สรุป OPPDAY หุ้น KCC
Oppday
สรุป OPPDAY
KCC อนาคตสดใส! สรุป Oppday ไตรมาส 3 ปี 2568 เจาะลึกผลประกอบการ, โอกาส, และความท้าทาย
สวัสดีครับ พบกับการสรุป Opportunity Day ของบริษัท Knight Club Capital Holding จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ประจำไตรมาส 3 ปี 2568 โดยมีผู้บริหาร 2 ท่านร่วมให้ข้อมูล ได้แก่ คุณทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคุณปณิตา อัครวินิจ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน
การนำเสนอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเป็นการนำเสนอผลประกอบการ และช่วงหลังเป็นช่วงถาม-ตอบ (Q&A)
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
ในไตรมาส 3 บริษัทมี NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) รวม 1,627 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ใน KCC AR 29 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออยู่ใน KCC AMC NPL ของบริษัทลดลงจาก 1,668 ล้านบาท (มิถุนายน 2568) เนื่องจากการรับชำระหนี้จากลูกหนี้จำนวนมากในช่วงไตรมาส 3
สำหรับผลสรุป 9 เดือน บริษัทมีการซื้อหนี้เพิ่มใน AMC จำนวน 66 ล้านบาท และใน KCC AR จำนวน 28 ล้านบาท
สัดส่วนของลูกหนี้ระหว่าง Housing กับ Corporate ยังคงใกล้เคียงกับเดิม โดยมี Corporate ประมาณ 82% และ Housing ประมาณ 18%
ลูกหนี้ Secure Corporate ลดลงเหลือ 1,161 ล้านบาท จาก 1,302 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เจรจาและปิดลูกหนี้รายใหญ่ไป 1 รายในช่วง 9 เดือนแรก
ลูกหนี้ Corporate ที่เป็น Clean Loan เหลืออยู่ที่ 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2567 เล็กน้อย เนื่องจาก KCC AR มีการซื้อลูกหนี้ที่เป็น Clean Loan เข้ามาประมาณ 28 ล้านบาท
ลูกหนี้ Housing คงเหลืออยู่ที่ 289 ล้านบาท มีหลักประกัน 482 ล้านบาท ลดลงเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนการซื้อลูกหนี้ Housing เพิ่มเติมในปีนี้
ลูกหนี้ Corporate ณ เดือนกันยายน 2568 มียอดรวมอยู่ที่ 1,338 ล้านบาท อยู่ทั้งใน KCC AMC และ KCC AR
เงินลงทุนในลูกหนี้ Corporate ลดลงเล็กน้อยประมาณ 3 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างรับลดลงจาก 160 ล้านบาท เป็น 130 ล้านบาท แม้จะมีการรับรู้รายได้ระหว่างไตรมาสเพิ่มขึ้น แต่มีการได้รับชำระเงินจากลูกหนี้ Corporate เข้ามาเป็นก้อน ทำให้ดอกเบี้ยค้างรับลดลง
ECL (Expected Credit Loss) ของลูกหนี้ Corporate เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% ของพอร์ต Corporate ทั้งหมด
สถานะของลูกหนี้ Corporate ส่วนใหญ่ (64%) อยู่ในสถานะยึดทรัพย์ รอประกาศขายทอดตลาด มีเงินรอรับอยู่ในกรมบังคับคดีประมาณ 60 กว่าล้านบาท
ลูกหนี้ Corporate ที่อยู่ในสถานะเจรจาและปรับปรุงโครงสร้างหนี้อยู่ที่ 28% ใกล้เคียงกับปลายปี 2567
Port Housing ในปีนี้บริษัทไม่ได้มีการซื้อของเพิ่ม Port Housing ล่าสุดที่บริษัทซื้อคือตั้งแต่ต้นปี 2567 ปัจจุบันคงเหลืออยู่ประมาณ 289 ล้านบาท
เงินลงทุนใน Port Housing อยู่ที่ 309 ล้านบาท มีดอกเบี้ยค้างรับ 27 ล้านบาท มีการตั้ง ECL บนพอร์ตลูกหนี้ Housing ประมาณ 14% ของพอร์ตลูกหนี้ Housing ทั้งหมด
ลูกหนี้ Housing ที่ลดลงมาตั้งแต่ปลายปี 2567 มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ กลยุทธ์ของบริษัทที่ไม่ได้มีการลงทุนในตัวลูกหนี้ Housing เพิ่มเติม และมีการรับเงินปิดบัญชีจากทั้งกรมบังคับคดีและตัวลูกหนี้เอง รวมถึงมีการรับโอนไปเป็น NPA
สถานะของลูกหนี้ Housing ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะยึดทรัพย์ และรอประกาศขายทอดตลาด
มีเงินคงเหลือที่รอรับในกรมบังคับคดีอีกประมาณ 53 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมีการรอรับโอนเป็น NPA บริษัทจะเร่งรับโอนเป็น NPA มาเพื่อดำเนินการขายต่อไป
