่อประเมินและคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม สำหรับการจัดสร้างแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม นอกชายฝั่งอ่าวไทย และ มีการติดตามปะการังฟอกขาว รวมไปถึง การประเมินความหลากหลายทางชีวภาพในแนวปะการังต่อเนื่อง PTTEP มีการส่งเสริมการเพาะฟักสัตว์น้ำวัยอ่อน และ มีการเปิดศูนย์การเรียนรู้พัฒนาผลิตภัณฑ์จากทะเล ภายใต้โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทะเล ซึ่ง เป็นแห่งแรกของ PTTEP
โอกาสการลงทุนใน PTTEP อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาวที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ นักลงทุนที่สนใจลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อกำไร เช่น ราคาขายเฉลี่ยของน้ำมันดิบ ปริมาณขาย และ อัตราแลกเปลี่ยน เพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม
**โอกาส**
* บริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มี D/E ต่ำ
* มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
* มีโอกาสเติบโตในอนาคตจากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ
* มีโอกาสพัฒนาธุรกิจใหม่จากการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานแห่งอนาคต เทคโนโลยีลดคาร์บอน และเทคโนโลยีที่ใช้ต่อยอดการดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
**ความเสี่ยง**
* ราคาน้ำมันดิบผันผวน
* ปริมาณขายลดลง
* ค่าเงินบาทอ่อนค่า
* การแข่งขันในอุตสาหกรรม
(3,232.30%)
(3,406.68%)
(3,221.87%)
(3,374.30%)
(0.31%)
(0.92%)
(3,927.60%)
(3,869.94%)
(2,635.16%)
(3,374.91%)
(103.20%)
(47.80%)