NER
บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

โอเคครับ รับทราบ ผมจะทำตามโครงสร้างที่กำหนดและสรุปข้อมูลให้อย่างครบถ้วนครับ

NER โชว์ผลงานปี 67 สุดปัง! ยอดขายทะลุเป้า พร้อมลุยขยายโรงงานเพิ่มกำลังผลิต

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เราจะมาสรุปผลการประชุม Oppday ของบริษัท NER ซึ่งเป็นการสรุปผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 รวมถึงภาพรวมของปี และแผนการดำเนินงานในอนาคตครับ

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท NER มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • กำลังการผลิต: ปัจจุบันยังคงอยู่ที่ 515,600 ตัน
  • ยอดขายไตรมาส 4: อยู่ที่ 136,100 ตัน เพิ่มขึ้น 38,000 ตัน หรือ 38% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Q on Q) และเพิ่มขึ้น 8,528 ตัน หรือ 6.68% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (Year on Year)
  • รายได้ไตรมาส 4: อยู่ที่ 8,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,270 ล้านบาท หรือ 44.96% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2,330 ล้านบาท หรือ 35.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
  • ยอดขายรวมทั้งปี: อยู่ที่ 439,179 ตัน แบ่งเป็น
    1. STR 20: 244,000 ตัน
    2. SCR Compound: 96,700 ตัน
    3. RSS: 54,300 ตัน
    4. RSS Compound: 44,000 ตัน
  • สัดส่วนการขาย:
    1. ในประเทศ: 325,500 ตัน (74%)
    2. ต่างประเทศ: 113,600 ตัน (26%)
  • รายได้รวมทั้งปี: 27,445 ล้านบาท แบ่งเป็น
    1. STR 20: 14,300 ล้านบาท
    2. SCR Compound: 5,850 ล้านบาท
    3. RSS: 4,018 ล้านบาท
    4. RSS Compound: 3,275 ล้านบาท
  • สัดส่วนรายได้:
    1. ในประเทศ: 20,482 ล้านบาท (75%)
    2. ต่างประเทศ: 6,963 ล้านบาท (25%)
  • อัตรากำไรขั้นต้น:
    1. ไตรมาส 4: 8.8%
    2. ทั้งปี: 10.13%
  • ค่าใช้จ่ายในการขาย:
    1. ไตรมาส 4: 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21 ล้านบาทจากไตรมาส 3 เนื่องจากการขายที่เพิ่มขึ้น
    2. ทั้งปี: 368 ล้านบาท ลดลง 198 ล้านบาทจากปีที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการขายที่น้อยกว่า
  • ค่าใช้จ่ายในการบริหาร:
    1. ไตรมาส 4: 59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาทจากไตรมาส 3
    2. ทั้งปี: 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61 ล้านบาทจากปีที่แล้ว ส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายเงินเดือน, ค่าอบรม, ค่าที่ปรึกษา, เงินเกษียณอายุพนักงาน และค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • EBITDA (กำไรก่อนดอกเบี้ย, ภาษี, และค่าเสื่อมราคา):
    1. ไตรมาส 4: 562 ล้านบาท (6.29%)
    2. ทั้งปี: 2,409 ล้านบาท (8.77%)
  • ดอกเบี้ยจ่าย:
    1. ไตรมาส 4: 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 ล้านบาทจากไตรมาส 3
    2. ทั้งปี: 469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาทจากปีที่แล้ว เนื่องจากการใช้เงินกู้ที่มากขึ้นเพื่อซื้อวัตถุดิบ และการออกหุ้นกู้เมื่อปลายปี
  • กำไรสุทธิ:
    1. ไตรมาส 4: 359 ล้านบาท (4.04%)
    2. ทั้งปี: 1,652 ล้านบาท (6.03%)
  • กำไรต่อหุ้น:
    1. ไตรมาส 4: 0.19 บาทต่อหุ้น
    2. ทั้งปี: 0.89 สตางค์ต่อหุ้น
  • สินทรัพย์รวม: 19,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,618 ล้านบาทจากปี 2566
    1. สินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 2,661 ล้านบาท
    2. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนลดลง 43 ล้านบาท
  • หนี้สินรวม: 10,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,598 ล้านบาทจากปี 2566
  • ส่วนของผู้ถือหุ้น: 8,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,020 ล้านบาทจากปี 2566
  • ROA (ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์): 9.1%
  • ROE (ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น): 20.7%
  • D/E Ratio (หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น): 1.29 เท่า (1.26 เท่า หากคิดเฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย)

