HTC
บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

โอเคครับ เริ่มกันเลย

HTC สรุปผลประกอบการปี 2567 และวิสัยทัศน์การเติบโตในอนาคต

สวัสดีครับ ผม ภัทร รัฐกุล CEO และคุณ อัมฤทธิ์ เศรษฐา CFO วันนี้จะมารายงานผลการดำเนินงานปี 2567 และ outlook ปี 2568 ผมขอพูดสั้นๆ แล้วจะให้คุณอัมฤทธิ์ลงรายละเอียดตัวเลข จากนั้นผมจะกลับมาคุยถึง outlook ปี 2568 และ vision ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นจะเป็นช่วง Q&A ครับ

ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ นอกเหนือจากการดำเนินงานทางธุรกิจ สิ่งที่ภาคภูมิใจคือเรื่องสังคมและ DEI ในสไลด์นี้จะเห็นว่าได้รับการยอมรับจากองค์กรต่างๆ ถ้าดูอย่างรวดเร็ว SET ESG Rating ได้ Double A, CG Score Ratings ได้ Excellent มา 2 ปีติดกัน และยังอยู่ใน ESG 100 ทางด้าน DEI ก็เป็นที่ภาคภูมิใจว่างานทางด้านการส่งเสริมสิทธิสตรี ได้รับรางวัลจาก UN WEP มาแล้ว 2 ครั้ง นอกจากนั้นก็มี Human Rights และ Anti-Corruption ที่ได้จาก CAC ของภาคเอกชน

ภาพรวมการดำเนินงานในปีที่แล้วในพื้นที่ Franchise ภาคใต้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เติบโตมากกว่าพื้นที่ภาคอื่นๆ ของประเทศ ประมาณ 10% มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงในปี ก่อนหน้านั้น 18% ถ้าดูเป็น Category แล้ว น้ำอัดลมโตถึง 9.5% น้ำดื่ม 11% และน้ำผลไม้ 15% ดังนั้น ณ ปีที่แล้วส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องดื่มพร้อมดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 24.7% ลงมาเล็กน้อย หรือประมาณเท่าเดิม ราวๆ 25% ในแผนธุรกิจระยะสั้นระยะกลาง ต้องการเพิ่มสัดส่วนนี้ขึ้นไปให้ได้เป็น 30%

ในด้าน Market Share ที่เป็นน้ำอัดลมนั้นแตะอยู่ที่ประมาณ 78% ลงมาเล็กน้อยจากปีก่อน ถ้า to be exact ก็อยู่ที่ 78.3% สำหรับ Sparkling หรือน้ำอัดลม ยังเป็นผู้นำทางด้าน Market Share ของธุรกิจประเภทนี้ สไลด์นี้ทำให้เห็นภาพรวมของผลงานปีที่แล้ว มียอดขายอยู่ที่ 72.4 ล้านลัง คิดเป็น Unit Case เติบโตที่ 3.5% volume แชร์อยู่ที่ 78.3% แชร์ของน้ำดื่มเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ที่ 8%

สินค้าประเภทที่เป็น Zero นั้น แม้ว่าปัจจุบันสัดส่วนของรายได้อยู่ที่ประมาณ 5% แต่ว่าอัตราการเติบโตนั้นดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ปีที่แล้วโตขึ้นมาประมาณ 23% ในช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่องทางการขายที่เป็น CVS หรือ Horeca นั้น เติบโตที่ 15% และ 19% ตามลำดับของทุกสินค้า ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการวางเครื่องทำความเย็นทุกประเภท รวมทั้งตู้เย็นที่จะช่วยสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นมา 10% และยังเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการควบคุมการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

