สรุปงบล่าสุด PPPM

บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บทวิเคราะห์ผลประกอบการ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) (PPPM) ปี 2567 (อัปเดต)
บทความนี้สรุปผลประกอบการของ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) (PPPM) และบริษัทย่อย สำหรับปี 2567 โดยอ้างอิงจาก "คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567" ที่บริษัทได้นำส่งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินให้กู้ยืม และสัญญาขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ
**1. สรุปรายได้รวม:**
ในปี 2567 PPPM มีรายได้จากการขายรวม 725.39 ล้านบาท ลดลง 44% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้ 1,304.38 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 224.59 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนที่ลดลง 27 ล้านบาทจากปีก่อนหน้า มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 2% ลดลงจาก 4% ในปีก่อนหน้า
โครงสร้างรายได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยสัดส่วนรายได้จากอาหารสัตว์เลี้ยงสูงขึ้น (79%) เมื่อเทียบกับอาหารสัตว์น้ำ (21%) แต่อาหารสัตว์เลี้ยงมีกำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า
**2. สถานการณ์เศรษฐกิจ:** (ไม่มีข้อมูล)
จากเอกสารที่ให้มา ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมและผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท
**3. การเปลี่ยนแปลงในรายได้และกำไร:**
* **รายได้จากการขายอาหารสัตว์น้ำ:** ลดลง 81.13% สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยที่ยังคงประสบปัญหาโรคกุ้ง สภาพอากาศแปรปรวน ต้นทุนการผลิตสูง และการขาดเงินทุนหมุนเวียนของเกษตรกร
* **รายได้จากการขายอาหารสัตว์เลี้ยง:** เพิ่มขึ้น 63.30% เนื่องมาจากความนิยมในอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันอาหารที่ระบุว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตถึง 30.5% ในปี 2567
* **รายได้อื่น:** เพิ่มขึ้น 34% ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยรับของเงินให้กู้ยืมแก่บุคคลภายนอก และกลับรายการหนี้สินในบริษัทย่อยที่ไม่มีภาระต้องชำระในอนาคต
* **ต้นทุนขาย:** ลดลง 44% สอดคล้องกับการลดลงของรายได้จากการขายอาหารสัตว์ แต่ต้นทุนวัตถุดิบต่อหน่วยของอาหารสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น 1% ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบต่อหน่วยของอาหารสัตว์เลี้ยงลดลง 16%
* **ค่าใช้จ่ายในการขาย:** ลดลง 76% จากนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และการปรับลดจำนวนพนักงานให้เหมาะสม
* **ค่าใช้จ่ายในการบริหาร:** ลดลง 11% จากนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
* **ขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:** ลดลง 80% จากนโยบายเร่งรัดหนี้สินค้างนาน
* **กำไรจากการจำหน่ายที่ดิน อาคารและอุปกรณ์:** เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการจำหน่ายโรงไฟฟ้าของบริษัทย่อยในต่างประเทศ
* **ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์:** เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มบริษัททดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชี
* **ขาดทุนอื่น-สุทธิ:** เกิดจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของกลุ่มบริษัท
* **ต้นทุนทางการเงิน:** ลดลง 48% จากการจ่ายชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและการชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนด
หากพิจารณาผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการที่ไม่ใช่เงินสด (ค่าเสื่อมราคา, ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ, ประมาณการด้อยค่าทรัพย์สิน) รวมทั้งหมด 232 ล้านบาท จะทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 7 ล้านบาท
**4. สินทรัพย์และหนี้สิน:**
* **สินทรัพย์รวม:** ลดลง 30% เหลือ 796.77 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของลูกหนี้การค้า และที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
* **หนี้สินรวม:** ลดลง 43% เหลือ 339.87 ล้านบาท เนื่องจากการจำหน่ายโรงไฟฟ้า (ลดเงินรับจากสัญญาขายโรงไฟฟ้า) การชำระเงินกู้ยืม และการชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนด
* **อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E):** ลดลงจาก 1.11 เท่า เป็น 0.74 เท่า แสดงถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น
* **ส่วนของผู้ถือหุ้น:** ลดลง 15% เหลือ 456.90 ล้านบาท เนื่องจากการขาดทุนสุทธิ แต่ได้รับการชดเชยบางส่วนจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่างบการเงิน
