PRINC
บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

สรุป Oppday Principal Capital (PRINC) ไตรมาส 4 ปี 2567: เจาะลึกผลประกอบการและทิศทางธุรกิจ

สวัสดีนักลงทุนทุกท่าน ในนามของบริษัท Principal Capital จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนามเครือ Principal Healthcare ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในชื่อบริษัท Principal Capital จำกัด (มหาชน) หรือตัวย่อก็คือ PRINC

วันนี้อยู่กับทางผู้บริหารและทางฝั่งของ IR and Strategy Manager ขออนุญาตส่งต่อเวทีนี้ให้กับทางคุณดารณี พงศ์ธรรมสุข IR and Strategy Manager ในกิจกรรม Opportunity Day หรือ Op Day ประจำไตรมาส 4 ปี 67 และชี้แจงภาพรวมผลการดำเนินงานตลอดปีที่ผ่านมาปี 2567 ประจำวันที่ 3 มีนาคม 2568

ขอต้อนรับนักลงทุนทุกท่านและผู้ถือหุ้นทุกท่านเข้าสู่งาน Opportunity Day ในครั้งนี้ ขออนุญาตแนะนำทีมผู้บริหาร ได้แก่ นายแพทย์กิตติวิทย์ เลิศอุสาหกุล กรรมการผู้จัดการ รองประธานคณะกรรมการ, คุณธารินทร์ เอี่ยมเพชราพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน, คุณปรียาภรณ์ อภิวัฒนวิทยา Executive Director, และคุณดารณี พงศ์ธรรมสุข ผู้ช่วยดำเนินรายการ Strategy Manager

เนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือ Business Highlight นำเสนอโดยนายแพทย์กิตติวิทย์ ส่วนที่สองคือ Financial Review นำเสนอโดยคุณธารินทร์ ส่วนที่สามคือ Business Outlook นำเสนอโดยนายแพทย์กิตติวิทย์อีกครั้ง และจะรวมกันถามตอบคำถามใน Section ที่ 4 Q&A ขออนุญาตเริ่ม Section แรก Business Highlight

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

ภาพรวมธุรกิจโรงพยาบาลในเครือ Principal Capital ในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และภาพรวมการเงิน

  1. Principal Capital ทำธุรกิจ Healthcare ทั้งหมด ธุรกิจส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาล และมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการแพทย์
  2. มีโรงพยาบาลทั้งหมด 15 แห่ง ทั่วประเทศ ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง จำนวนเตียงตั้งแต่ 59 เตียงจนถึง 200 เตียง รวมทั้งหมดประมาณ 1,300 เตียง
  3. โรงพยาบาลกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น ภาคเหนือ (ลำพูน), ภาคกลางตอนบน (พิษณุโลก, พิจิตร, อุตรดิตถ์, นครสวรรค์ 2 แห่ง, อุทัยธานี), ภาคอีสาน (อุบล, ศรีสะเกษ, สกลนคร, มุกดาหาร), ภาคกลาง (ปริ้นซ์ สุวรรณภูมิ), ภาคใต้ (ชุมพร) รวม 12 จังหวัด
  4. การกระจายตัวเป็นไปตามแผนหลัก คือ เลือกพื้นที่ที่มีความต้องการโรงพยาบาลเอกชน และเลือกเมืองที่มีกำลังซื้อระดับกลาง

การลงทุนโรงพยาบาลใช้เวลา 3-5 ปีในการตั้งหลักและสร้างผลกำไร การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจึงเป็นสิ่งที่ Principal Capital ให้ความสำคัญ มีการเปิดคลินิกชุมชนใกล้บ้านใกล้ใจในกรุงเทพฯ ประมาณ 20 สาขา, ลงทุนร่วมกับญี่ปุ่น (PNKG) ทำธุรกิจฟื้นฟูทางกายภาพและสุขภาพ, S Class (รวมคลินิกผิวดีและพงศ์ศักดิ์) มี 18 สาขา และธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ (Private Home กับ Global หรือเดิมคืออลิสา) รวม 20 สาขา นอกจากนี้ยังมีบริษัท IT ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางการแพทย์ (Backyard)

Principal Capital ทำเฉพาะ Healthcare โรงพยาบาลครอบคลุมพื้นที่ 12 จังหวัด และมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อหวังการเติบโตในระยะสั้น สอดคล้องกับธุรกิจหลัก

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

Principal Capital ให้ความสำคัญกับการเติบโต ทั้งจำนวนและการขยายโรงพยาบาล คุณภาพการดูแลผู้ป่วย (JCI, HA, HIMSS7), ESG และ People

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

ไม่ได้มีการกล่าวถึงความเสี่ยงโดยตรง

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

ไม่ได้มีการกล่าวถึงวิธีการแก้ไขปัญหาโดยตรง

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

ทุกเรื่องอยู่บนประเด็นของการเติบโต ทั้งจำนวนและการขยายโรงพยาบาล, คุณภาพการดูแลผู้ป่วย, เทคโนโลยี, ESG และ People