Financial Results โดยรวมแล้ว รายได้เติบโตที่ 4.1% Ahead of volume อยู่ที่ 8.1 พันล้านบาท โดย GP Margin นั้นขึ้นมาจาก 42.2% มาเป็นที่ 42.7% ถ้า Benchmark ดูกับ Bottler อื่นๆ ก็อยู่ในระดับที่เป็นที่น่าพอใจสำหรับ GP Margin Net Profit ขึ้นมาเล็กน้อย ปีที่แล้วจบที่ 601.7 ล้านบาท EPS อยู่ที่ 1.49 บาทต่อหุ้น Net Margin อยู่ในระดับประมาณเดิม หรือลงมาเล็กน้อยที่ 0.3 จุด อยู่ที่ 7.4% อันนี้เป็นภาพคร่าวๆ ที่จะให้ท่านทราบผลการดำเนินงานปีที่แล้ว

คุณอัมฤทธิ์ กล่าวถึงผลประกอบการปี 2567 ปริมาณการขายเติบโต 3.5% ยอดรวม 72.4 ล้านยูนิตเคส ในประเทศ 68.8 ล้านยูนิตเคส เติบโต 3.5% ยอดขายให้เพื่อนร่วมธุรกิจบรรจุขวดในภาคเหนือ (นันทิพย์) 3.7 ล้านยูนิตเคส รายได้รวมโต 4.1% สูงกว่าปริมาณการขาย 0.6% รายได้ในประเทศโต 5.8% จากปริมาณการขายที่โต 3.5% ได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคา 2.3% มาจากโครงการ RGM และการขึ้นราคาสินค้าบางรายการในปี 2566-2567 รายได้โต 4.1% กำไรขั้นต้นโต 5.4% สูงกว่าปีก่อน 3.47 พันล้านบาท แม้เจอภาวะต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น (น้ำตาล, กระป๋องเปล่า) แต่ด้วยโครงการ RGM และประสิทธิภาพการผลิต ทำให้กำไรขั้นต้นโต 5.4% SG&A โต 6.5% หลักๆ จากค่าขนส่งที่สูงขึ้น (ราคาน้ำมันดีเซล, ช่องทางจัดจำหน่าย) และค่าใช้จ่ายชั่วคราว 20 ล้านบาทในการย้ายสายการผลิตขวดแก้วจากหาดใหญ่ไปสุราษฎร์ธานี (เสร็จสิ้นในปีนี้) ต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้นเล็กน้อย 8 ล้านบาท (ใช้เงินทุนระยะยาว) ภาษีอยู่ที่ระดับปกติ เพิ่มขึ้น 21% กำไรสุทธิโตประมาณ 0.6% อยู่ที่ 602 ล้านบาท Gross profit margin 42.7% EBITDA 14.5% Net profit margin ต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อยจากภาษีที่สูงขึ้น

ปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้เติบโต คือ สภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ช่องทาง HORECA และ CVS เติบโตสูงกว่าช่องทางอื่น ๆ ช่องทางหลักอย่าง Traditional Trade (45% ของธุรกิจ) ก็ยังเติบโต 4% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา HTC มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย compound annual growth ประมาณ 6% ยอดขาย 8.13 พันล้านบาท ในปีนี้ 4.1% โค้กยังเป็นแบรนด์หลักที่สร้างรายได้ 70% ตามด้วย Fanta และ Sprite ส่วนแบ่งการตลาดน้ำดื่ม "น้ำทิพย์" เพิ่มขึ้นเป็น 8% ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก สัดส่วนรายได้จากบรรจุภัณฑ์ PET ต่ำกว่า 80% กระป๋อง 17% (เติบโตดี) แก้ว 3% Gross profit เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 3.47 พันล้านบาทในปี 2567 (42.7%) เทียบกับ 40.2% ในปี 2566 ค่าใช้จ่าย SG&A โต 6.5% เป็น 2.76 พันล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 600 ล้านบาท (1% growth) อัตรากำไร 7.4%

