สรุปงบล่าสุด KTIS

บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
**บทสรุปผลประกอบการ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KTIS) ปี 2567**
บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ได้รายงานผลประกอบการสำหรับปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 690.4 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 1,939.4 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการดังนี้
**1. สรุปรายได้รวม:**
ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 16,776.9 ล้านบาท ลดลง 25.7% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 19,878.8 ล้านบาท การลดลงของรายได้ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของรายได้จากการขายและบริการ ซึ่งอยู่ที่ 16,619.5 ล้านบาท ลดลง 23.9% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณอ้อยที่ลดลงจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ปริมาณวัตถุดิบสำหรับธุรกิจน้ำตาลทราย, เยื่อกระดาษ และเอทานอลลดลงไปด้วย โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจน้ำตาลทรายลดลง 26.0% และธุรกิจเอทานอลลดลง 30.4% ขณะที่รายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษเพิ่มขึ้น 15.6% และรายได้จากการขายไฟฟ้าลดลง 35.5% นอกจากนี้ รายได้อื่น ๆ ก็ลดลง 67.8% เนื่องจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของตราสารอนุพันธ์, กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้อื่น ๆ ลดลง
**2. สถานการณ์เศรษฐกิจ:**
แม้ว่ารายงานจะไม่ได้ระบุสถานการณ์เศรษฐกิจโดยละเอียด แต่จากข้อมูลที่ปรากฏ เราสามารถอนุมานได้ว่า ภาวะภัยแล้งส่งผลกระทบต่อปริมาณอ้อยอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรายได้ของบริษัท นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาขายไฟฟ้าและราคาขายเยื่อกระดาษก็มีผลต่อผลประกอบการเช่นกัน
**3. การเปลี่ยนแปลงในรายได้และกำไร:**
การลดลงของรายได้ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลงอย่างมาก ต้นทุนขายและบริการลดลง 17.9% ซึ่งเป็นสัดส่วนกับรายได้ที่ลดลง แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของรายได้ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารก็ลดลง 36.9% จากค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีผลขาดทุนจากการซื้อขายน้้าตาลล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 123.8% และรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการร่วมค้ามากขึ้น ทำให้ผลกำไรสุทธิลดลงอย่างมาก
**4. สินทรัพย์และหนี้สิน:**
รายงานไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์และหนี้สินโดยละเอียด ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของฐานะการเงินของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวถึงต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 15.6% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการพึ่งพาแหล่งเงินทุนภายนอกที่สูงขึ้น
**5. การเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสด:**
รายงานไม่ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดโดยตรง แต่การมีผลขาดทุนสุทธิอย่างมาก ย่อมส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ การที่บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น อาจบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับการดำเนินงาน
**6. ปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน:**
ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญของ KTIS คือความผันผวนของปริมาณอ้อยอันเนื่องมาจากสภาพอากาศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาขายไฟฟ้าและน้ำตาลทราย รวมถึงความเสี่ยงจากการซื้อขายล่วงหน้า นอกจากนี้ การรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการร่วมค้าก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ในส่วนของโอกาส แม้ว่ารายงานจะไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง แต่บริษัทฯ ยังมีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจเยื่อกระดาษและอาจมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออกหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคต
**7. สรุปสั้นท้ายสุด:**
ผลประกอบการของ KTIS ในปี 2567 ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการลดลงของรายได้ ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักมาจากปริมาณอ้อยที่ลดลงเนื่องจากภัยแล้ง การลดลงของรายได้จากธุรกิจน้ำตาลทรายและเอทานอล รวมถึงผลขาดทุนจากการซื้อขายน้้าตาลล่วงหน้าและการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการร่วมค้า
บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารได้บ้าง แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง ความท้าทายที่สำคัญสำหรับ KTIS ในอนาคตคือการจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของสภาพอากาศ และการหาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน
**หมายเหตุ:** บทความนี้สรุปจากข้อมูลที่ให้มาเท่านั้น หากมีข้อมูลเพิ่มเติมอาจทำให้บทวิเคราะห์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
(35.03%)
(40.40%)
(99.19%)
(99.37%)
(98.77%)
(98.96%)
(120.55%)
(50.14%)
(145.20%)
(48.71%)
(41.23%)
(40.09%)