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

บริษัท NER กำลังขยายกำลังการผลิตโดย:

  • โครงการโรงงานยางแท่ง (STR3): เฟส 3 กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 320,000 ตัน
    • เงินลงทุนทั้งหมด 2,059 ล้านบาท
    • คาดว่าจะเริ่มผลิตในไตรมาส 3 ปี 2569
    • เป้าหมายกำลังการผลิตรวม:
      • ปี 2569: 675,600 ตัน
      • ปี 2570: 835,600 ตัน
    • เป้าหมายยอดขาย:
      • ปี 2568: 500,000 ตัน
      • ปี 2569: 560,000 ตัน
      • ปี 2570: 670,000 ตัน
      • ปีถัดไป: 770,000 ตัน
    • คาดการณ์รายได้:
      • ปี 2569: 40,750 ล้านบาท
      • ปี 2570: 50,200 ล้านบาท
      • ปี 2571: 59,000 ล้านบาท

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

ความเสี่ยงที่บริษัท NER กำลังเผชิญอยู่ ได้แก่:

  • ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
  • ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
  • ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

บริษัท NER มีแผนการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ดังนี้:

  • การบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
  • การขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่ง

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

แนวโน้มในอนาคตของบริษัท NER คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก:

  • การขยายกำลังการผลิต
  • ความต้องการยางพาราที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
  • การมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 43:44]

แผนการสร้างโรงงานใหม่ทั้งในไทยและโกตดิวัวร์

โรงงานแห่งที่ 3 ที่บุรีรัมย์อยู่ในระหว่างการเตรียมงานดิน คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนสงกรานต์นี้ ส่วนที่โกตดิวัวร์ได้จัดตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้ว แต่การประสานงานยังค่อนข้างช้า มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมายังสรุปได้ไม่ 100%

เหตุใดไตรมาส 4 จึงขาดทุนเกี่ยวกับค่าเงินที่สูง

การขาดทุนจากการแลกเปลี่ยนเป็นเพียงการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized) เกิดจากผลต่างระหว่าง Forward Contact ที่จองไว้กับ ณ สิ้นไตรมาสที่ต้อง Mark to Market เป็นการขาดทุนทางบัญชี ไม่กระทบเงินสด

ผลกระทบการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

สหรัฐฯ มีการปรับขึ้นภาษีล้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปอยู่ที่ 17% แต่ยังน้อยกว่าเวียดนามและอินโดนีเซียที่เก็บ 24-25% ผลกระทบมีในระดับหนึ่ง แต่ภาษีที่นำเข้าไปในอเมริกาถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้

สินค้าแผ่นปูรองปศุสัตว์

ปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 30 ล้านบาท เน้นแผ่นปูรองคอกปศุสัตว์ที่ใช้กับฟาร์มหมูและฟาร์มวัวเป็นหลัก ผลิตภัณฑ์ที่ออกใหม่น่าจะเป็นแผ่นรองน้องหมาที่ใช้สำหรับโรงพยาบาลสัตว์

แนวทางการบริหารความเสี่ยงของค่าเงิน

การขึ้นลงค่าเงินที่มีผลต่อผลประกอบการ เป็นผลประกอบการทางบัญชีเท่านั้น การขาดทุนจริงจะไม่ค่อยมี ที่โกตดิวัวร์จะใช้นโยบายการทำงานในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนในลักษณะเดิม

สัดส่วนลูกค้าที่อินเดีย

สัดส่วนของลูกค้าอินเดียในปีนี้เป็นต้นไป จะมีสัดส่วนประมาณ 15% ของยอดขายทั้งหมด

เป้าหมายการเติบโตของบริษัท

ปี 2568 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 500,000 ตัน เติบโตประมาณ 14%