สินทรัพย์รวมเพิ่มเป็น 7.3 พันล้านบาทจาก 6.5 พันล้านบาท (จากการลงทุนในสายการผลิตขวดแก้ว 800 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา) กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเกือบ 1.1 พันล้านบาท 960 ล้านบาทใช้ในกิจกรรมการลงทุน 137 ล้านบาทใช้ในกิจกรรมการจัดหาเงิน ท้ายปีมีกระแสเงินสดใกล้เคียงปีก่อน 19 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 11.2% และ 15% ตามลำดับ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 0.77 (จากการกู้ยืมระยะยาว) ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 0.26 ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ วงจรเงินสด (cash cycle days) ต่ำกว่า 30 วัน สอดคล้องกับเป้าหมายระยะกลางถึงยาว การถือครองสินค้าคงคลังน้อยกว่า 1 เดือน ระยะเวลาการเรียกเก็บหนี้ (collection period) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัดส่วนของช่องทาง CVS ที่มากขึ้น วงจรเงินสดโดยรวม 29 วัน ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (interest coverage) 36 เท่าของ EBITDA (ลดลงจากปีก่อนเพราะดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ระยะยาว)

คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลรวม 1.05 บาทต่อหุ้น จ่ายระหว่างกาลไปแล้ว 0.48 บาทในเดือนกันยายน 2567 เหลือจ่ายอีก 0.57 บาท (รออนุมัติจาก AGM เดือนหน้า) กำหนดจ่าย 20 พฤษภาคม 2568 (Record date 30 เมษายน 2568) มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) เช่น โค้กซีโร่สเปซ (ช่วยให้โค้กซีโร่เติบโต) และนวัตกรรมใน Schweppes มีกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เช่น มิวสิกอีเวนต์ และ Coca-Cola Foodmarks program กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น โค้กวานิลลา (คาดว่าจะช่วยให้โค้กซีโร่เติบโตในปี 2568)

ต่อไปจะเป็นเป้าหมายการเติบโตในอีก 8 ปีข้างหน้า รวมทั้งเป้าหมายของรายได้ Market Share ของ NRTD ที่หาดทิพย์มีอยู่ขณะนี้ประมาณ 25% หวังว่าภายในปี 2570 จะขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 30% และประมาณปี 2575 จะไปแตะที่ 35% ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่กับ Strategy หรือยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่วางไว้ เพื่อจะให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ โดยสร้างรายได้จากปีที่แล้วที่ 8,100 ล้านบาท อีก 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท และอีก 8 ปีต่อจากนี้จะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท จะทำได้อย่างไร โดยคร่าวๆ แล้ว โดยหลักๆ แล้วก็คือการที่จะพัฒนาปรับปรุง งานหลักในด้านเครื่องดื่มประเภทอัดลม ซึ่งเป็นผู้นำอยู่แล้ว และให้มี Market Share ให้ได้มากกว่า 80% และรักษาสถานะนี้ไว้

อันที่สองก็คือ การสร้างธุรกิจในประเภทที่ไม่อัดลม ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม น้ำผลไม้ หรือแม้กระทั่งชา ที่ตอนนี้มีอยู่สัดส่วนนิดเดียว ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแรงต่อไป และอีกประการหนึ่งก็คือการเข้าไปเล่นในเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ หรือ Category ใหม่ๆ ที่ Coca-Cola มีพร้อมอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่ายังไม่ได้นำเข้ามาเสนอให้ผู้บริโภคในประเทศนี้ ขยายธุรกิจออกไปในทุกๆ ประเภท และประการสุดท้ายก็คือการพัฒนาในเรื่อง Efficiency ของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำ Digitalization เข้ามาช่วยในการเพิ่ม Productivity

หันมาดูเป้าหมายในปีนี้ Growth Target ของเรา รายได้จะอยู่ใน Range ที่ประมาณ 5-7% ส่วนยอดขายที่เป็นลัง วาดไว้ว่าจะอยู่ในระดับที่ในระดับ 2-4% เมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ Margin นั้นตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมากกว่า 40% Gross Margin จะทำได้อย่างไรก็หันมาดูในเรื่องของสินค้า และก็ในเรื่องของการทำงานในตลาด สิ่งหลักๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือ การขยายจำนวนร้านค้าที่เป็น Active Outlets เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 10%