NPA (สินทรัพย์รอการขาย) ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการเข้าซื้อหลักประกันของลูกหนี้เฉพาะของบริษัทเท่านั้นในกรมบังคับคดี และโอนมาเป็น NPA
ในไตรมาส 3 บริษัทสามารถขาย NPA ได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับ 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ขาย NPA ได้ทั้งหมด 21 ล้านบาท รวมเป็น 6 รายการ ทำให้ยอดรวมทั้ง 9 เดือน บริษัทขาย NPA ทั้งหมด 8 รายการ รวมเป็นยอดทั้งหมด 27 ล้านบาท
NPA ส่วนใหญ่ยังอยู่ในประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม/บ้านแฝด อีก 16% เป็นอาคารพาณิชย์ อีกประมาณ 19% เป็นอื่นๆ
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 บริษัทมีมูลค่า NPA อยู่ที่ 251 ล้านบาท รวมทั้งหมด 81 รายการ โดยมีราคาประเมินอยู่ที่ 377 ล้านบาท
NPA ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีประมาณ 17% ที่อยู่ต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Corporate รายใหญ่ที่อยู่ในตัวหัวเมืองใหญ่
Cash Collection ในไตรมาส 3 บริษัทมี Cash Collection รวมของทั้ง KCC AMC และ KCC AR เอง รวมทั้งหมด 109 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 1 แต่น้อยกว่าไตรมาส 2 เนื่องจากไตรมาส 2 มีการปิดลูกหนี้ Corporate รายใหญ่ไป
สัดส่วนส่วนใหญ่ของ Cash Collection ยังคงมาจากตัวที่เป็น NPL ที่เป็น Corporate ซึ่งเป็นตัวลูกหนี้หลักของบริษัท
ภาพรวม Cash Collection 9 เดือน ตั้งแต่ปี 2565-2568 พบว่า 9 เดือนปีนี้มียอดจัดเก็บที่เยอะที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมกันได้ 518 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากตัวลูกหนี้ NPL ไม่ว่าจะเป็น Housing หรือ Corporate รวมเป็นเงิน 490 ล้านบาท และมาจาก NPA อยู่ที่ 28 ล้านบาท
เงินรับส่วนใหญ่ยังคงมาจาก NPL ที่เป็น Corporate 92% รองลงมาเป็น Housing NPA Housing ประมาณ 4%
รายได้ของไตรมาส 3 ประกอบด้วย 4 ส่วนที่สำคัญ คือ Interest Income (รายได้ดอกเบี้ย), กำไรจาก NPL, กำไรจากการขาย NPA, และรายได้อื่น ๆ
ในไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 60 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ดอกเบี้ยประมาณ 56 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกำไรจากการขาย NPA ประมาณ 3 ล้านบาท
รายได้รวมลดลงจากไตรมาส 2 แต่เนื่องจากไตรมาส 2 มีกำไรจาก NPL ที่เพิ่มขึ้น หากดูเฉพาะ Interest Income จะเห็นว่าใน Q1, Q2, Q3 รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามการซื้อพอร์ตที่เพิ่มขึ้น รายได้ดอกเบี้ยใน Q3 จึงเป็น 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q2
รายได้ 9 เดือนรวมอยู่ที่ 291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง โดยเพิ่มขึ้นเป็น 47% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่ยังเป็นรายได้ดอกเบี้ย คิดเป็น 57% ของรายได้รวมทั้งหมด รองลงมาเป็นกำไรจากการขาย NPL คิดเป็น 42% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งรวมถึงกำไรที่ได้รับจากการชำระหนี้ NPL ด้วย
รายได้รวมในไตรมาส 3 อยู่ที่ 60 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 22 ล้านบาท ทำให้มี Total Revenue Net ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 38 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 แต่อาจจะต่ำกว่าไตรมาส 2 เนื่องจากไตรมาส 2 มีรายการใหญ่
Operating Expense ในไตรมาสนี้เพิ่มจากไตรมาส 2 เล็กน้อย เกิดจากภาษีธุรกิจเฉพาะที่จ่ายเพิ่มขึ้นจากการได้รับเงินจากลูกหนี้ ทำให้มีกำไรก่อน ECL ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 23 ล้านบาท และมีกำไรในไตรมาสนี้อยู่ที่ 18 ล้านบาท
