สรุปงบล่าสุด PAP
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ขาดทุนสุทธิ 155.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 33.05 ล้านบาท รายได้จากการขายและบริการลดลง 15.96% เหลือ 1,716 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้เหล็กในประเทศไทยหดตัวลงจากการจัดสรรงบประมาณลงทุนภาครัฐล่าช้า รวมถึงผลกระทบจากการระบายสินค้าเหล็กจากประเทศจีนมายังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อัตรากำไรขั้นต้นติดลบ 4.09% ของรายได้จากการขายและบริการ เนื่องจากราคาเหล็กปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาตลาดของเหล็กลดต่ำกว่าต้นทุนสินค้าคงเหลือของบริษัท และมีรายการการปรับลดราคาทุนของสินค้าคงเหลือเป็นมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (ง) ประมาณ 49 ล้านบาทรวมอยู่ในต้นทุนขาย
บริษัทวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการต้นทุน รวมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บริษัทคาดหวังว่าความต้องการใช้เหล็กจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากการเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายและบริการเติบโต 5% ในปี 2568 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากราคาเหล็กที่ผันผวนและการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง
ผลประกอบการของ PAP ไตรมาสล่าสุดแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 3.52 บาท แต่ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ 2.31 บาท ส่งผลให้ P/E ติดลบ และ P/BV อยู่ที่ 0.75 D/E อยู่ที่ 0.85 แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม YIELD อยู่ที่ 0% เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน ติดลบ 299.15 ล้านบาท และเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน ติดลบ 40.83 ล้านบาท สะท้อนถึงบริษัทใช้เงินสดในส่วนนี้เพื่อลงทุน วงจรเงินสดอยู่ที่ 84.76 แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการสร้างยอดขายและสามารถเรียกเก็บเงินสดจากลูกหนี้การค้าได้ ก่อนที่จะต้องจ่ายเงินสดนั้นออกไปให้กับเจ้าหนี้การค้าหรือนำไปจ่ายหนี้
การลงทุนใน PAP อาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับเงินปันผล เนื่องจาก YIELD น้อยกว่า 4% และ P/E ติดลบ แสดงให้เห็นว่าตลาดยังไม่มั่นใจในผลประกอบการของบริษัท การลงทุนใน PAP อาจเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองเห็นโอกาสจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้เหล็กในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามความเสี่ยงจากราคาเหล็กที่ผันผวนและการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง
(13.32%)
(16.25%)
(218.25%)
(222.98%)
(236.36%)
(246.74%)
(2.62%)
(0.52%)
(404.82%)
(1,421.75%)
(227.50%)
(241.37%)