**5. การเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสด:**
บริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมการดำเนินงาน แต่มีกระแสเงินสดได้มาจากกิจกรรมการลงทุน และใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน ทำให้เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลงเล็กน้อย
**6. ข้อมูลเพิ่มเติม:**
* **เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินให้กู้ยืมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน:**
* มียอดเงินกู้ยืมจาก HA 2COMME CO., LTD. จำนวน 0.22 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% ครบกำหนดชำระคืนในเดือนมกราคม 2563 แต่บริษัทจะไม่ต่อสัญญาใหม่และจะนำไปหักกลบลบหนี้กับเงินให้กู้ยืม
* มียอดเงินให้กู้ยืมกับ HA 2COMME CO., LTD. จำนวน 55.07 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% ครบกำหนดชำระคืนในปี 2563-2564 บริษัทจะติดตามทวงถามผ่านที่ปรึกษาทางกฎหมาย
* ผู้บริหารประเมินค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้กู้ยืมระยะสั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินคืน
* **เงินมัดจํารับจากสัญญาขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ:**
* บริษัทได้ทำข้อตกลงเบื้องต้นในการขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ 15 โครงการให้แก่ Relocation Group ในราคาไม่ต่ำกว่า 4,800 ล้านเยน และได้รับเงินมัดจำ 200 ล้านเยน
* ต่อมา Relocation Group ได้โอนสิทธิให้แก่ SB Power และ 29rs1ing ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และ SB Power ได้ทำสัญญาซื้อโรงไฟฟ้ารวม 15 โครงการ และสัญญาขายทรัพย์สินโรงไฟฟ้า 4 โรง โดยได้รับเงินมัดจำรวม 600 ล้านเยน
* ต่อมาบริษัทได้ส่งหนังสือแจ้งให้ SB Power ชำระเงินส่วนที่เหลือ แต่ SB Power เพิกเฉย บริษัทจึงใช้สิทธิยกเลิกสัญญาและยึดเงินมัดจำ แต่ SB Power ได้ฟ้องร้องบริษัท
* มีการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีการลงนามในข้อตกลงซื้อขาย โดยบริษัทย่อยได้ส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ SB Power แลกกับเงินมัดจำ 400 ล้านเยนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ และบริษัทย่อยได้โอนโรงไฟฟ้า โดยมีราคาขายสุทธิ 363.64 ล้านบาท ทำให้กลุ่มกิจการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ 178.53 ล้านเยน
* SB Power ดำเนินการถอนฟ้องคดีความที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ข้อพิพาทสิ้นสุดลง
**7. ปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน:** (ไม่มีข้อมูล)
จากเอกสารที่ให้มา ไม่มีข้อมูลการประเมินปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
**8. สรุป:**
PPPM ประสบปัญหาในการสร้างรายได้ในปี 2567 โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการบริหารจัดการหนี้สินที่ดีขึ้น ทำให้สถานะทางการเงินโดยรวมแข็งแกร่งขึ้น แม้จะยังคงขาดทุนสุทธิ แต่หากพิจารณาผลกระทบจากรายการที่ไม่ใช่เงินสด บริษัทอาจมีกำไรเล็กน้อย การแก้ไขข้อพิพาทและจำหน่ายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกำไรให้กับบริษัท
**ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขสำคัญ:**
* **รายได้:** ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนหน้า
* **กำไรขั้นต้น:** ลดลงตามรายได้
* **อัตรากำไรขั้นต้น:** ลดลงเล็กน้อย สะท้อนถึงโครงสร้างรายได้ที่เปลี่ยนแปลง
* **กำไรสุทธิ:** ขาดทุน แต่ลดลงจากปีก่อนหน้า
* **อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E):** ลดลง แสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินที่ลดลง
* **การแก้ไขข้อพิพาทและจำหน่ายโรงไฟฟ้า:** ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกำไร
บริษัทมีการจัดการความเสี่ยงโดยการควบคุมค่าใช้จ่าย ลดหนี้สิน และเร่งรัดหนี้สินค้างนาน สำหรับโอกาสในการเติบโตในอนาคตอาจมาจากการขยายตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง และการแก้ไขปัญหาในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ การบริหารจัดการเงินให้กู้ยืมอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ
**หมายเหตุ:** บทวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากข้อมูลที่ให้มาเท่านั้น อาจมีข้อมูลอื่นๆ ที่สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในบทวิเคราะห์นี้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน
(30.02%)
(47.12%)
(103.93%)
(102.36%)
(105.67%)
(104.52%)
(49.16%)
(74.45%)
(25.24%)
(21.02%)
(39.12%)
(2,938.66%)