ใน 9 เดือนของปีนี้ Total Revenue เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก จากปี 2566 และ 2567 จาก 197 ล้านบาท เป็น 291 ล้านบาท ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง แต่บริษัทมีการบริหารจัดการดอกเบี้ยจ่ายหรือต้นทุนทางการเงินได้ค่อนข้างดี ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 65 ล้านบาท เลยเป็นผลทำให้ Total Revenue Net ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง เท่าตัว เป็น 226 ล้านบาท
Operating Expense ยังคงเท่ากับปีที่แล้ว ทำให้มีกำไรก่อน ECL เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เป็น 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100 กว่าล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงวด 9 เดือนอยู่ที่ 130 ล้านบาท คิดเป็น 131% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ในเดือนกันยายน บริษัทมีสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 2,569 ล้านบาท โดยหลักๆ ยังคงเป็นตัว NPL ที่มีอยู่ที่ 1,627 ล้านบาท รองลงมาคือ Cash และรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 524 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทได้รับเงินจากลูกหนี้เข้ามา 251 ล้านบาทคือ NPA 167 ล้านบาทที่เป็น Others ส่วน 190 กว่าล้านบาทจะเป็นตัวหุ้นที่ได้มีการเรียนแจ้งไปในไตรมาสที่ผ่านมา
หนี้สินจากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,283 ล้านบาท ลดลงเหลือ 1,267 ล้านบาท ส่วนใหญ่ยังคงเป็นหุ้นกู้ที่เป็นตัวต้นทุนหลักที่บริษัท แหล่งเงินทุนสำคัญที่บริษัทมีการออกเพื่อไปซื้อพอร์ตลูกหนี้ อยู่ที่ 1,138 ล้านบาท
เงินกู้ธนาคารลดลงเหลือ 81 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีกู้มาบางส่วนเพิ่มขึ้นในปี แต่ก็มีการจ่ายคืนไปบางส่วนตามสัญญากู้ยืมเงินเช่นกัน
ภาพรวมของบริษัท ณ กันยายน มีส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 1,310 ล้านบาท
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
บริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตจากตลาด NPA และ NPL ที่ยังมีอยู่มาก
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
ความเสี่ยงหลักคือความผันผวนของเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดซื้อขายหนี้ที่สูง
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
บริษัทมีแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการหนี้ และการเพิ่มความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอ
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
บริษัทมีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการบริหารจัดการความเสี่ยง และการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [00:29:27]
หุ้นกู้ที่ครบกำหนดตุลาคมปีที่แล้วชำระคืนหรือยัง
- หุ้นกู้ 400 ล้านบาท ที่ครบในเดือนตุลาคม ชำระคืนเรียบร้อยแล้ว
- เดือนตุลาคมมีการออกหุ้นกู้เพิ่ม 400 ล้านบาท หลังชำระไปแล้ว
- หุ้นกู้มีกำหนดระยะเวลา 3 ปี มีการทยอยคืนเงินต้น ปีที่ 1 10%, ปีที่ 2 20%, และปีที่เหลือ 70% อัตราดอกเบี้ยประมาณ 6%
AMC ชะลอซื้อหนี้ลดลงเพราะเหตุใด มาตรการ JV, AMC และมาตรการรัฐที่ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000 บาท กระทบกับบริษัทหรือไม่
- ในไตรมาส 3 KCC ไม่ได้มีการซื้อหนี้เพิ่ม แต่มีการเข้าร่วมประมูล และเสนอราคาเป็นอันดับ 1
- ธนาคารค่อนข้าง Conservative หรือระมัดระวังในการขายหนี้มากขึ้น ดูในเรื่องราคา ทำให้ราคาไม่ Match กัน ธนาคารจึงไม่ได้ขายหนี้ให้
- หลาย AMC อาจจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน พอร์ต Housing ไม่ได้ประมูลมานานแล้ว ตลาด NPA ค่อนข้าง Slow ขายได้ยาก ราคาในการซื้อหนี้ Housing น่าจะลง ทางธนาคารเองก็ไม่รีบร้อนที่จะต้องขาย
- สถานะ Balance Sheet อะไรต่างๆ ของธนาคารก็แข็งแรง และดูราคาที่เหมาะสม