เป้าหมาย Net Margin

เป้าหมายกำไร Net Margin ยังคงไว้ที่ระหว่าง 6-7%

แนวโน้มการเติบโตของยอดขายและกำไรใน Q1

Q1 ปี 68 ตั้งเป้ายอดขายอาจจะต่ำกว่า Q4 อยู่ประมาณ 10% ส่วนรายได้ก็จะอยู่ต่ำกว่า Q4 อยู่ประมาณ 6-7%

การจ่ายปันผล

ต้องนำเข้าที่ประชุม

การลดป้องความเสี่ยง

ที่ลดการป้องกันความเสี่ยงลงเหลือ 75-80% มี 2 ส่วน คือ 1) ทิศทางราคายางในปัจจุบันเป็นขาขึ้น 2) ซัพพลายที่เสียไป ยังไม่กลับมาตอนนี้ หากจังหวะเป็นขาลงกลับมาก็กลับมาใช้วิธีเดิม

การ Hedging 80% ที่บริษัททำ

ปกติ Hedging 100% แต่ปัจจุบันวางนโยบาย Hedging 80% ก็จะมีสินค้าในคลังที่ซื้อไว้แล้วยังไม่ได้ขายอยู่บ้าง ส่วนข้อเสียคือถ้าราคาลงก็จะขาดทุน แต่ถ้าราคาขึ้นก็จะมีกำไรเพิ่มเติม

ลูกค้าหลักในประเทศและกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า

ลูกค้าหลักคือลูกค้าจีนที่มาตั้งโรงงานผลิตล้อรถยนต์ในไทย กลยุทธ์คือคุณภาพนำ สเปคลูกค้าแต่ละเจ้าไม่เหมือนกัน และใช้ลักษณะการบอกต่อ

มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

มีผลกระทบ แต่ราคาที่ส่งไปยังถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

Gross Profit Margin

ปี 68 โอกาสกลับขึ้นไปค่อนข้างมีโอกาสมากกว่าปี 67

ความกังวลเรื่อง inventory

การเพิ่มยอดขายจะเป็นการเพิ่ม Inventory ไปเรื่อยๆ ทางฝ่ายจัดการจึงมีนโยบายลด Inventory ลง จากการขยายโรงงานแห่งที่ 3 จะทำให้เรามีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

เห็นผู้เล่นอีกเจ้าไปที่ Ivory Coast

มองว่าเป็นตลาดเปิดที่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปประกอบการ

รายได้ปี 68 เติบโตเท่าไร

ยอดขายเพิ่มขึ้นไปที่ 500,000 ตัน โต 14% รายได้ประมาณ 34,000 ล้านบาท

ถ้าไม่ทำ Matching

น่าจะเป็นคำตอบเดิมที่ตอบไปแล้ว การ Matching เมื่อก่อนทำ 100% แต่การเปลี่ยนกลยุทธ์นี้เราไม่ได้เปลี่ยนแบบ 100%

มีมาตรการบริหารความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ

มีเครือข่ายของเราเอาไว้ค่อนข้างชัดเจน

กำหนดเกณฑ์อย่างไรในการตัดสินใจว่าจะเก็งกำไร 15 หรือ 20%

จริงๆ คือกำหนดตาม Inventory ที่ทุกคนอยากเห็นให้มันลดลง

ค่าใช้จ่าย CSR

ปี 23 เป็นปีที่เริ่มทำ CSR อย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายทุกๆ อย่างถูกนำมาใช้ในปี 24

นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

ต้นทุนการผลิตที่เป็นค่าแรง ทางบริษัทมีการจ่ายค่าแรงที่มันสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว

โดยสรุปแล้ว บริษัท NER มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2567 และมีแผนการเติบโตที่ชัดเจนในอนาคต แม้จะมีความเสี่ยงและความท้าทายอยู่บ้าง แต่บริษัทก็มีแนวทางในการรับมืออย่างเหมาะสม ทำให้ NER เป็นบริษัทที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรมยางพาราครับ

ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) เริ่มต้นที่นาที 43:44