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) เริ่มต้นที่นาที 28:36

  • โรงพยาบาลปริ้นซ์ สุวรรณภูมิ จะมีกำไรปีใด ปี 68 จะมีโรงพยาบาลไหนที่บริษัทวางเป้าหมายที่จะมีกำไรสุทธิเป็นบวกบ้างหลังจากที่ EBITDA บวกมาสักพักแล้ว:

    คุณธารินทร์ตอบว่า ปริ้นซ์ สุวรรณภูมิ EBITDA เป็นบวกแล้ว แต่เนื่องจากเป็นที่ที่หมายมั่นว่าจะให้มีการเติบโตมาก ๆ และเป็น Flagship ของทั้งกลุ่ม จึงมีการลงทุนทางด้านอาคาร เครื่องมือแพทย์ และแพทย์สาขาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาเยอะพอสมควร คาดว่าจะใช้เวลาอีก 3-4 ปีในการ Turn ให้ Net Profit จากลบเป็นบวก ขณะที่ EBITDA บวกมาหลายปีแล้ว ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเพียง 2 แห่งที่ EBITDA ยังติดลบอยู่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เพิ่งเปิดใหม่ทั้งคู่

  • โรงพยาบาลที่เปิดดำเนินการทั้งหมด ตอนนี้มีโรงพยาบาลไหนที่ EBITDA ยังติดลบบ้าง และเหตุที่ติดลบเป็นผลมาจากอะไร:

    คุณธารินทร์ตอบว่าเป็นธรรมชาติของธุรกิจโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่เพิ่งเปิดต้องใช้เวลาในการหาคนไข้ หารายได้ เพื่อ Cover ต้นทุน ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 3-4 ปี ปัจจุบันเหลือแค่ 2 แห่ง แต่หากมีการลงทุนในโรงพยาบาลใหม่ ๆ ก็อาจจะต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นี้อีก

  • S Class คลินิก บ้านลลิสา Health at Home ตอนนี้แต่ละแห่งมีกำไรอยู่แล้วหรือยัง หรือขาดทุน:

    คุณธารินทร์ตอบว่า ทั้งหมดนี้ EBITDA เป็นบวกเรียบร้อยแล้ว บ้านลลิสา Health at Home Net Profit ก็เป็นบวกด้วย ส่วน S Class ยังติดลบอยู่นิดหน่อย เนื่องจากมีการ Merge กิจการตัวพงศ์ศักดิ์กับผิวดีเข้าด้วยกัน จึงต้องจัดการหลายอย่าง

  • งบดุล เงินมัดจำซื้อโรงพยาบาล 70 ล้าน คือโรงพยาบาลที่เราจะซื้อโรงพยาบาลใด:

    คุณธารินทร์ตอบว่าเป็นเรื่องของการ Deal และเปิดเผยข้อมูลตั้งแต่ Q2 ปีที่แล้ว เรื่องของโรงพยาบาล 3 โรงของกลุ่ม My Hospital เป็นเงินมัดจำแสดงเจตจำนงว่าสนใจที่จะ Invest แต่หลังจากที่ผ่านกระบวนการในการทำ Due Diligence มีเงื่อนไขบางอย่างตามสัญญาที่ทางกลุ่มผู้ขายจำเป็นต้องทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แต่ปรากฏว่ายังไม่เรียบร้อย จึงหยุดตรงนั้นไว้ก่อน

  • ศูนย์มะเร็งศรีสะเกษที่เปิดศูนย์ไปที่เรียบร้อยแล้วในอนาคตทางเครือโรงพยาบาลมีแผนที่จะรุกในส่วนของโรคมะเร็งเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร:

    นายแพทย์กิตติวิทย์ตอบว่าโรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญ และการเข้าถึงโรงพยาบาลเป็นเรื่องยาก จากสถิติมีอย่างน้อย 1-2 จังหวัดที่มีแผนงานที่จะเปิดศูนย์รังสีรักษา/ศูนย์รักษามะเร็งเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้ศรีสะเกษเป็นจุดแรก ปีนี้น่าจะมีเรื่องที่เป็นไปได้ที่จะเปิดศูนย์รังสีรักษาหรือศูนย์มะเร็งเพิ่มเติมในเครือ

  • บางโรงพยาบาลที่พื้นที่ในการรองรับผู้ป่วยเต็มแล้ว มีแผนที่จะขยายการลงทุนหรือว่าเพิ่มตึกใหม่หรือไม่ อย่างไร:

    นายแพทย์กิตติวิทย์ตอบว่ามี 2-3 แห่งที่พื้นที่บริการไม่พอแล้ว หากพิจารณาจากความคุ้มทุนและความจำเป็นในการขยายพื้นที่ในโรงพยาบาลเดิม ก็จะเป็นตัวหนึ่งที่มุ่งให้มีการสร้างตึกใหม่ ซึ่งจะเป็นการลงทุนระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าด้วยฐานคนไข้เก่าและความซับซ้อนในการรักษาโรคยาก ตึกใหม่ก็จะคุ้มค่าที่จะลงทุน

  • คาดการณ์งบลงทุนปี 2568 (Capex) ประมาณเท่าไหร่:

    คุณธารินทร์ตอบว่า Capex ที่ตั้งไว้อยู่ที่ประมาณ 10-12% ของรายได้ที่แพลนไว้ ซึ่งจะใช้ Cash Flow จาก Operation ในการ Finance หากเป็นโครงการใหม่จะพูดถึงการนำเงินจากภายนอกมาใช้ในการขยายอีกที

  • ถ้าเทียบกับกลุ่มโรงพยาบาลเดียวกันที่โรงพยาบาลในเครือ PRINC มีการมอนิเตอร์หรือว่าติดตามอยู่ Performance เมื่อเปรียบเทียบกับในกลุ่มถือว่าเป็นอย่างไรบ้าง:

    คุณธารินทร์ตอบว่ามองกลุ่มโรงพยาบาลที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มที่มีรายได้สูง (4-5 พันล้านขึ้นไป) และกลุ่มที่รายได้ต่ำกว่านั้น PRINC อยู่ในกลุ่มแรก มีรายได้ประมาณ 5,700 ล้านในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเทียบกับโรงพยาบาลในกลุ่มเดียวกันที่มีรายได้ 4,000 ล้านขึ้นไป ถือว่า PRINC มีการเติบโตทั้งในแง่รายได้และ EBITDA สูงที่สุด

  • ทางเครือโรงพยาบาลมีแผนที่จะปรับแล้วก็รับกับสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างไร และมีความกังวลหรือไม่ว่าจะกระทบกับกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มผู้รับบริการแบบจ่ายเงินเอง:

    นายแพทย์กิตติวิทย์ตอบว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่อยู่ในเมืองรอง การแข่งขันในพื้นที่นั้นจึงน้อยกว่าโรงพยาบาลในเมืองใหญ่ แม้กำลังซื้ออาจจะน้อยกว่า แต่คู่แข่งก็น้อยกว่าด้วย โรงพยาบาลเอกชนที่ Principal Capital ไปตั้งใหม่ จึงมีข้อได้เปรียบคือเป็นสถานพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในพื้นที่นั้น หากเศรษฐกิจมีผลกระทบ โรคเบาที่ไม่หนัก หรือโรคที่รักษาได้ง่ายอาจจะลดลง แต่คนไข้ที่มาจะเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นจริง ๆ ทำให้รายได้ต่อคนของคนไข้จะกลับเป็นสูงขึ้น ทั้งคนไข้นอกและคนไข้ใน โดยเฉพาะคนไข้ใน Admission Rate จะสูงขึ้น และรายได้ต่อคนก็จะสูงขึ้นด้วย

    เตรียมการล่วงหน้ามาอยู่แล้วเรื่องของการรักษาโรคยาก เช่น การรักษาโรคเกี่ยวกับสมอง กระดูก หัวใจ หรือล่าสุดก็เป็นมะเร็ง การใช้มาตรการ Utilization Management จะทำให้ Screen คนไข้มาตั้งแต่แรกแล้ว ผลกระทบจึงไม่น่าจะกระทบกับการประกอบการ การตัดสินใจของคนไข้จะรัดกุมขึ้น

  • นอกจากประเด็นสภาพเศรษฐกิจ นักลงทุนถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของมาตรการ Co-pay ที่จะมีผลบังคับใช้เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป อันนี้จะกระทบในส่วนของเครือโรงพยาบาลในส่วนของ Principal Healthcare ยังไงบ้างไหมครับ:

    นายแพทย์กิตติวิทย์ตอบว่าการใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพมีแต่แนวโน้มจะสูงขึ้น ทั้งต้นทุนและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อคนจะสูงขึ้น ทางภาคประกันเอกชนจึงคํานึงถึงว่าหากมีความจําเป็น ผู้ถือกรมธรรม์ก็คงให้สิทธิ์ในการเข้ารับการรักษา แต่ถ้าเป็นโรคที่เบาหรือไม่จำเป็นก็จะให้ดูแลตัวเองในระดับหนึ่ง มีการใช้มาตรการ Co-payment หากป่วยมาเจ็บป่วยจริง ก็มีการใช้จ่ายร่วมระหว่างผู้ถือกรมธรรม์ ส่วนที่เหลือบริษัทประกันจะจ่ายให้ โรงพยาบาลที่มีมาตรฐานระดับหนึ่งอยู่แล้ว จะมีการ Screen คนไข้ว่ามีความจําเป็นจริง จึงให้การรักษา