- ในส่วนของหนี้ Corporate เองก็เช่นกัน
- มาตรการที่รัฐออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000 บาท ไม่กระทบกับ AMC เพราะ Segment ของบริษัทอยู่ในตลาดที่เป็น Corporate รายใหญ่ เป็นลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจ หรือตลาดบ้าน Housing เอง ลูกหนี้ต่ำกว่าแสนหนึ่งไม่มีในพอร์ต และยังไม่ได้อยู่ใน Target ที่จะเข้าไปเล่นในตลาดนั้น
แนวโน้มการขาย NPA ดีขึ้นในไตรมาส 3 ในไตรมาส 4 แนวโน้มยังคงดีต่อเนื่องหรือไม่ คุณทวีมองตลาด NPA ของบริษัทเป็นอย่างไร
- บริษัทเริ่มกลับมา Renovate บ้านขาย ช่วงแรกขายตามสภาพ ไม่ค่อยได้ Renovate มาก
- พอเริ่มกลับมา Renovate มันก็เห็นผลว่าไตรมาส 3 บ้านที่ Renovate มันก็ขายได้ง่ายขึ้น
- ตอนนี้มีการ Renovate อย่างต่อเนื่อง และคิดว่าแนวโน้มไตรมาส 4 ก็น่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3
แนวโน้มคือบริษัทในปีหน้าหรือปีถัดๆ ไป บริษัทยังคงสนใจในตัวลูกหนี้ที่เป็น Housing หรือไม่ จะมีการลงไปเล่นในตลาดแบบรายย่อยหรือไม่
- Housing จริงๆ ก็ดูสถานการณ์ และดูเรื่องราคา ถ้าได้ราคา ได้ Yield ที่เหมาะสม ก็ยังสนใจที่จะซื้อหนี้พวก Housing อยู่
- ถ้าเป็นรายย่อยจริงๆ ตอนนี้คิดว่ายัง
ณ ปัจจุบัน จนถึงไตรมาส 3 ปีนี้ การดำเนินการของบริษัทกับยอดจัดเก็บอะไรเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้หรือไม่
- เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ว่า Cash Collection ปีนี้ ประมาณ 500 ล้าน
- ปีที่แล้วทั้งปีได้ประมาณ 600 ล้าน ตั้งเป้าไว้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
- ยังมีเงินสดที่อยู่ในกรมบังคับคดีอีก 100 กว่าล้านบาท ที่รอทำบัญชีรับจ่ายออกมา
- ในเรื่องการซื้อหนี้เองที่ตั้งไว้ 500 ล้าน ตอนนี้ครึ่งปีแรกซื้อไป 100 กว่าล้าน รวมถึงตัว AR ด้วย
- AR เป็น Deal ซื้อหนี้ทั้งหมด 100 ล้าน ตัว AMC เอง 60 กว่าล้าน
- เดือนตุลาคมมีการซื้อหนี้เพิ่ม 60 กว่าล้าน รวมเป็น 200 กว่าล้าน ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือน ก็ยังมีหนี้ที่บิดอยู่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่รอฟังผลอยู่
ตอนนี้หลายบริษัทมีปัญหา บริษัทได้ลองศึกษาหรือไม่ว่าจะลงทุนในกลุ่มนี้เพื่อหาตลาดใหม่ ไม่ต้องรอประมูล อาจจะหมายถึงตัวหุ้นกู้ที่บริษัทอาจจะไปซื้อมาเป็น NPL ของบริษัทเองหรือไม่
- บริษัทมีการศึกษา หุ้นกู้หลายๆ ตัว
- ตลาดหุ้นกู้ยังเป็นอะไรที่พูดไว้ตั้งแต่ต้นว่าก็ให้ความสนใจ และศึกษาอยู่
- หุ้นกู้ก็ต้องมีความระมัดระวัง เพราะส่วนใหญ่หุ้นกู้จะไม่มีหลักประกัน
- ต้องมีความระมัดระวังพอสมควร
กฎหมายของ BOT ที่ออกมาเรื่องกฎหมายของ JV ได้มีการศึกษาหรือไม่ แล้วมีโอกาสในการจัดตั้ง หรือไป Co อะไรกับใครหรือเปล่า
- บริษัทมีความสนใจ และได้ศึกษาเรื่อง JV ที่แบงก์ชาติออกมา ไม่ว่าจะเป็นกับแบงก์หรือ Non-แบงก์ มีการศึกษา และให้ความสนใจ
คุณทวีมีอะไรฝากเกี่ยวกับการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทไหม
- โดยภาพรวม สถานการณ์พอร์ตของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่ทำ ลูกหนี้ที่ทำ TDR กับบริษัท ก็ยังสามารถเดินตาม TDR ที่ทำกับบริษัทได้
- ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้ Clean Loan หรือลูกหนี้ที่มีหลักประกัน
- ในส่วนของทรัพย์ที่รอขายทอดตลาดเอง ทุกอย่างก็ยังเดินตาม Process อยู่
- เงินที่อยู่ในกรมบังคับคดีก็อยู่ใน Timeline ที่จะออกมา
- ส่วนของ NPA เอง ก็โฟกัส เร่งขายให้ได้มากที่สุด แนวโน้ม Q3 Q4 ก็เริ่มดีขึ้น
โดยสรุป KCC ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการหนี้ที่มีคุณภาพ และการสร้างผลตอบแทนที่ดี ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ตลาดจะมีความผันผวน แต่บริษัทก็ยังสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้