ธุรกิจขวดแก้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขวดแก้วแบบคืนขวด จะมีใน Pipeline เสนอสินค้าใหม่ออกมาด้วย ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ และก็จะต้องมีการเน้นในเรื่องของการเพิ่ม Distribution หรืออัตราการกระจายสินค้าให้ได้มากขึ้น สินค้าประเภทนี้นะครับ ต่อไปก็การเน้นย้ำในเรื่องของการเติบโตของสินค้าประเภทที่ไม่มีน้ำตาล อันนี้ก็สำคัญมาก ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค จะทำให้มากขึ้นๆ ทำให้ Contribution นั้นเพิ่มจาก 5% ให้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับอย่างต่อเนื่องไปจนถึง 10% ในระยะกลาง

การเน้นย้ำในสินค้าประเภท Immediate Consumption Pack ที่เขียนว่า IC Pack คือ บรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก พวกนี้ก็จะกำไรดี ก็จะเน้นย้ำการเติบโตของสินค้าประเภทนี้ในปีนี้ และสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้ ก็คือ การวางตู้เย็นที่เพิ่มขึ้นตามที่ได้เรียนให้ทราบ อย่างน้อย 10-15% หันมาดูงานในด้านอื่นๆ เช่น การรับมือกับภาษีน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น ในเฟสสุดท้ายของปีนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือการใช้การบริหารจัดการรายได้ โดยการ Segment ตลาด แล้วก็พิจารณาสิ่งต่างๆ ตั้งแต่โอกาสของการดื่ม ตั้งแต่แบรนด์ไหนที่จะใช้ ตั้งแต่ราคาอะไร บรรจุภัณฑ์อะไร ให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทาง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้เกิดรายได้ที่สูงสุดกับบริษัท

และก็ที่ได้พูดไปนิดนึงก็คือในเรื่องของ Digitalization ซึ่งคงไม่ต้องเรียนให้ท่านทั้งหลายทราบว่ากำลัง Disrupt การทำงานของทุกองค์กรอยู่ ณ ปัจจุบัน เราก็จะต้องเข้มแข็งมากขึ้น ในเรื่องการนำ AI หรือนำสิ่งต่างๆ มาใช้เพื่อเพิ่ม Productivity ของเรา รวมทั้งการขยาย Footprint หรือการขยายขีดความสามารถในการค้าขายใน E-Commerce ด้วย และสุดท้าย แต่ไม่ได้สำคัญสุดท้ายก็คือในเรื่องของความยั่งยืน ก็มี Aim ไว้ในปี 2568 ว่า มากกว่า 25% ของจำนวนพลังงานที่ใช้ในการผลิต จะต้องมาจากพลังงานทดแทน นอกจากนั้น ด้วยความร่วมมือกับ Coca-Cola จะดำเนินต่อไปในเรื่องของการเก็บขยะ และการใช้วัตถุดิบริไซเคิลมาในการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ และสุดท้ายก็คือ Diversity Equality และ Inclusion ที่จะดำเนินการผ่านหลายโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในเรื่อง Sustainability มีความตั้งใจจริงที่จะทำงานให้วัดผลได้ และเกิดผลอย่างแท้จริงกับชุมชน

ขอแผ่นเดียวอย่างรวดเร็วว่า เผื่อบางท่านอยากจะทราบว่าลงทุนไปตั้ง 800 ล้านพันล้าน เพื่อที่จะพยายามสร้างธุรกิจประเภทขวดแก้วแบบคืนขวด เรามองว่าขวดแก้วนี้ยังมี Role อย่างสำคัญมาก ในธุรกิจบ้านเรา ในเรื่องของเครื่องดื่มน้ำอัดลม มันมี Value Proposition อย่างแรกก็คือว่าเรามีความได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะว่าไม่ได้มีทุกเจ้า ที่มีขีดความสามารถในการใช้บรรจุภัณฑ์แบบนี้ อันที่สองก็คือมันก็ทำให้เกิดความแตกต่างของสินค้า เกิด Product Differentiation, Market Differentiation ทั้งนี้เนื่องจากว่า ถ้าท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ หลายคนก็จะเชื่อว่าการดื่มจากบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วนั้นมันมีรสชาติที่อร่อย พูดง่ายๆ ก็เป็น Perfect Serve โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Perception ของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าเรา ถ้าได้บริโภคจากขวดที่เป็น Conto คือขวด Original ก็จะมีความสุข มี Experience ในการดื่มมากขึ้น และอย่างที่ลืมไม่ได้ก็คือในเรื่องความยั่งยืน หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่เป็นเกาะแก่ง ที่มีอยู่มากมายใน Franchise ของเรา หากสามารถใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ได้ เราก็จะสามารถลดขยะทางทะเลได้อย่างแน่นอน

จะ Capture Higher Growth ได้อย่างไร ก็เริ่มจากการสร้างการเติบโตของสินค้าเอง โดยใช้เครื่องนี้ไปผลิต สินค้าของ Coca-Cola ใน Category อื่นๆ ใช้บรรจุภัณฑ์แบบนี้ จะสร้างการเติบโตทางช่องทางการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คงจะต้องเน้นย้ำในช่องทาง Horeca ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็มีเป้าอยู่ว่า ไอ้ Distribution coverage จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% รายได้จากการขาย สินค้าประเภทนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 35% และในปี 2568 นี้ รายได้ของการขายสินค้าประเภทนี้ จะต้องมี Contribution อยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งในระยะกลางจะต้องไปให้ได้ 10% อันนี้ก็เป็นเป้า ที่วางไว้กับ สินค้าประเภทนี้

ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [นาทีที่ 37:20]

* น้ำสะอาดที่ใช้ในการผลิต: * น้ำที่ใช้ในการผลิตสามารถใช้ได้ทั้งน้ำประปาและน้ำบาดาลที่นำมา Treat ให้ได้คุณภาพโดยใช้ระบบ Reverse Osmosis ไม่ได้ซื้อน้ำจากใคร น้ำมาจากใต้ดินและผ่านโรงงาน Reverse Osmosis Plant ที่มีกระบวนการทำให้น้ำอยู่ในคุณภาพที่ Coca-Cola กำหนดและมีความสะอาดที่มาตรฐานโลกกำหนด * เปรียบเทียบงบการเงินกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน (Central Region): * HTC มี Net Profit Margin สูงกว่า * ไม่ทราบรายละเอียดการเปรียบเทียบนั้น แต่ HTC มีระดับ Margin (Gross Profit และ Net Profit) ที่ดี และมีโอกาสที่จะขยายระดับ Margin ในปีต่อๆ ไป * Coca-Cola เปลี่ยนสถานะจากผู้จัดจำหน่ายแบบ Exclusive เป็น Non-Exclusive หรือไม่: * Agreement ที่มีกับ Coca-Cola สหรัฐอเมริกาเป็น Exclusivity อยู่แล้ว ไม่แน่ใจว่า Non-Exclusive เป็นอย่างไร แต่ไม่มี * Coca-Cola ทำงานร่วมกับ Bottler อย่างเรา ในการดำเนินธุรกิจนี้ร่วมกัน * สภาพอากาศปีนี้จะร้อนกว่าปีที่แล้วหรือไม่: * ทราบพอๆ กับนักลงทุน (ฟังทีวี) แต่คิดว่าคงเหมือนๆ ทุกปี * ภาคใต้จะมีพายุหรือน้ำท่วมที่เกิดจากความผิดปกติทางภูมิอากาศมากกว่าภาคอื่นๆ * หวังว่าปีนี้จะร้อน เพราะหน้าร้อนเป็น Peak Period ที่จะต้องทำงาน * คู่แข่งในไทยผลิตไซรัปเอง ทำให้ขายตัดราคา: * ไม่ใช่ผู้ผลิตทุกรายที่ผลิตไซรัปเอง บางรายก็ทำงานในระบบที่ค่อนข้างคล้ายกับเรา * ไม่ได้มองว่าเป็น Disadvantage หรือเป็นข้อเสีย เพราะเป็นการทำงานร่วมกัน และเป็น Business Model ที่เป็น Win-Win Situation * ถ้าผลิตเองก็ไม่ต้องจ่าย Royalty แต่อาจจะมี Advantage ตรงนั้น แต่มันไม่ชัดเจน เพราะถึงแม้เราเสียเงินค่าน้ำเชื้อ เราก็ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการสนับสนุนทางด้านการตลาด ทางด้านการผลิต และอื่นๆ อีกมากจาก Coca-Cola อาจจะมอง Debate ว่ามันเป็น Advantage หรือ Disadvantage แต่ส่วนตัวไม่คิดว่าเป็น Disadvantage * ความเสี่ยงที่บริษัทคาดการณ์ไว้ในปีนี้ (กระทบกำไร): * การขึ้นภาษีน้ำตาล (Sugar Tax) ในเฟสสุดท้าย * HTC บริหารจัดการได้ดีในช่วง 3 เฟสที่ผ่านมา เฟส 4 เริ่มเดือนหน้า * กำลังวางแผนเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ * ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) ที่เพิ่มขึ้น * มาจากการลงทุนเมื่อเร็วๆ นี้ (Strategic Investments, Long-Term Investments) * ต้องบริหารจัดการให้ดี * ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Price Trend) * ปีนี้ดูเหมือนจะ Stable กว่าปีก่อน * คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มที่เห็นในตลาด * กำลังการผลิต (ไตรมาส 4/2567 และปี 2567): * (ตัวเลข Exact ให้ไม่ได้ตอนนี้) * ต้องแยกประเภทของสินค้า (ขวดแก้ว, PET, กระป๋อง) * โดยภาพรวมของปีที่แล้ว กำลังการผลิตยังเหลืออยู่ * ถ้าไม่นับขวดแก้ว (เครื่องจักรที่ผลิตขวดแก้วที่หาดใหญ่วางแผนที่จะเลิกใช้) * เครื่องจักรใหม่เริ่มปีนี้ * กำลังการผลิตของขวดแก้ว ณ ปัจจุบันใช้ไปไม่ถึง 20% (ใช้ได้อีกนานมาก) * PET: ปีที่แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60-60 กว่า% * Can: กำลังการผลิตปีที่แล้ว ใช้ไปประมาณ 70 กว่า% * สรุป: ทุกประเภทมี Buffer อยู่ จะเป็น PET กระป๋อง หรือแก้ว ยังมีกำลังการผลิตที่เหลือและเพียงพอต่อการเติบโตในอนาคตอยู่อีกหลายปี * โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายการผลิตที่เป็นขวดแก้ว (เพิ่งลงทุนไป) * Update ธุรกิจอสังหา: * เป็นการเรียนรู้ที่เริ่มทำเป็น Project แรก * ปีนี้ตั้งเป้าจะขายไว้ที่แค่ 13 หลัง ทำธุรกิจเป็น Phase Phase ไป สร้างขายหมด แล้วก็ขยาย Phase * คิดว่าน่าจะสามารถทำได้ * บรรยากาศของธุรกิจนี้ค่อนข้างหนักหน่วงพอสมควรในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ซื้อหรือผู้ที่จะมีบ้านไม่สามารถที่จะกู้เงินจากแบงค์ได้ (กู้ยากลำบากขึ้น) อันนั้นก็เป็น อีก Factor หนึ่งที่ทำให้ธุรกิจนี้อาจจะเดินช้าไปนิดนึง แต่มันก็ไม่ได้เป็นธุรกิจที่จะทำให้ เสียหายหรืออะไร เพราะว่าเราใช้ Land Bank ของเราอยู่ในการมาพัฒนา Project เหล่านี้ * จำนวนนักท่องเที่ยวในภาคใต้ (3 เดือนแรก และเดือนมีนาคม): * ไม่ได้ดู แต่เท่าที่ดูข่าว และฟังจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ทั้งสมุย สุราษฎร์ฯ ก็มีอานิสงส์บ้าง * กระแสตอบรับดีมาก Hotel Occupancy เกิน 100-300% * เหมือนอย่างอื่น มันจะ Sustain หรือเปล่า * เป็นผลดีในการทำให้คนรู้จักสมุยมากขึ้น

โดยรวมแล้ว การประชุม Oppday ของ HTC ในครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหาร ในการที่จะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค และการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น